ตอนที่ 104 มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 104 มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป! (1)

วันต่อมาเป็นวันหยุดพักผ่อนของนักศึกษาใหม่

ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเหมือนจะเงียบสงบลงมา

เช้าตรู่หลังจากฟางผิงออกกำลังกายตามปกติ กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมจะเดินไปยังโซนหอพักของอาจารย์

เพิ่งออกจากโรงอาหาร ฟางผิงกลับเลิกคิ้วเล็กน้อย

ฉินเฟิ่งชิงยืนอยู่นอกโรงอาหาร กอดอกด้วยใบหน้าครุ่นคิด “น้องชาย พวกเราเหมือนจะมีวาสนาต่อกันนะ”

“รุ่นพี่ฉิน”

“ตอนนั้นเห็นรุ่นน้อง รู้แค่ว่าปราณนายไม่อ่อนด้อย คงหลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นครั้งที่สาม มองพลาดไปจริงๆ”

“ทำให้รุ่นพี่ฉินเห็นเรื่องตลกซะแล้ว ผมเพิ่งหลอมกระดูกครั้งที่สามสำเร็จไม่กี่วันก่อนต่างหาก”

“อย่างนี้นี่เอง ฉันยังคิดว่าสายตาตัวเองมีปัญหาซะอีก”

ฉินเฟิ่งชิงคล้ายจะอกภูเขาออกจากอก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ฟังสิ ไม่ใช่ฉันดูผิด แต่เขาเพิ่งจะหลอมครั้งที่สามสำเร็จต่างหาก

เมื่อทักทายเป็นพิธีแล้ว ฉินเฟิ่งชิงค่อยวกสู่ประเด็น “รู้จักสมาคมผู้ฝึกยุทธ์หรือเปล่า?”

ฟางผิงพยักหน้า “รู้จักครับ แต่ไม่ได้รู้ลึกอะไรมาก”

“เดินไปคุยไปดีกว่า ครั้งก่อนไม่มีโอกาสพารุ่นน้องเดินเล่น ถือโอกาสนี้แล้วกัน”

ฟางผิงไม่ปฏิเสธคำเชิญของฉินเฟิ่งชิง เขาและฉินเฟิ่งเคยบังเอิญเจอกันหนึ่งครั้ง วันนี้เหมือนเขากำลังรอตัวเองมากกว่า

ในเมื่อพูดถึงสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมาคม

ฟางผิงเดาว่าสมาคมอาจจะอยากได้สมาชิกใหม่

หอพักนักศึกษา หอพักอาจารย์และบุคลากร รวมทั้งหอพักของครอบครัวเจ้าหน้าที่…

ตึกที่พักอาศัยเหล่านี้ถูกสร้างล้อมรอบอ่างเก็บน้ำ

แม้จะเป็นอ่างเก็บน้ำ แต่ขนาดไม่ได้เล็กเลย ประมาณหนึ่งร้อยกว่าหมู่ พวกอาจารย์และนักศึกษาต่างชอบเรียกที่นี่ว่า ‘ที่หลบภัย’

อันที่จริงก่อนหน้านี้อ่างเก็บน้ำนั้นเคยมีชื่อเก่า แต่ตอนนี้แทบไม่มีคนรู้แล้ว

ฉินเฟิงชิงไม่รู้เหมือนกัน เขาแนะนำให้ฟางผิงฟัง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รู้ไหมว่าทำไมถึงเรียกว่าที่หลบภัย?”

ฟางผิงส่ายหน้าเล็กน้อย

“เพราะบางครั้ง มีแค่ที่นี่ถึงจะสัมผัสกับความสงบได้ ออกจากโซนที่พัก ไปสถานที่อื่นของมหาวิทยาลัย นายต้องต่อสู้ ต้องแย่งชิง ต้องแข่งขัน! ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัย ข้างนอกก็เหมือนกัน โซนที่พักนั้นไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา คนนอกไม่กล้าจะเข้ามาเช่นดัน ดังนั้นที่นี่จึงเป็นที่หลบภัยของคนในมหาวิทยาลัย…”

ฟางผิงเคลื่อนสายตาจับจ้องผิวน้ำที่กระจ่างพร่างพราว แสงแดดยามเช้าส่องกระทบคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเบาๆ

มองไปก็รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ไม่น้อย

ฟางผิงไม่รับบทสนทนา เอ่ยไปตามตรง “รุ่นพี่ฉินมีเรื่องอะไรพูดมาเถอะครับ อีกเดี๋ยวผมยังต้องไปหาอาจารย์”

“รีบขนาดนั้นเลย!”

ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะ ไม่พูดพร่ำอีก เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “รู้จักหวังจินหยางหรือเปล่า?”

“รู้จัก”

ฟางผิงขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “พี่หวังเป็นคนสอนพื้นฐานศิลปะการต่อสู้ให้ผม น่าจะพูดแบบนี้ได้ การฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ์ ผมแทบจะไม่รู้อะไรเลย พี่หวังเป็นคนแนะนำทั้งหมด รุ่นพี่ฉินเป็นศัตรูกับพี่หวัง?”

“พูดว่าเป็นศัตรูไม่ได้หรอก”

ฉินเฟิงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนต้นปีหวังจินหยางมาเซี่ยงไฮ้ เวลานั้นพวกเราอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลายเหมือนกัน หลังจากปะมือกัน ฉันพ่ายให้หวังจินหยาง ซี่โครงหักไม่กี่ท่อนเท่านั้น แน่นอนว่า หลังจากเกิดเรื่องฉันก็ทะลวงขั้นสองได้อย่างรวดเร็ว ถึงกระทั่งกล้าหาญขึ้นกว่าเดิม ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีทะลวงขั้นสาม พูดขึ้นมาแล้วฉันยังต้องขอบคุณเขาเหมือนกัน”

ฟางผิงแปลกใจอยู่บ้าง อย่างแรกคือนึกไม่ถึงว่าฉินเฟิ่งชิงจะถูกเหล่าหวังจัดการมาก่อน คู่ปรับของเหล่าหวังนั้นมีทั่วเซี่ยงไฮ้จริงๆ

อย่างที่สองคือฉินเฟิ่งชิงสามารถทะลวงสองขั้นภายในเวลาครึ่งปี เวลานี้แค่นี้ถือว่าเร็วเลยทีเดียว

จากคำพูดของฉินเฟิ่งชิง ปีสองเทอมก่อนเขาเพิ่งอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลาย จนจบเทอมสุดท้ายค่อยเข้าสู่ขั้นที่สาม

ตอนนี้เพิ่งอยู่ปีสามเท่านั้น

ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยต่อ “แม้จะไม่ใช่ศัตรู แต่ไม่ได้หมายความว่าจะจบเรื่องไปแบบนี้!”

ฉินเฟิ่งชิงขมวดคิ้ว หันหน้ามองฟางผิง เอ่ยพลางครุ่นคิด “เดิมทีวางแผนจะไปท้าประลองเขาที่หนานเจียง นึกไม่ถึงว่าหวังจินหยางจะเตรียมทะลวงขั้นสี่ น่าผิดหวังจริงๆ! ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ ในเมื่อหวังจินหยางวางแผนทะลวงขั้นสี่ งั้นฉันจะทนอีกสักหน่อย แต่นาย หลอมกระดูกสามครั้งแล้ว บางทีอาจจะทะลวงขั้นสามเร็วๆ นี้”

“รุ่นน้อง นายว่าก่อนที่ฉันจะท้าประลองกับหวังจินหยาง ฉันควรจะหาใครมาเป็นเครื่องสังเวยก่อนหรือเปล่า?”

“เครื่องสังเวย?”

ฟางผิงหรี่ตา เอ่ยว่า “รุ่นพี่ฉินไม่ใช่คู่มือของพี่หวัง หรือวางแผนจะมาเอาคืนทางผมแทน?”

“นายว่ายังไงก็น่าจะอย่างนั้น แน่นอนว่าฉันไม่รังแกคนด้อยกว่าอยู่แล้ว นายไม่ถึงขั้นสาม ฉันคงไม่สร้างปัญหาให้นายหรอก แต่ถ้านายอยู่ขั้นสาม ฉันยังไม่ทะลวงขั้นสี่ ถึงเวลานั้นรุ่นน้องฟางผิงคงต้องขึ้นเวทีประลองกับฉันสักหน่อยแล้ว!”

ฉินเฟิ่งชิงเผยรอยยิ้มขึ้นมา “อันที่จริงถือว่าฉันใจกว้างไม่น้อย ยังรอให้นายทะลวงขั้นสาม ฟางผิง นายควรจะรู้ว่า ตอนแรกที่หวังจินหยางมาเซี่ยงไฮ้ ล่วงเกินคนไปตั้งเท่าไหร่ รวมกันแล้วอย่างน้อยคงหนึ่งร้อยกว่าคน!”

“นั่นแล้วยังไง?”

“นั่นแล้วยังไง!” ฉินเฟิ่งชิงแค่นหัวเราะ “นายไม่รู้อะไรจริงๆ ด้วย!”

“นายคิดว่าเป็นการประลองแลกเปลี่ยนความรู้กันธรรมดา?” ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างดูแคลน “หวังจินหยางเด็กปีหนึ่งจากมหาวิทยาลัยข้างนอกมาท้าประลองนักศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัย นายคิดว่าทุกคนพูดง่ายกันขนาดนั้น เขาอยากจะประลองก็ประลอง?”

“ตอนนี้ถ้ามีใครสักคนเดินมา อยากประลองกับนาย นายจะตอบรับหรือเปล่าล่ะ?”

“หวังจินหยางมาเซี่ยงไฮ้ สถานที่แรกไม่ได้มามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ แต่ไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ตงหวา! เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ข้างนอก อยากท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเพื่อชื่อเสียง ใครจะอยากให้โอกาสนี้กับเขา? นายลองทายดู สุดท้ายเขาท้าประลองได้ยังไง?”

“ไม่รู้”

ฟางผิงส่ายหัว เมื่อก่อนเขาไม่ได้คิดอย่างละเอียด ตอนนี้มานึกดู เหมือนจะเป็นอย่างนั้น หวังจินหยางเป็นคนนอก จากความหยิ่งในศักดิ์ศรีของนักศึกษาเซี่ยงไฮ้ เป็นเรื่องยากที่จะมีคนยอมรับการประลองของเขา

ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วหวังจินหยางสร้างชื่อในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งได้ยังไง?

“เจ้าหมอนั่นเป็นคนใจเด็ด เขาเขียนสัญญาการต่อสู้ติดที่หน้าประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยตงหวา บอกว่ามหาวิทยาลัยตงหวาไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างที่คิด ไม่มีคนระดับเดียวกันกล้าสู้กับเขาเลยสักคน!”

“เขาปักหลักอยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตงหวาถึงสามวัน เขียนสัญญาต่อสู้อย่างชัดเจนว่าประลองระดับเดียวกัน ไม่สนว่าเป็นหรือตาย…ท้ายที่สุดจึงมีคนทนไม่ได้ออกหน้าจัดการ หวังจินหยางลงมืออย่างเหี้ยมโหด ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกที่ลงมือ ถูกเขาหักแขนขา ครึ่งปียังไม่อาจลุกจากเตียงได้ เวลานั้นถือว่าได้แหย่รังแตนเข้าแล้ว…”

ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจแล้ว ลงมือหนักก็เพื่อให้มหาวิทยาลัยตงหวาจำต้องออกมาต่อสู้ด้วย!

ความรู้สึกที่มีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน ทุกคนต้องมีอยู่แล้ว!

ตอนนี้หากมีคนต่างถิ่น ยืนปิดทางอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย หักแขนขาเพื่อนร่วมสถาบันของฟางผิง ทุกคนอยู่ขั้นหนึ่งเหมือนกัน ฟางผิงจะนั่งติดที่อยู่งั้นเหรอ? บางทีอาจจะได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนคุณ!

โดยเฉพาะหวังจินหยางที่เขียนสัญญาต่อสู้ แม้ของสิ่งนี้จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ผู้ฝึกยุทธ์มีขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์อยู่แล้ว ในเมื่อเขาเขียนมันออกมา มันก็ต้องมีผล!

หากถูกคนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ตงหวาตีตายจริงๆ ใครจะมาแย้งไม่ได้ มหาวิทยาลัยหนานเจียงไม่อาจถามหาความผิดเช่นกัน

“จากนั้นล่ะ?”

“จากนั้น? จากนั้นก็กู่ไม่กลับแล้ว เขาไปเยือนมหาวิทยาลัยไหนล้วนลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไม่ปรานีแม้แต่น้อย! ท้ายที่สุดทุกมหาวิทยาลัยจึงมีโทสะขึ้นมา มหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตงถึงขั้นส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองออกมา…หวังจินหยางตอบรับ เขาลงมือที่มหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตงอย่างไม่ออมมือ ใช้ดาบตัดมือซ้ายผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งขาด นี่คือบัญชีแค้นระหว่างความเป็นความตายแล้ว! อีกฝ่ายต้องการให้นักศึกษาขั้นสองออกโรง เขากลับไม่ยอมรับ บัญชีแค้นนี้ถือว่าไม่สิ้นสุด มหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตงไม่ยอมเลิกราเช่นกัน ถ้ายอมรับแล้ว มหาวิทยาลัยคงไม่อาจสอดมือยุ่ง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องยอมรับ ท้ายที่สุดเขากลับเป็นฝ่ายชนะ ต้องพูดว่าเขาเก่งกาจจริงๆ!”

หวังจินหยางเอ่ยชื่นชม “จากนั้นเขาจึงมาที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายของที่นี่ต่างแข็งแกร่งกันอย่างมาก แม้หวังจินหยางจะแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่คิดจะออมมือแทบยังทำไม่ได้ ทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถือเป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ทั้งหมด ปรากฏว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งถูกเขาเอาชนะ ได้รับบาดเจ็บกันไปหลายคน ใช่ว่าทุกคนจะแข็งแกร่งเหมือนฉัน บางคนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส! ท้ายที่สุดจึงทำเหมือนมหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตง ให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองออกโรง…หวังจินหยางไม่ปฏิเสธ นี่เป็นข้ออ้างที่เขาจะกลับหนานเจียงอย่างปลอดภัยได้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองลงมือ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ถึงเขาจะตาย ก็มีคนส่งศพเขากลับอยู่ดี”

“ครั้งนั้นหวังจินหยางบาดเจ็บหนัก เกือบถูกดาบแทงทะลุ ท้ายที่สุดจึงหอบร่างกลับหนานเจียงไป”

ฉินเฟิ่งชิงบรรยายยาวเหยียด เวลานี้ค่อยแค่นว่า “เข้าใจความหมายของเรื่องที่ฉันพูดหรือยัง?”

ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย “หมายความว่า การประลองของพี่หวังกับนักศึกษาพวกนี้ ไม่ใช่การประลองแลกเปลี่ยนความรู้ทั่วไป บางคนถึงขั้นบาดเจ็บหนัก เสียเวลาฝึกวิชาอันมีค่า บัญชีแค้นจึงใหญ่เกินจะจินตนาการได้?”

“ไม่เลว ยังมีบางคนที่บาดเจ็บจนต้องลาออก…นายคิดว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ของพวกเขาจะไม่สะทกสะท้านกันเลยหรือไง?”

——————