บทที่ 260 บทกวีสองบท

“เก็งข้อสอบ?”

สวี่เอ้อร์หลางย้อนถามด้วยความฉงน แต่เขาฉลาดมาก จึงเข้าใจความหมายของสวี่ชีอันในทันที

รินน้ำร้อนให้พี่ใหญ่อย่างช้าๆ แล้วสวมเสื้อคลุมให้ตัวเองอีกชั้นหนึ่ง สวี่ซินเหนียนนั่งเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ไม่ต้อง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในสำนักได้ช่วยพวกเราเก็งข้อสอบแล้ว”

หลังจากการก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง ความคิดของบัณฑิตทั้งหลายก็ถูกผูกอยู่กับสี่ตำราห้าคัมภีร์ ไม่มีความฉลาดหลักแหลมเหมือนคนรุ่นก่อน การที่ต้าฟ่งไม่มีบทกวีก็คือผลที่ตามมา

แต่ก็มีข้อดีอยู่อีกอย่างคือ เก็งข้อสอบได้ง่ายขึ้น

การเก็งข้อสอบ ความจริงก็เหมือนกับการที่อาจารย์ของสวี่ชีอันในชาติก่อนเคาะกระดานดำเน้นสาระสำคัญ เนื่องจากมีการจำกัดขอบเขตเนื้อหาและวิธีการตอบ ข้อสอบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการจึงสามารถ ‘คาดเดา’ ได้ในระดับหนึ่ง

นอกจากการเก็งข้อสอบแล้ว ยังมีอีกวิธีที่แยบยลก็คือ…การซื้อข้อสอบ

และที่ร้ายไปกว่าการซื้อข้อสอบก็คือ ‘การกำหนดไว้เป็นการภายใน’

ที่เรียกว่าการกำหนดไว้เป็นการภายในก็คือ ถึงแม้คนประเภทนี้จะเขียนได้ไม่สละสลวย ก็ยังสามารถผ่านด่านได้ ถือเป็นผู้สอบผ่าน

รายละเอียดการดำเนินการก็คือการติดสินบนขุนนางผู้ควบคุมการสอบ โดยก่อนสอบจะมีการหารือกันก่อนว่าจะกำหนด ‘รหัส’ อย่างไร ตัวอย่างเช่น คำสุดท้ายของบรรทัดแรกคือ ‘ชรา’ คำสุดท้ายของบรรทัดที่สองคือ ‘เหล็ก’ และบรรทัดที่สี่ ห้าและหกคือ ‘หก หก หก’

เมื่อขุนนางผู้ควบคุมการสอบเห็น ก็จะรู้ว่านี่เป็นคนของตัวเอง

การอำพรางชื่อและคัดลอกป้องกันการทุจริตเช่นนี้ไม่ได้

วิธีที่แยบยลเช่นนี้ สวี่ชีอันได้ยินมาจากเว่ยเยวียน หลังจากฟังแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ ภูมิปัญญาของคนโบราณจะดูถูกไม่ได้

น่าเสียดายที่วิธีการติดสินบนขุนนางผู้ควบคุมการสอบไม่ได้อยู่ในการพิจารณา สวี่ซินเหนียนเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ที่ถูกตัดสินแล้วว่าเขาไม่มีวาสนาสอบผ่านจอหงวน ปั้งเหยี่ยน ทั่นฮัว หรือแม้กระทั่งคะแนนระดับหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปได้

ก่อนพบกับจงหลี สวี่ชีอันคิดแต่เพียงว่าจะช่วยทำโพยให้เอ้อร์หลาง และจะปิดบังทหารที่คุมสอบได้อย่างไร หลังจากขบคิดจนหัวแตก ก็คิดได้วิธีหนึ่ง นั่นก็คือการคัดลอกบทความไว้ที่ใดที่หนึ่ง

แรงบันดาลใจสำหรับวิธีนี้ได้มาจากเพื่อนชาวเน็ตผู้ซื่อบื้อในชาติก่อน จำได้ว่ามีคนพูดโอ้อวดตัวเองบนเว็บไซต์ ว่าแฟนสาวเห็นเขาสักคำว่า ‘ท่านทุกข์’ บนองคชาตของเขา

จึงถามเขาว่าสองคำนี้หมายความว่าอย่างไร เพื่อนชาวเน็ตผู้ซื่อบื้อยิ้มอ่อน สูดลมเข้าสู่จุดตันเถียน แล้วตอบอย่างมั่นใจว่า ที่จริงก็คือ ท่านไม่เห็นว่าน้ำในแม่น้ำฮวงโหวไหลหลากมาจากฟากฟ้าหรืออย่างไร…พวกเราจงร่วมใจกันกำจัดความทุกข์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้กันเถิด

แม้ว่ามันจะเป็นการโอ้อวดที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่สวี่ชีอันก็มีความรู้สึกร่วมอย่างมากทีเดียว…สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ การดำเนินการข้างต้นเอ้อร์หลางสามารถทำได้อย่างแน่นอน

เพียงแค่เขาพูดว่า ‘เตียวฉานของข้า’ ในฐานะผู้บำเพ็ญในระดับบำเพ็ญตนของเขา…หลังจากนั้นก็จะสามารถเขียนเรียงความห้าร้อยคำลงไปได้

ขุนนางผู้ควบคุมการสอบจะไม่มีวันจับได้อย่างแน่นอน

แต่ด้วยความหยิ่งยโสของเอ้อร์หลาง ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่นอน…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ “แล้วบทกวีเล่า”

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้วแล้วตอบว่า “บทกวีไม่ได้อยู่ในการพิจารณา ข้าไม่เชี่ยวชาญในเรื่องบทกวี”

จุดสำคัญในการเตรียมสอบของเขาอยู่ที่เน้นที่การโต้ตอบและเนื้อหางานประพันธ์ของสำนักขงจื๊อ และแน่นอนว่าบัณฑิตคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน บทกวีนี้พูดได้แค่ว่าแล้วแต่โชคชะตา

“มีการเตรียมพร้อมจะได้ไม่ต้องร้อนรนอย่างไรเล่า พี่ใหญ่มาที่นี่ก็เพื่อเก็งบทกวี” สวี่ชีอันกล่าว

“แล้วพี่ใหญ่คิดจะเก็งอย่างไร”

“จับฉลาก” สวี่ชีอันยิ้มอย่างลึกลับ

“ท่านแม่ ข้าอยากกินส้ม”

ในห้องที่เชื่อมต่อกัน เสี่ยวโต้วติงสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวตัวหลวมเดินออกมา

“ดึกแล้วจะกินส้มอะไรอีก ยังอยากมีฟันอยู่หรือไม่ ส้มอยู่ในห้องโถง ออกไปเอาเอง” อาสะใภ้กำลังยุ่งยากใจเกี่ยวกับอนาคตของลูกชาย

เสี่ยวโต้วติงเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ นางกินส้มที่ทางเดินด้านนอกจนหมด แล้วก็กลับไปนอนที่ห้องด้วยความพึงพอใจ

ส่วนอารองและอาสะใภ้ยังคงหารือเกี่ยวกับอนาคตของสวี่เอ้อร์หลางต่อ พูดไป อาสะใภ้ก็รู้สึกเสียใจว่าเหตุใดตอนแรกถึงส่งสวี่ซินเหนียนไปที่สำนักอวิ๋นลู่

เอ้อร์หลางเป็นเด็กอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก ความจำก็ดี ตอนที่สำนักอวิ๋นลู่เปิดรับสมัคร อารองสวี่จึงพาลูกชายไปสอบที่ภูเขาชิงหยุน และสอบผ่านทันที

“ตอนแรกถ้าส่งไปยังราชวิทยาลัยหลวงจะดีแค่ไหน” อาสะใภ้พูดอย่างขุ่นเคือง

“นั่นเป็นความเห็นของผู้หญิง สำนักอวิ๋นลู่จึงนับเป็นลัทธิขงจื๊อที่แท้จริง” อารองสวี่พูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

………..

สวี่ซินเหนียนตัดกระดาษเซวียนจื่อเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ สิบกว่าแผ่น แล้วเขียนหัวข้อต่างๆ เช่น “ดอกไม้ นก ปลา และแมลง” จากนั้นก็เกลี่ยตามอารมณ์

“พี่ใหญ่ พี่มาจับสิ”

สวี่ซินเหนียนรู้สึกว่าพี่ใหญ่กำลังก่อกวน แต่เมื่อเห็นว่าเขากระตือรือร้นมากก็ยากที่จะปฏิเสธ แค่อยากจะให้พี่ใหญ่ที่น่ารำคาญกลับไปเร็วๆ เขาจะได้นอนเสียที แล้วก็อยากดูด้วยว่าพี่ใหญ่สามารถแต่งกลอนสดได้หรือไม่ เขาจะได้เห็นกับตาด้วย

สวี่ชีอันหลับตา แล้วใช้มือสุ่มจับ

“สองชิ้น?”

สวี่ซินเหนียนพบว่าพี่ใหญ่จับกระดาษขึ้นมาสองชิ้น

“สองชิ้นก็สองชิ้นสิ เพิ่มมาอีกชิ้นถือเป็นหัวข้อสำรอง”

สวี่ชีอันพูดพร้อมกับเปิดแผ่นกระดาษออก แบ่งออกเป็น ‘ระบายปณิธาน’ และ ‘รักชาติ’

สวี่ซินเหนียนมองพี่ใหญ่อย่างรอคอย

“อืม อืม…ข้าขอคิดก่อน พรุ่งนี้จะมอบให้เจ้า” สวี่ชีอันเกาหัว

บอกลาสวี่ซินเหนียน แล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง สวี่ชีอันจุดเทียน นั่งที่โต๊ะ เงยหน้ามองคานบ้าน แล้วพูดว่า

“เจ้าเป็นศาสดาพยากรณ์มิใช่หรือ ไม่สามารถพยากรณ์หัวข้อในการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์เชียวหรือ”

บนคานบ้านมีผู้หญิงผมกระเซิงนอนอยู่ สวมเสื้อคลุมยาวผ้าป่านแบบเรียบง่าย ตอบว่า “ศาสดาพยากรณ์ยิ่งควรรู้จักเก็บความลับ ข้าไม่ใช่คนดวงดี ทันทีที่ทำให้ข้อสอบของการสอบฤดูใบไม้ผลิรั่วไหล บางทีอาจจะตายในวันพรุ่งนี้เลยก็ได้”

“มีข้าคอยเจ้าปกป้องเจ้า ท่านโหราจารย์เคยกล่าวไว้ว่าข้าเป็นคนดวงดีมิใช่หรือ” สวี่ชีอันยุยง

“ในเมื่อเจ้าเป็นคนดวงดี ถ้าเช่นนั้นหัวข้อที่เจ้าจับสลากได้ ก็ต้องเป็นหัวข้อของการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์” จงหลีพูดเรียบๆ “ทำไมข้าจะต้องเสี่ยงอันตรายด้วย”

มีเหตุผล…สวี่ชีอันถามอีกว่า “แล้วเหตุใดจึงไม่ให้ข้าคาดเดาเกี่ยวกับการโต้ตอบและเนื้อหางานประพันธ์ของสำนักขงจื๊อ”

“ยิ่งเรื่องเดียวยิ่งเดาถูกง่าย” จงหลีกล่าว

สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไรอีก พยายามคิดถึงบทกวีเคยเรียนสมัยมัธยมต้นและปลาย ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่บทกวีบางบทยังคงชัดเจนในความทรงจำ

แน่นอนว่า บทกวีที่เป็นภาษาจีนโบราณและบทกวีที่ค่อนข้างยาว เขาจำไม่ได้แล้วหรือจำได้ไม่หมด ตัวอย่างเช่นบทกวีชื่อเชิญร่ำสุราของหลี่ไป๋ จำได้แค่ ‘น้ำในแม่น้ำฮวงโหไหลหลากมาจากฟากฟ้า’ เพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น

แต่บทกวีอย่าง ‘รุ่งอรุณแห่งฤดูใบไม้ผลิ’ นี้ เขาคาดว่าจนตายก็ไม่มีวันลืม

‘บทกวีระบายปณิธานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือบทกวีแม้ว่าเต่าจะอายุยืนยาวของโจโฉ แต่พิจารณาถึงความปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาวของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว หากเขียนบทกวีบทนี้เกรงว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะทรงกริ้ว’

‘ส่วนบทกวีรักชาตินั้นมีอยู่มาก เพียงแต่บทกวีรักชาติในความทรงจำของข้า ล้วนเกิดตอนที่บ้านแตกสาแหรกขาด มีทั้งฝันเห็นตัวเองขี่ม้าศึกที่สวมเกราะข้ามธารน้ำแข็ง มีทั้งบ้านเมืองชำรุดทรุดโทรม มีเพียงสายน้ำและขุนเขายังคงเดิม มีทั้งหญิงสาวร้องเพลงหาเงินไม่เข้าใจความเคียดแค้นจากการสิ้นชาติ…ยากจัง’

หลังเที่ยงคืน สวี่ชีอันกำลังนอนหลับสนิท ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ ดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญจากผู้หญิงที่โชคร้ายคนหนึ่ง

เขาตกใจตื่นทันที จับดาบข้างเตียงตามจิตใต้สำนึก

“ขอโทษที ข้าหกล้ม…” จงหลีพูดอย่างพยายามทนความเจ็บปวด

‘แบบนี้ก็ล้มได้ด้วยหรือ? อย่างน้อยเจ้าก็เป็นโหรระดับห้านะ…’ สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก เป่าลมหายใจออกเพื่อระบายความคับข้องใจออกมา “ไม่เป็นไร นี่เป็นส่วนหนึ่งของความโชคร้าย?”

“นี่ยังนับว่าโชคดี หากไม่ใช่เพราะอยู่ข้างกายเจ้า ข้าคงขาหักไปแล้ว”

ลูกศิษย์คนที่ห้าของท่านโหราจารย์พูดคำพูดที่น่าสังเวชด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็เคยชินกับมันแล้ว”

หลังจากพูดจบ นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู “ข้าจะไปนั่งสมาธิข้างนอก ไม่รบกวนการนอนของท่านแล้ว”

“…” สวี่ชีอันมองตามนางออกไป แล้วปิดประตู

พลิกตัว นอนต่อ ปรากฏว่าประตูเปิดออกอีกครั้ง จงหลีกลับมาแล้ว

“หืม?”

สวี่ชีอันทำเสียง ‘หืม’ แสดงให้รู้ว่าตัวเองสงสัยและไม่พอใจ

จงหลีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่รู้ว่าคนไม่มีศีลธรรมคนไหนทิ้งเปลือกส้มไว้ที่ทางเดิน ข้าไม่ทันระวังจึงเหยียบแล้วลื่นล้ม หัวแตก ข้าคิดว่าอยู่ในห้องน่าจะปลอดภัยกว่า”

‘เปลือกส้มก็ยังลื่นได้? น่าเวทนาจริงๆ…’ สวี่ชีอันเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจในทันที

วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่สว่าง

จวนสกุลสวี่สว่างไสว อาสะใภ้ฝืนเบิกตาที่ขอบตาดำคล้ำทั้งสองข้าง ช่วยสวี่เอ้อร์หลางเตรียมของใช้สำหรับการสอบ เช่น พู่กัน หมึก กระดาษ หินฝนหมึก และของกินในห้องสอบเช่น ขนม หมั่นโถว เนื้อแห้ง น้ำดื่ม

“ท่านแม่ ไม่ต้องเตรียมของกินมามากมายขนาดนี้ สอบรอบละหนึ่งวันเท่านั้น พลบค่ำก็ออกมาแล้ว” สวี่ซินเหนียนเห็นแม่ยัดของกินไม่หยุดจึงรีบห้าม

การสอบมีสามรอบ สอบรอบละหนึ่งวัน รอบหนึ่งเว้นระยะสามวัน ใช้เวลาทั้งหมดเก้าวัน

หลังจากเตรียมพร้อมแล้ว สวี่ผิงจื้อก็พาภรรยา ลูกสาวและหลานชายไปส่งสวี่ซินเหนียนที่สนามสอบพร้อมกัน

สวี่ชีอันและสวี่ผิงจื้อถือโคมไฟ คนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลัง จากนั้นไม่นาน คนทั้งครอบครัวก็มาถึงสนามสอบ ด้านนอกสนามสอบ มีบัณฑิตที่เข้าสอบชุมนุมอยู่เต็มไปหมด สองข้างถนนมีทหารนับสิบนายคอยรักษาความสงบเรียบร้อย ชูคบเพลิงขึ้นสูง

“เอ้อร์หลาง นี่เป็นบทกวีที่พี่ใหญ่แต่ง อ่านแล้วให้รีบเผาทิ้งทันที” สวี่ชีอัน ส่งกระดาษให้สองแผ่น

สวี่ซินเหนียนรับมาเงียบๆ คลี่ออกเงียบๆ อ่านอยู่นานกว่าจะเข้าใจ…อักษรที่พี่ใหญ่เขียน โดยเฉพาะอักษรตัวเล็ก มีลักษณะใหม่อีกแบบหนึ่ง

กลอนดี!

แต่สวี่ซินเหนียนยังคงทอดถอนใจออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

หากเดาหัวข้อถูกจริงๆ เขาก็อาจจะประสบความสำเร็จอย่างสูง

หลังจากที่สวี่ซินเหนียนจำได้แล้วก็ฉีกกระดาษเป็นชิ้นๆ ขณะที่กำลังจะบอกลาครอบครัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนท่องนามของพระพุทธเจ้าอยู่ไม่ไกล

เมื่อหันไปมอง ก็พบคนหัวล้านร่างกายสูงใหญ่กำลังพนมมือ ยิ้มอย่างแฝงเลศนัยมาทางเขา

‘ข้ารู้จักเขางั้นหรือ…’ สวี่ซินเหนียนรู้สึกฉงนอยู่ภายในใจ แต่ก็ยิ้มตอบตามมารยาท

คนหัวล้านพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป

ขณะมองตามหลังเอ้อร์หลางเข้าแถวเข้าสนามสอบ อาสะใภ้และหลิงเยวี่ยเสนอให้กลับจวนเพื่อนอนชดเชย ส่วนสวี่หลิงอินเสนอให้ไปกินอาหารเช้าที่หอคอยกุ้ยเยว่

ข้อเสนอของสวี่หลิงอินถูกทุกคนมองข้ามอย่างเป็นเอกฉันท์

สวี่ชีอันคิดถึงจงหลีซึ่งอยู่ที่จวน เพราะกลัวว่าถ้าตัวเองกลับไปช้า นางอาจจะจากโลกนี้ไปแล้ว

ขณะเดินทางกลับจวน มีลมตะวันออกโชยมาแผ่วเบา

สวี่ชีอันผลักประตูออก เห็นจงหลีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ผมกระเซิง เห็นหน้าไม่ชัดเจน

ผู้หญิงคนนี้เหตุใดจึงผมเผ้ากระเซิงตลอดเวลา ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรแน่…รู้สึกศิษย์ของท่านโหราจารย์จะแปลกประหลาดเช่นนี้ทุกคน ถึงอย่างไรสาวนักกินก็ดูปกติที่สุดแล้ว…สวี่ชีอันกระแอมแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องหลบซ่อนตัวแล้ว ข้าจะแนะนำเจ้าให้ครอบครัวได้รู้จัก”

“มันอาจจะนำความโชคร้ายมาสู่ครอบครัวของเจ้า ไม่มีปัญหาใหญ่โตแน่ แต่เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จะเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน” จงหลีกล่าว “ความโชคร้ายจะส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบตัวได้ทุกเวลา แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้จักข้า ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงได้”

เช่นนั้นก็ช่างเถอะ

ใกล้ถึงยามเหม่าแล้ว สวี่ชีอันคิดจะฝึกลมหายใจสักครู่ แต่จู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นแรง เป็นเพราะมีคนในกลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีแสดงตัวแล้ว

“เจ้าหันไปก่อนได้หรือไม่” สวี่ชีอันถาม

“ได้” จงหลีหันหลังอย่างว่าง่าย นั่งสมาธิโดยหันหลังให้เขา

มีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่งไม่สะดวกเลย…จากนั้นสวี่ชีอันจึงหยิบเศษหนังสือปฐพีออกมา และอ่านข้อความโดยอาศัยแสงเทียน

หมายเลขสอง ‘ข้าตัดสินใจที่จะไปเมืองหลวงแล้ว’

คนแรกที่ตอบหลี่เมี่ยวเจิน กลายเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียนที่แสดงตัวน้อยมากๆ หมายเลขเก้า ‘ภารกิจปราบโจรสิ้นสุดแล้ว?’

ภารกิจปราบโจรสิ้นสุดแล้ว? ถ้าเช่นนั้นพวกพี่ชุนก็ควรจะกลับมาแล้ว…สวี่ชีอันรู้สึกยินดี

หมายเลขสอง ‘ถูกต้องท่านนักบวช

หมายเลขหนึ่ง ‘เจ้ายังไม่ได้ให้ข้อมูลศิษย์รุ่นใหม่ของนิกายมนุษย์แก่ข้าเลย’

ในตอนแรก นางได้แลกเปลี่ยนข้อมูลคดีอวิ๋นโจวกับหมายเลขหนึ่ง โดยอยากได้ศิษย์ผู้โดดเด่นของรุ่นนี้ของนิกายมนุษย์ แต่หมายเลขหนึ่งกลับเงียบไปโดยไม่รู้สาเหตุเป็นเวลานาน

จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ทำตามคำมั่นสัญญา

หลายนาทีต่อมา ข้อความของหมายเลขหนึ่งก็ส่งมา ข้อความยาวมาก ‘ศิษย์รุ่นนี้ของนิกายมนุษย์การบำเพ็ญตนไม่แข็งแกร่ง ‘จิ้งเฉิน’ ก็แค่ระดับเจ็ด แต่มีอยู่คนหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่านับเป็นศิษย์รุ่นใหม่หรือไม่’

หมายเลขสอง ‘เป็นใครกัน การบำเพ็ญเป็นอย่างไร’

หมายเลขหนึ่ง ‘คนผู้นี้เดิมเป็นปัญญาชน เป็นจอหงวนในปีที่ยี่สิบเจ็ดของหยวนจิ่ง และลาออกจากขุนนางอย่างกะทันหันในปีที่ยี่สิบเก้าของหยวนจิ่ง กลายเป็นประชาชนธรรมดา เขาเป็นทั้งอาจารย์และศิษย์ของและนักบวชเต๋าหลิงอวิ้นซึ่งเป็นศิษย์พี่ของลั่วอวี้เหิง ได้รับการถ่ายทอดเพลงดาบและหฤทัยสูตรจากนักบวชเต๋าหลิงอวิ้น’

‘คนคนนี้มีพรสวรรค์สูงมาก หลังจากละทิ้งตำรามาฝึกดาบเป็นเวลาสามปี ก็ก้าวเข้าสู่ระดับดาบกับหัวใจรวมเป็นหนึ่ง ต่อมาได้ท้าทายฆ้องทองคำจางไคไท่ หลังจากพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ก็พเนจรไปเรื่อยๆ ได้รับการยกย่องจากเว่ยเยวียนว่าเป็นนักดาบอันดับหนึ่งของเมืองหลวง

‘เขาและนักบวชเต๋าหลิงอวิ้นไม่ได้มีชื่อว่าเป็นอาจารย์และศิษย์ แต่กลับเป็นอาจารย์และศิษย์อย่างแท้จริง ไม่รู้ว่านับเป็นศิษย์ของนิกายมนุษย์หรือไม่’

เดิมเป็นปัญญาชน ทิ้งตำรามาฝึกดาบ นักดาบอันดับหนึ่งของเมืองหลวง และมีความเป็นอาจารย์และศิษย์อย่างแท้จริงกับนักบวชนิกายมนุษย์…ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากนี้คืออะไร สวี่ชีอันตกตะลึง หลังจากใคร่ครวญแล้ว ก็นึกถึงคนคนหนึ่ง แต่กลับรู้สึกว่ามันไร้สาระเกินไป

ในเวลานี้…

หมายเลขสี่ ‘โอ้ ข้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว’

เป็นเขาจริงๆ นักบวชเต๋าจินเหลียนเขาคิดจะก่อกวนหรืออย่างไร รู้ทั้งรู้ว่านิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ไม่ถูกกัน ก็ยังจะดึงพวกเขาเข้ามาในเศษหนังสือปฐพี สวี่ชีอันพึมพำในใจ

น่าสนใจ หมายเลขสี่และหมายเลขสองจะมาต่อสู้กันที่เมืองหลวง…ประเดี๋ยวก่อน ถ้าเพียงหลี่เมี่ยวเจินมาเมืองหลวง ข้ามั่นใจว่าสามารถรับมือได้ เพราะการฟื้นคืนชีพสามารถใช้ยาคืนชีพได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลี่เมี่ยวเจินและข้าต่างเคยอับอายต่อหน้าผู้คนมาแล้ว ต่างคนต่างไม่เกี่ยวข้องกันนัก

แต่หากหมายเลขสี่ก็มาเมืองหลวงด้วย…

สีหน้าของสวี่ชีอันแปรเปลี่ยนไปทันที

ในเวลานี้เอง หมายเลขห้าก็แสดงตัว ‘บังเอิญเสียจริง พรุ่งนี้ข้าจะออกจากซินเจียงตอนใต้เพื่อเดินทางไปเมืองหลวงเช่นกัน เมื่อข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว ทุกคนมาดื่มเหล้าด้วยกันเถิด’

สวี่ชีอัน “???”

เกิดอะไรขึ้น เหตุใดหมายเลขห้าก็จะมาเมืองหลวงเหมือนกัน ด้วยไหวพริบของหมายเลขห้า หมายเลขสี่ และหมายเลขสอง ย่อมไม่วางใจให้นางอยู่คนเดียวอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องออฟไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และข้าก็อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน ส่วนหลี่เมี่ยวเจินก็รู้ฐานะที่แท้จริงของข้า…

ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องให้เอ้อร์หลางเป็นแพะรับบาป

หมายเลขหนึ่ง ‘หมายเลขห้ามาเมืองหลวงด้วยเหตุใด’

‘หมายเลขห้า ‘เดินทางท่องเที่ยว’

หลี่เมี่ยวเจินระงับความตื่นตะลึง เข้าร่วมการสนทนา

หมายเลขสอง ‘หมายเลขห้า เจ้าต้องจำไว้ให้ดี อย่าได้เปิดเผยฐานะที่เป็นคนของเผ่าพันธุ์กู่โดยเด็ดขาด คนต้าฟ่งเกลียดเผ่าพันธุ์กู่ ยุทธภพอันตราย แม้ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาวะลำบาก แต่หากทางการรู้ฐานะที่เป็นคนของเผ่าพันธุ์กู่ของเจ้า ส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจไยดี และในสายตาของคนระดับล่างจำนวนมาก จะทำอะไรกับคนของเผ่าพันธุ์กู่ล้วนเป็นเรื่องสมเหตุสมผลทั้งสิ้น’

ในสงครามด่านซานไห่ ชนเผ่าหมานทางซินเจียงตอนใต้เป็นพันธมิตรกับชนเผ่าหมานทางตอนเหนือ เป็นฝ่ายตรงข้ามกับต้าฟ่ง ประกอบกับหลายปีมานี้ชนเผ่าหมานทางซินเจียงตอนใต้ได้ก่อกวนชายแดนของต้าฟ่งบ่อยๆ เพื่อยึดดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืน

กล่าวได้ว่าต่างฝ่ายต่างสะสมความแค้นกันมานาน

และเผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้ก็อยู่ในเขตอิทธิพลของ ‘ชนเผ่าหมานทางซินเจียงตอนใต้’

ลี่น่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดว่าตัวเองไม่กลัวทั้งพิษ และไม่กลัวกำลังทหาร 07’ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น แต่ในเมื่อหมายเลขสองตักเตือนด้วยความจริงใจเช่นนี้ นางจึงส่งข้อความขอบคุณว่า ‘ได้ ข้าจะระวัง’

จากนั้น หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความว่า

หมายเลขสี่ ‘แม้ว่าพวกเราต่างเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน แต่ความรักและความแค้นของนิกายต้องมาก่อน เมื่อเราพบกัน ข้าจะไม่ออมมืออย่างแน่นอน จะเป็นหรือตายต้องรับผิดชอบเอง’

เรื่องนี้…ทุกคนต่างเป็นสหายในกลุ่มพันธมิตร ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นกระมัง สวี่ชีอันคิดในใจ

หลังจากการสนทนาในกลุ่มสิ้นสุดลง สวี่ชีอันก็เก็บเศษหนังสือปฐพี เงยหน้าขึ้น และเหลือบมองจงหลีที่นั่งหันหลังให้กับตัวเอง

เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้นำโชคร้ายมาให้ข้าใช่หรือไม่…ยังไงเสียข้าเอาไปคืนท่านโหราจารย์น่าจะดีกว่า…

……………………………………………….