บทที่ 261 สวี่ซินเหนียน ‘วันนี้เจอแต่คนบ้าอยู่เรื่อย’
ในลานเล็กแห่งหนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนเก็บเศษสิ้นส่วนหนังสือปฐพี ขมวดคิ้วเงียบงัน
ทุกคนในกลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีต่างเป็นผู้ที่ประเสริฐด้วยโชคลาภ หากสูญเสียคนใดไป เขาไม่อยากจะเห็นทั้งนั้น
“การต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์เป็นเรื่องของผู้อาวุโส คนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องแบ่งรับความเป็นความตาย หากไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวางแล้วล่ะก็ ด้วยความดื้อรั้นของหลี่เมี่ยวเจินและความฮึกเหิมของหมายเลขสี่ เกรงว่าต้องมีสักคนสิ้นลมและอีกคนเจ็บหนักเป็นแน่
“ข้าเป็นคนนิกายปฐพีไม่สะดวกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ หมายเลขหกก็พูดไม่เก่ง สถานะของหมายเลขหนึ่งก็ไม่สะดวก…คงต้องปัดสวะให้สวี่ชีอันจริงๆ เสียแล้ว ให้เขาเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ และเจือจางความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างหลี่เมี่ยวเจินและหมายเลขสี่ลง เช่นนี้ก็จะมีข้อต่อรองกับเจ้าสำนัก ซ้ำยังไม่ต้องแบ่งรับความเป็นความตายอีก
“แต่การบำเพ็ญเพียรของเขายังค่อนข้างอ่อนด้อย ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้ระหว่างหลี่เมี่ยวเจินและหมายเลขสี่ได้ เว้นแต่จะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงในเวลาอันสั้น”
บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงในเวลาอันสั้น ช่างเป็นไปได้ยากเสียจริง
นักบวชเต๋าจินเหลียนสีหน้าเป็นกังวลอยู่ครู่หนึ่ง คิดอยู่นานแล้วก็ยังไม่เจอวิธีที่เหมาะสม จนกระทั่งแมวส่งเสียงแหลมดังลอดมาจากในลาน
…ไม่นาน เจ้าแมวสีส้มตัวหนึ่งก็จากไปอย่างร่าเริง ยกหางขึ้นสูง
ภายในห้อง นักบวชเต๋าจินเหลียนเอนกายอยู่บนเตียง สีหน้าสุขสงบ
…
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ สวี่ชีอันก็ขี่แม่ม้าน้อย และพาจงหลีไปหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
“ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ โดยเฉพาะหอเฮ่าชี่” สวี่ชีอันหันข้าง พูดกับจงหลีที่อยู่ข้างๆ
นางไม่ได้ขี่ม้า แต่เดินตามแม่ม้าน้อยอยู่ข้างๆ ทีละก้าว ราวกับเดินเล่นในลานที่เงียบสงบหลังรับประทานอาหาร
วิชาหดตัวหรือ…สวี่ชีอันมอง พลางอิจฉาอยู่เงียบๆ
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฆ้องเงินท่านหนึ่งเดินนำฆ้องทองแดงสิบกว่าคนออกมาอย่างรีบเร่ง และปะทะกับสวี่ชีอันพอดี
ฆ้องเงินท่านนั้นหยุดและเข้ามาทักทาย สังเกตเห็นจงหลีที่สวมเสื้อคลุมผ้าลินิน ปล่อยผมยาวสยาย จึงเอ่ยถาม “นี่เป็นชาวยุทธภพที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือขอรับ เหตุใดถึงไม่มัดเล่า”
สวี่ชีอันตกตะลึง เอ่ยอย่างใคร่ครวญ “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้เล่า”
ฆ้องเงินอธิบาย “เมื่อวานท่านไม่ได้อยู่เวร ดังนั้นคงไม่ทราบ เมื่อวานเว่ยกงออกประกาศแล้วว่า อีกสามเดือนข้างหน้าก็จะถึงศึกการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ในรอบหกสิบปี”
“ก่อนหน้านั้น ลูกศิษย์ผู้มากความสามารถของนิกายมนุษย์และนิกายสวรรค์จะเป็นผู้นำการสู้รบ สำหรับชาวยุทธภพส่วนใหญ่แล้ว นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต”
“ดังนั้น ผู้คนทั่วยุทธภพจะเข้าเมืองอย่างไม่ขาดสาย เพราะอยากดูศึกการต่อสู้ระหว่างศิษย์สองสำนัก สวรรค์และมนุษย์ สหายร่วมหน่วยทั้งหลายต่างต้องเฝ้าประตูเมือง เพื่อลงทะเบียนชาวยุทธ์ที่หลั่งไหลเข้ามา และคัดกรองสายลับจากต่างแดนที่อาจปะปนเข้ามาด้วย”
หือ? เดิมทีตำแหน่งในยุทธภพของหมายเลขสี่และหมายเลขสองสูงส่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ…ไม่เห็นรู้สึกได้เลย บางทีข้าอาจจะเป็นสาเหตุของการตอนรุ่นที่สองกระมัง…สวี่ชีอันพยักหน้า และบอกลาฆ้องเงิน
เขาจัดแจงให้จงหลีไปอยู่ในห้องชุนเฟิงของหลี่อวี้ชุน ส่วนตนก็ไปหอเฮ่าชี่
จงหลีเป็นศิษย์ห้าของท่านโหราจารย์ สถานะถือว่าสูงส่ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ นางไปพบเว่ยเยวียนไม่ได้
หลังแจ้งกับทหารยาม สวี่ชีอันก็ขึ้นไปห้องน้ำชาบนชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนยืนอยู่ด้านหน้าแผนที่ภูมิลักษณ์ขนาดใหญ่ ยังคงอยู่ในชุดสีเขียวเช่นเดิม ผมของเขาถูกมวยขึ้นและปักด้วยปิ่นหยกเรียบง่าย สองมือไพล่หลัง แขนเสื้อห้อยลงมา
ในแง่อุปนิสัย หน้าตา ความสามารถ เว่ยเยวียนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำในหมู่วัยกลางคนที่สวี่ชีอันเคยพบเจอ ส่วนในหมู่คนหนุ่มนั้น ต้องยกให้เอ้อร์หลางและหนานกงเชี่ยนโหรวเป็นผู้นำในเรื่องหน้าตา
แต่ในแง่ความแข็งแกร่งโดยรวม สวี่ชีอันคิดว่าสวี่ต้าหลางชนะขาดลอย เพราะมีความเป็นผู้นำและความโดดเด่นสมชื่อ
“หนังสือการแต่งตั้งของเจ้าอยู่บนโต๊ะ อีกเดี๋ยวนำไปที่หน่วยคัดเลือกขุนนาง ไปรับสายคาดเอวและเครื่องแบบ”
เว่ยเยวียนไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่ชี้ไปที่โต๊ะ
สวี่ชีอันมองไปที่โต๊ะ เห็นเอกสารการเลื่อนตำแหน่งหนึ่งชุด ที่ประทับตราของเว่ยเยวียนจริงๆ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเว่ยเยวียนเป็นผู้ชี้ขาด เขาอยากจะเลื่อนตำแหน่งหรือลดตำแหน่งใครก็ได้ตามที่เขาต้องการ ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่กังวลกับการเลื่อนตำแหน่งเป็นฆ้องเงินของตนเอง
“หลังจากเป็นฆ้องเงินแล้ว ก็ไม่ต้องออกไปลาดตระเวน นั่งอยู่ในที่ทำการได้ และจัดการเวลาของตนเองได้อย่างอิสระมากขึ้น” เว่ยเยวียนชี้แนะ “พรสวรรค์ของเจ้าถือว่าไม่เลว ไม่ควรเปลืองเวลากับงานหลวง”
ข้าเพิ่งเคยเจอเจ้านายที่บอกกับพนักงานว่า ‘เจ้าไม่ควรเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยอย่างการทำงาน’ เป็นครั้งแรกเลย…สวี่ชีอันชิงชังชีวิตในชาติก่อนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างขยันขันแข็งมาสิบปีแต่ไม่เคยเจอหัวหน้าที่ดีเช่นนี้สักครั้ง
เขาหยิบหนังสือแต่งตั้งขึ้นมา กำลังจะขอตัว ก็ได้ยินเว่ยเยวียนเอ่ย “อย่าเพิ่งรีบไป อีกไม่นานก็จะถึงการต่อสู้ระหว่างนิกายมนุษย์และนิกายสวรรค์แล้ว ในช่วงเวลานี้เกรงว่าเมืองหลวงคงไม่สงบ จะต้องมีชาวยุทธภพก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นแน่”
“ข้าน้อยรับทราบ จะรักษาความปลอดภัยเมืองชั้นในให้ดีขอรับ” สวี่ชีอันกล่าวทันที
เว่ยเยวียนพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ “เจ้าเคยติดต่อกับหลี่เมี่ยวเจินที่อวิ๋นโจว คิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับนางหรือ”
ฐานะลูกศิษย์นิกายสวรรค์ ตอนอยู่ในเมืองไป๋ตี้หลี่เมี่ยวเจินได้สารภาพกับผู้ตรวจการจาง และเจียงลวี่จง หลังจากที่สวี่ชีอันสิ้นชีพในขณะสู้รบ ผู้ตรวจการจางได้ส่งสารกลับมายังเมืองหลวงว่าด้วยขบวนการปราบปรามโจรกรรม และบรรยายผลงานที่โดดเด่นของหลี่เมี่ยวเจินลูกศิษย์นิกายสวรรค์ในการปราบปรามซ่องโจร
และขอความกรุณาราชสำนักมอบตำแหน่งกึ่งทางการให้กับนาง
แน่นอนว่าสุดท้ายถูกปัดตก ลั่วอวี้เหิงเป็นถึงราชครูของต้าฟ่ง อีกทั้งนิกายมนุษย์กับนิกายสวรรค์ทั้งสองฝ่ายไม่มีวันญาติดีกัน เรื่องนี้มันน่าขำดีมิใช่หรือ
ความรู้สึกของข้าที่มีต่อนางหรือ…สวี่ชีอันคิดไปมา ก็คิดว่าสามารถสรุปออกมาได้หนึ่งประโยค ‘ข้าแลแม่ทัพปลดเปลื้องชุดเกราะ แนบอุ่นไอร่วมคืนวสันต์หลังม่านดอกชบา[1]’
“ก็แค่ลูกศิษย์สองคนเท่านั้น เว่ยกงไม่จำเป็นต้องสนใจถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง” สวี่ชีอันกล่าว
“ท่าทีของลูกศิษย์ เป็นตัวตัดสินท่าทีของอาจารย์ผู้อาวุโส” เว่ยเยวียนเรียกคืนสติกลับมา หันไปมองเขาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เป็นผู้ที่อยู่ระดับหนึ่ง”
สวี่ชีอันทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจในคำตอบดังกล่าว บรรดาลัทธิเต๋าสามนิกาย นิกายสวรรค์คือผู้ทรงพลังที่สุด ผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์และนิกายปฐพีอยู่ระดับสอง สมมตินิกายสวรรค์ไม่มีผู้ที่อยู่ระดับหนึ่ง จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไร
แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ลั่วอวี้เหิงแห่งนิกายมนุษย์ก็ต้องแพ้แต่เริ่มไม่ใช่หรือ
ลั่วอวี้เหิงจะมีอัตราชนะอย่างไรสวี่ชีอันไม่สนใจ เขาเข้าใจความหมายของเว่ยเยวียนแล้ว การประลองระหว่างลูกศิษย์ครั้งนี้หากไม่สามารถจัดการให้ดี ถึงเวลานั้นอาจเกิดการต่อสู้ระหว่างสองผู้นำสวรรค์และมนุษย์จนต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
ระดับหนึ่งและระดับสองเป็นพลังต่อสู้ระดับสูงที่สุดของยุทธภพ ที่แม้แต่เว่ยเยวียนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมก็ไม่กล้าประมาท และท่านโหราจารย์บุคคลผู้เป็นสมบัติก้นหีบ[2]ของต้าฟ่ง ก็อยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น
“เว่ยกง ข้าน้อยมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกท่านขอรับ” สวี่ชีอันตั้งใจจะรายงานเรื่องภายในของพรรคฟ้าดิน
เว่ยเยวียนส่งเสียง ‘อือ’ ไม่ได้เอ่ยอะไร
“หลี่เมี่ยวเจินผู้นั้นเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหมายเลขสองขอรับ ส่วนลูกศิษย์ที่นิกายมนุษย์ส่งมา น่าจะเป็นนักดาบอันดับหนึ่งที่ท่านเคยประเมินผู้นั้น” สวี่ชีอันกล่าวรายงาน
ข้อมูลนี้เป็นไปตามที่เว่ยเยวียนคาดเอาไว้ เขาละสายตาจากแผนที่ภูมิลักษณ์ กลับมานั่งเก้าอี้ เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “กล่าวได้ดี”
สวี่ชีอันรายงานบันทึกการสนทนาจาก ‘กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี’ ของเมื่อวานให้ฟังอีกรอบทันที
“ข่าวคราวของเจ้าไวดีนี่” เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างชื่นชม
เขา ‘โปรดปราน’ ฆ้องทองแดงผู้นี้อย่างมาก องค์ประกอบซับซ้อน และมีหลายปัจจัย อย่างแรกคือจิตใจ รวมถึงบุคลิกที่คุณค่าแก่การไว้วางใจและมั่นใจ ต่อมาถึงจะเป็นความสามารถ พรสวรรค์ที่สวี่ชีอันแสดงออกมามีค่าควรแก่การบ่มเพาะอย่างทุ่มเท
สุดท้ายคืออุปนิสัย สิ่งนี้แตกต่างจากจิตใจ นิสัยของสวี่ชีอันทั้งเข้ากับทุกคนได้ดี ฉลาด กะล่อน รู้จักประจบสอพลอ แต่ก็มีหลักการเป็นของตนเอง
อีกหนึ่งอย่างสุดท้ายคือ เขามักจะทำให้เว่ยเยวียนประหลาดใจได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการคลี่คลายคดีหรือข้อมูลที่รายงานในขณะนี้ เขาแสดงบทบาทของตนเองให้เว่ยเยวียนเห็นอยู่เสมอ
ทำให้เว่ยเยวียนปลาบปลื้มใจว่านี่ไม่ใช่ต้นอ่อนที่ทำอะไรก็ไม่เป็น และต้องได้รับการสนับสนุนและปกป้องจากตนตลอดเวลา
นี่เป็นข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างพวกอัจฉริยะประจำตระกูล ที่มีพรสวรรค์แต่ความสามารถในการทำงาน และการจัดการห่วยแตกอย่างหาที่เปรียบมิได้
“พยายามร่วมมือกับนักบวชเต๋าจินเหลียนไว้ล่ะ” เว่ยเยวียนพูดออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
เห็นท่าทางงุนงงของสวี่ชีอัน เขาจึงอธิบาย “จินเหลียนก่อตั้งพรรคฟ้าดิน และค้นหาผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั่วจิ่วโจว ความตั้งใจเดิมคือเป็นผู้นำเต๋าในการกวาดล้างและกำจัดเส้นทางสู่สายมารให้สิ้นซาก”
สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ แรงจูงใจของจินเหลียนก็เป็นเขาที่รายงานกับเว่ยเยวียนเอง
“เช่นนั้นเขาคงไม่อาจทนดูการสูญเสียผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างแน่นอน จะต้องพยายามหาวิธีไกล่เกลี่ยถึงที่สุด แต่เขาเป็นคนของนิกายปฐพี นิกายปฐพีรักษาความเป็นกลางตลอดมา ไม่สะดวกเข้าแทรกแซงโดยตรง มีทางเป็นไปได้ที่จะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
“ข้าจะช่วยอะไรได้ล่ะขอรับ เหอะ เหอะ เหอะ…” สวี่ชีอันหัวเราะไป รอยยิ้มก็ค่อยๆ แข็งค้าง
เว่ยเยวียนไม่ทราบเรื่องที่ว่าเจ้าฆ้องเงินน้อยผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเคยพูดจาโอ้อวดไว้ในกลุ่มหนังสือปฐพี ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของสวี่ชีอัน แต่กลับกล่าวว่า
“ศาสนาจากประจิมทิศใกล้จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว”
สวี่ชีอันตะลึงงัน คิดในใจว่าเว่ยเยวียนรู้ได้อย่างไรว่าศาสนาจากประจิมทิศจะมาถึงเมืองหลวง…แต่ก็ถึงบางอ้อโดยทันทีว่ากองทัพใหญ่ของศาสนาจากประจิมทิศจะมาเยือนเมืองหลวงต้าฟ่ง ไม่สามารถมาแบบปุบปับได้อย่างแน่นอน
ก็เหมือนเป็นพบปะกันระหว่างประมุขของสองประเทศ ต้องแจ้งล่วงหน้า และนัดหมายเวลาเสียก่อน
“ทั้งการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ทั้งศาสนาจากประจิมทิศ ทั้งการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์อีก…รับมือยากเสียจริง” สวี่ชีอันรู้สึกหนักใจ
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงตีฆ้องและกลองดังขึ้นจากชั้นล่าง ‘ปัง ปัง ปัง’ และมีเสียงตะโกนอื้ออึงว่า “ไฟไหม้ ไฟไหม้…”
ไฟไหม้หรือ?!
สวี่ชีอันเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาครึ่งปี เป็นครั้งแรกที่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ วินาทีต่อมา หัวใจของเขากระตุก รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“เว่ย เว่ยกง ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
เขายืนขึ้นอย่างรวดเร็ว คารวะ และพุ่งไปยังหอเฮ่าชี่อย่างตื่นตระหนก เมื่อมองไปรอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง พบว่าเจ้าพนักงานและพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังถือถังน้ำ และมุ่งไปทางห้องชุนเฟิงอย่างบ้าคลั่ง
…
สิบห้านาทีต่อมา เพลิงไหม้ก็ถูกดับลงโดยฆ้องทองคำท่านหนึ่งที่เข้าเวรในที่ทำการปกครอง ห้องชุนเฟิงถูกไฟไหม้จนวอดวาดเป็นซากปรักหักพัง โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ฆ้องทองคำท่านนั้นโกรธจัด สั่งให้พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปสืบหาสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้
ในลานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง จงหลีที่ผมไหม้เกรียมนั่งยองๆ อยู่กับพื้น เสื้อคลุมผ้าลินินไหม้เป็นรูหลายรู จนเผยให้เห็นผิวที่เนียนละเอียด
“ข้ารออยู่ที่ห้องดีๆ จู่ๆ ก็ไฟไหม้ขึ้นมา หากท่านมาช้าอีกนิด ข้าคงสุกไปแล้ว…” นางกล่าวอย่างเสียขวัญ
“อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงโหรระดับห้า ไฟเพียงแค่นั้นทำร้ายเจ้าได้หรือ”
จงหลีกล่าว “ข้าเพิ่งจะนั่งสมาธิ การขับเคลื่อนลมปราณก็เกิดความผิดพลาดแล้ว”
“…”
สวี่ชีอันทนไม่ไหว “ข้าพาเจ้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”
…
เวลาสนทยา สวี่ซินเหนียนออกจากสนามสอบหลังเสร็จสิ้นการสอบระดับประเทศ[3]สนามแรก ตามเหล่าบัณฑิตที่หลั่งไหลออกจากประตูใหญ่มาที่ถนน เขามองไปรอบๆ ก็พบว่าท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่และน้องสาวไม่มีใครมารับเขาเลย
“ท่านพ่อและพี่ใหญ่คงยังไม่เลิกจากการลาดตระเวน ท่านแม่และน้องสาวไม่สะดวกที่จะเดินทางมาเพียงลำพัง…” สวี่เอ้อร์หลางปลอบใจตนเอง
เขาแบกกล่องตำรา ตั้งใจจะเดินทางกลับจวน และไม่ลืมใช้ความสามารถพิเศษของตน โดยการตบต้นขาเบาๆ เหวินต่านสั่นไหว พลางท่อง
“กายเบาเหมือนนกนางแอ่น!”
พลังที่มองไม่เห็นห่อหุ้มตัวเขาไว้ ระหว่างที่เดิน ก็คล้ายมีลมคอยพัดส่ง ทำให้เดินได้เร็วไม่ต่างจากรถม้า
ทันใดนั้น ด้านหน้ามีคนหัวเราะ “กายเบาเหมือนนกนางแอ่น ใช้ได้นี่!”
สวี่ซินเหนียนหยุดฝีเท้า มองไปตามเสียง ข้างทางมีนักดาบชุดเขียวสะพายดาบไว้ข้างหลังคนหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลา ฉายแววดื้อรั้น เขาดูอ่อนเยาว์มาก แต่ปอยผมขาวที่ห้อยลงมานั้น แสดงให้เห็นว่าเขาผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
ไม่รอให้สวี่ซินเหนียนพูด นักดาบผู้นั้นก็ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์สนามแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าเป็นนิสัยของข้าในตอนนั้น อีกสามวันให้หลังจะต้องไปดื่มสุราฉลองกับสหายร่วมสำนักที่สำนักสังคีต”
“แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อเก้าปีที่แล้ว คิดๆ ดูพวกคณิกาในตอนนั้นคงแก่เฒ่า และมีคนรักกันหมด ได้ยินมาว่าสำนักสังคีตในเมืองหลวงมีคณิกาที่มากความสามารถทั้งกวีและกู่ฉิน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพ ข้าอยากไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
“น้องชาย พวกเราน่าจะไปด้วยกันนะ”
สวี่ซินเหนียนฟังเงียบๆ จนจบ เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ ‘ไอ้นี่มันบ้า’
น้ำเสียงที่เป็นกันเองนั้น ราวกับรู้จักมักจี่กันอย่างดี อีกทั้งยังหันมาขยิบตาให้เขาอีก…แต่สวี่ซินเหนียนมั่นใจว่า ตนเองไม่รู้จักไอ้หมอนี่เลยแม้แต่น้อย
วันนี้มันวันอะไรกัน ก่อนจะเข้าสนามสอบก็เจอพระที่ลึกลับรูปหนึ่ง ออกมาจากสนามสอบก็ยังมาเจอกับนักดาบเสียสติอีก…สวี่ซินเหนียนไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เวลาอยู่ข้างนอกเด็กหนุ่มต้องดูแลตัวเองให้ดี
…
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ดวงตะวันสีแดงเพลิงแขวนอยู่ริมขอบฟ้า สวี่ชีอันพาจงหลีมายังสำนักสังคีต
“ก็ไม่รู้ว่าอาการป่วยของฝูเซียงดีขึ้นหรือยัง ร่างกายอิสตรีสมัยนี้อ่อนแอ เอะอะก็ล้มป่วย”
สวี่ชีอันเตรียมพาจงหลีไปเยี่ยมฝูเซียง และวินิฉัยโรคให้นางเสียหน่อย
จงหลียังคงสวมชุดคลุมผ้าลินิน หลังจากอาบน้ำอาบท่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง สยายปิดบังใบหน้ารูปไข่
สวี่ชีอันเดาว่านางเป็นผู้หญิงที่อัปลักษณ์ หรือไม่ใบหน้าก็มีรอยแผลเป็น จึงไม่แสดงใบหน้าที่แท้จริงให้ใครเห็น
………………………………………….
[1] เป็นประโยคที่เกิดจากการรวมบทกลอนโบราณสองบทเข้าด้วยกัน วรรคแรกมาจากกลอน 《送毛伯温》วรรคหลังมาจากกลอน《长恨歌》
[2] เปรียบเทียบกับสิ่งที่ล้ำค่ามากๆ ต้องเก็บซ่อนไว้ก้นหีบ
[3] การสอบจอหงวนระดับประเทศ