ตอนที่ 165 ขุ่นเคืองใจ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 165 ขุ่นเคืองใจ

ครู่เดียวในความหมายของแม่นางเหลียนไม่อาจเป็นเพียงครู่เล็ก ๆ เช่นที่ทุกคนเข้าใจ นางง่วนอยู่กับการก่อไฟให้แม่นางจ้าวอยู่นาน ส่วนแม่นางจ้าวซึ่งเป็นต้นเรื่องกลับเลี่ยงออกมายืนนอกห้องครัวและโบกผ้าเช็ดหน้าสะบัดพัดให้คลายความร้อนให้ตน

หยุนเชวี่ยชะเง้อคอมองตามแล้วได้แต่ขบริมฝีปากอย่างไม่สบอารมณ์ แม่นางจ้าวฉลาดหลอกใช้คนอย่างแยบยลเพื่อที่ตนจะไม่ต้องมาลำบากทำด้วยตัวเอง ช่างร้ายลึกนัก!

หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกแม่นางเหลียน “ท่านแม่ พวกข้ารอกินข้าวนานแล้ว ท่านก่อไฟปรุงอาหารให้ป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่เสร็จอีกหรือเจ้าคะ?”

นางไม่เพียงตะโกนสุ่มสี่สุ่มห้าแต่ยังลอบเน้นประโยคที่ว่า ‘ให้ป้าสะใภ้ใหญ่’ โดยหวังให้ดังไปถึงหูของแม่เฒ่าจูซึ่งอยู่ในห้องชั้นบน

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรอแม่ กินกันไปก่อนเถิด” แม่นางเหลียนตอบกลับ

“ข้ารอท่านได้ อีกไม่นานไฟคงติดแล้ว เท่านั้นก็เสร็จสรรพใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเหลือบมองแม่นางจ้าวเพื่อดูปฏิกิริยาของนาง

“ยังหรอก แม่ตั้งใจจะนวดแป้งทำเส้นบะหมี่และทอดแป้งเกี๊ยว…”

“โอ้! สองอย่างเชียวหรือนี่?!” หยุนเชวี่ยแสร้งขึ้นเสียงสูง “นอกจากก่อไฟแล้วท่านแม่ยังต้องทำบะหมี่และเกี๊ยวทอดให้ท่านป้าอีกรึ?”

กล่าวจบแล้วหยุนเชวี่ยจึงกวักมือเรียกแม่นางจ้าวพร้อมเผยรอยยิ้มราวโอบอ้อมอารีเสียเต็มประดา “ข้ารู้ว่าท่านป้าเหนื่อยมาตลอดทั้งวันแล้ว เช่นนั้นอย่าเสียเวลาแยกครัวให้ยุ่งยาก มารับมื้อกลางวันพร้อมกับครอบครัวของข้าดีกว่าเจ้าค่ะ!”

สีหน้าของแม่นางจ้าวแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที นางเพียงส่งสายตาเย็นเยือกทว่าไม่เอ่ยคำใดก่อนเดินกระแทกฝีเท้ากลับเข้าไปในครัว ยังไม่ทันจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตู “ปัง!” เสียงประตูห้องชั้นบนกลับถูกเปิดออกโดยแรง

สตรีต่างวัยเผชิญหน้ากันเสียแล้ว

ใบหน้าเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าจูยามขุ่นเคืองใจยิ่งส่งผลให้ไม่น่าอภิรมย์เข้าไปใหญ่ นางเดินอาด ๆ ตรงไปผลักร่างแม่นางจ้าวให้พ้นทางจึงพบว่าภายในห้องครัวมีเพียงแม่นางเหลียนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ หุงหาอาหารทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราย ภาพตรงหน้าทำให้แม่เฒ่าจูรู้สึกโกรธจัด

“สะใภ้บัณฑิตช่างสูงส่งเสียดฟ้าเสียนี่กระไร! ร่างกายของเจ้าเคลือบทองเลอค่ายิ่งกว่าฮองเฮาร้อยเท่าพันเท่ากระนั้นรึ?! แม้มีความรู้สูงแต่กลับไร้ซึ่งฝีมือปลายจวัก! เช่นนี้แล้วก็จงไปเสาะหาสาวรับใช้มารองมือรองเท้าอีกสักสองสามนางดีหรือไม่? ถุย! สตรีเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ! ตระกูลหยุนของข้ารับสะใภ้เกียจคร้านผู้นี้ไว้เลี้ยงดูไปเพื่อสิ่งใดกัน?!”

แม่นางเหลียนซึ่งในมือยังมีแป้งเกี๊ยวที่ปั้นค้างไว้ได้ยินเสียงสาปแช่งดังขึ้นจากหน้าประตูห้องครัว จึงยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าตนควรทำอย่างไรต่อ

แม่เฒ่าจูยังไม่หยุดพ่นคำผรุสวาท “ว่าอย่างไร? ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าเห็นว่าเจ้าขยันทำขยันคิด ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการปั้นหน้าประจบสอพลออย่างนั้นหรอกหรือ? เจ้าเป็นบัณฑิตทว่าไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นสะใภ้ที่ดีด้วยซ้ำ! เป็นเช่นนี้แล้วยังฝันเฟื่องว่าตนจะก้าวหน้าเป็นฮูหยินใหญ่เคียงข้างลูกชายข้าอีกรึ?”

ใบหน้าแม่นางเหลียนแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะถ้อยคำรุนแรงเหล่านั้น แม้รู้ว่าแม่เฒ่าจูไม่ได้กล่าวถึงตนก็ตาม

“ท่านแม่…” แม่นางจ้าวรีบใช้น้ำเย็นเข้าลูบพลางดัดเสียงให้อ่อนหวาน “ข้าง่วนอยู่กับงานในครัวจนล้นมือ ครั้นหยิบจับไม่ทันการจึงขอร้องให้น้องสะใภ้รองมาช่วยเพียงเท่านั้น”

“งานยุ่งมากอย่างนั้นรึ? อืม… ข้าไม่เห็นว่าคนเช่นเจ้าจะแตกต่างจากลาขี้เกียจตรงไหน!” แม่เฒ่าจูพุ่งตัวเข้ามาคว้าแผ่นแป้งในมือแม่นางเหลียนก่อนโยนกลับเข้าไปในอ่างผสม “วันนี้ข้าใคร่รู้นักว่าเพียงการทำอาหารด้วยตนเองจะลำบากจนทำให้เจ้ากระอักเลือดตายหรือไม่?!”

แม่นางเหลียนไม่บังอาจแก้ต่างแทนแม่นางจ้าว นางวางมือจากทุกสิ่งที่ทำอยู่ จากนั้นจึงถอยกลับออกไปยืนอยู่นอกประตูห้องครัวอย่างไม่รอช้า

แม่เฒ่าจูไม่ให้เวลาแม่นางจ้าวแม้แต่จะสูดลมหายใจเพื่อเรียกสติ นางยกแขนขึ้นเท้าเอวอย่างดุดัน ปากก็พร่ำคำด่าเข้าหูแม่นางจ้าวอยู่เนือง ๆ “ข้าคิดว่าสะใภ้สามเกียจคร้านพอดูอยู่แล้ว เช่นนั้นแสดงให้ข้าเห็นสิ ว่าเจ้าต่างไปจากนางหรือไม่?”

คำประกาศิตของแม่สามีถือเป็นเสียงชี้ขาด แม่นางจ้าวไม่มีทางอื่นนอกจากเม้มริมฝีปากและเริ่มทำการนวดแป้ง

“ก้นหม้อที่ตั้งไว้จะไหม้อยู่แล้ว! ดวงตาของเจ้าไร้แววหรือจึงมองไม่เห็น?!”

แม่นางจ้าววางมือจากอ่างผสมแป้งก่อนกระวีกระวาดหาน้ำมาเติมลงในหม้อ

“ถ่านไฟในเตาริบหรี่เต็มทีแล้ว! เจ้าขยันก่อไฟหลายครั้งมากถึงเพียงนั้นเชียวรึ?!”

แม่นางจ้าวได้ยินจึงหันไปหยิบฟืนเติมเข้าในเตาไฟและหยิบพัดขึ้นโบกให้ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ทว่ากลับไม่รู้จักดูทิศทางลมทำให้ควันไฟตีเข้าหน้าจนสำลักและลืมตาไม่ขึ้น

“ดูสารรูปเจ้าตอนนี้เสียว่าทั้งโง่เขลาและชักช้าเพียงใด! มัวยืนนิ่งทำสากกะเบือใดเล่า? ทยอยใส่วัตถุดิบลงในหม้อได้แล้ว ส่วนน้ำมันน่ะหัดเทให้มันน้อย ๆ หน่อย!”

แม่นางจ้าว…

ผ่านไปพักใหญ่แล้ว ทว่าเสียงตวาดของแม่เฒ่าจูกลับเง้มงวดและดุดันขึ้นเรื่อย ๆ

แม่นางเหลียนที่เพิ่งปลีกตัวออกมาจากครัวนรกนั้นได้ยกฝ่ามือขึ้นแตะหน้าอกตนเองด้วยความโล่งอก “โธ่เอ๊ย… ช่วงนี้แปลกจริงเชียว ป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าปกติมักวางตนดีเสมอไม่เคยทำให้ท่านย่าได้ดุด่า ไฉนวันนี้เหตุการณ์จึงกลับตาลปัตรไปได้?”

“ป้าสะใภ้ใหญ่หลักแหลมไม่น้อย นางต้องการแสดงฝีมือแต่รู้ว่าตนทำอาหารไม่เป็นจึงคิดยืมมือท่านแม่ให้ช่วยเหลือและชุบมือเปิบไว้เพียงผู้เดียว” หยุนเชวี่ยมองแผนการของอีกฝ่ายออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

“สะใภ้ใหญ่โชคดียิ่ง นางหลีกเลี่ยงการหยิบจับงานบ้านทุกชนิดของตระกูลหยุนมาได้ตลอดยี่สิบกว่าปี จู่ ๆ กลับนึกกตัญญูต่อแม่สามีขึ้นมา ทว่านางคงคิดน้อยไปเสียหน่อย หากข้าไม่เข้าไปช่วยในช่วงแรกเห็นทีจนย่ำรุ่งพรุ่งนี้ท่านย่าของเจ้าคงยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง” แม่นางเหลียนยังคงมองโลกในแง่ดี

“ถึงขั้นนี้แล้วท่านแม่ยังใจดีกับพวกเขาอยู่อีก กินข้าวกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว!” หยุนเชวี่ยเกียจคร้านที่จะเล่าให้มารดาฟังว่าขณะที่แม่นางเหลียนวุ่นอยู่ในครัวสายตัวแทบขาดแม่นางจ้าวเชิดหน้าชูคอประหนึ่งเป็นนายหญิงอย่างไร เพราะถึงอย่างไรแม่นางเหลียนคงหาเหตุผลมาหักล้างอยู่วันยังค่ำ ยังคงมีความสุขเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

ห้องครัวฝั่งปีกตะวันออก อาหารทุกอย่างจวนเสร็จสรรพพร้อมลงจานแล้ว หยุนเชวี่ยเหลือบไปเห็นแม่นางจ้าวกำลังยกชามอาหารไปยังห้องโถงใหญ่โดยมีสายตาแข็งกระด้างของแม่เฒ่าจูมองตามหลัง

ครู่ต่อมา คำวิพากษ์วิจารณ์สุดเจ็บแสบพลันดังลั่นออกมาจากห้องโถง “บ๊ะ! เหยาะเกลือลงไปจนหมดโหลเลยหรืออย่างไร?! พืชผักงาม ๆ กลับถูกทำให้เสียรสชาติเพราะน้ำมือคนไม่เอาไหนเช่นเจ้า! สวรรค์ลงโทษข้าโดยส่งสตรีจอมล้างผลาญมาทำลายตระกูลของข้างั้นรึ?!”

จากนั้นเสียงที่ดังขึ้นถัดมาคือคำพูดเหน็บแนมกลั้วหัวเราะของหยุนชิ่วเอ๋อ “พี่สะใภ้ใหญ่ หากท่านไม่เต็มใจรับใช้ท่านพ่อท่านแม่ก็บอกกล่าวกันตามตรงเถิด ทำเช่นนี้หมายจะฆ่าแกงให้พวกเราอดอยากกันหรืออย่างไร?”

“ขะ… ข้าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้เสียเมื่อไรกัน? นี่… เพียงเติมน้ำก็ลดความเค็มได้แล้วมิใช่หรือ?”

“นั่นใช่หนทางแก้ปัญหารึ?! หากทำเช่นนั้นกับข้าวเหล่านี้ก็เป็นอาหารหมูไปแล้ว!” หยุนชิ่วเอ๋อขึ้นเสียงบ้างพร้อมวางตะเกียบกระแทกลงบนโต๊ะ

เวลานี้ทั้งใบหน้าเปี่ยมสง่าราศีหรือแม้แต่ริมฝีปากอันเปี่ยมไปด้วยวาทศิลป์ก็ไม่อาจช่วยเหลือให้แม่นางจ้าวหลบเลี่ยงคำวิจารณ์รุนแรงเหล่านั้นได้ แม่นางจ้าวรู้ว่าลึก ๆ แล้วแม่เฒ่าจูภาคภูมิใจในตัวนางมากที่สุดจากบรรดาสะใภ้ทั้งสาม ดังนั้นนางจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้แม่เฒ่าจูและผู้เฒ่าหยุนซึ่งเผชิญปัญหาที่โถมกระหน่ำเข้ามาราวใบมีดร้อยพันเล่มให้ปล่อยวางและกลับมาเอ็นดูตนดังเดิม

ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจอย่างไร้อารมณ์ เขาไม่แตะต้องอาหารแม้แต่คำเดียวและวางตะเกียบลงก่อนลุกเดินออกไปจากห้องโถงพลางเอามือไพล่หลัง

จะกินข้าวลงท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

ผู้เฒ่าหยุนไม่อยากต่อความยาวให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปกว่าที่เป็นอยู่

เพียงได้ยินเสียงปะทะคารมของแม่เฒ่าจู หยุนชิ่วเอ๋อ และแม่นางจ้าว คิ้วทั้งสองของเขาก็พลันขมวดเข้าหากันจนหัวสมองเต็มไปด้วยความตึงเครียด เวลานี้ผู้เฒ่าหยุนต้องการหาความสงบเงียบเพื่อให้อารมณ์ภายในผ่อนคลายลงบ้าง

“ท่านพ่อ…” หยุนลี่เต๋อลุกขึ้นพลางร้องเรียกพ่อของเขา “มาเถิดขอรับ ร่วมวงกินมื้อกลางวันด้วยกัน ส่วนท่านแม่และชิ่วเอ๋อข้าจะเป็นคนยกจานใหม่ร้อน ๆ ไปให้พวกนางเอง”

หยุนลี่เต๋อหรือจะมองไม่ออกว่าผู้เฒ่าหยุนไม่สบอารมณ์ เขาจึงต้องการพูดคุยปรับทุกข์กับอีกฝ่ายหวังให้ความทุกข์ทนในใจของบิดาคลายลงบ้างไม่มากก็น้อย ถึงกระนั้นหยุนลี่เต๋อก็รู้แก่ใจว่าผู้เฒ่าหยุนไม่ต้องการคำปลอบโยนใดจากตน เพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่อง คนแรกที่ผู้เฒ่าหยุนนึกถึงย่อมเป็นหยุนลี่จงเสมอ

ผู้เฒ่าหยุนไม่แม้แต่จะหยุดตอบโต้ เขาไพล่มือไว้ด้านหลังเช่นเดิมและเดินไปยังรั้วบ้าน “ข้ายังไม่หิว นำอาหารไปให้แม่และน้องสาวของเจ้าก่อนเถิด”

“ท่านพ่อ เที่ยงวันแดดแรงนัก จะไปที่ใดอีกหรือ?”

“ไปเดินเล่น”

หยุนลี่เต๋อเพียงมองตามแผ่นหลังของผู้เฒ่าหยุนไปพลางส่ายศีรษะ จากนั้นจึงถอนหายใจยาว คำถามที่ออกจากปากไม่อาจล่วงรู้ว่ากำลังถามแม่นางเหลียนหรือถามตนเองอยู่กันแน่ “จนกระทั่งวันนี้ชีวิตของพวกเราก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเลยหรือ? เราแข็งขันไม่เกียจคร้านไปเพื่อสิ่งใดกันแน่?”

“ชามใบใหญ่ที่ข้าบรรจุอาหารมอบให้พวกเขาในมื้อเช้า จนป่านนี้ยังไม่ได้รับคืน” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่

บ้านใหญ่มีหลายปากหลายท้อง อาหารที่ส่งไปจึงเจาะจงให้สำหรับแม่เฒ่าจูเพียงผู้เดียวไม่ได้ เห็นทีครอบครัวของตนคงมีค่าเพียงเรื่องอาหารการกินเท่านั้น

เดี๋ยวนี้แม่นางเหลียนต้องปรับเปลี่ยนการปรุงอาหารจากเดิมเสียใหม่ จากที่เคยทำเพื่อห้าคนพ่อแม่ลูก กลับต้องเพิ่มปริมาณขึ้นในช่วงเที่ยง และส่วนที่เหลือจึงนำมาอุ่นให้ร้อนสำหรับทานต่อในมื้อเย็นของวันเดียวกัน ทุกอย่างล้วนเป็นระเบียบไร้ข้อบกพร่อง ทว่ามันไม่มีความพิเศษใด ๆ ต่อคนเหล่านั้นเลย

อาหารทุกจานที่ส่งไปล้วนหมดเกลี้ยง ทว่าแม่เฒ่าจูและหยุนชิ่วเอ๋อไม่เคยยกย่องหรือเห็นค่าแม้เพียงหนึ่งครั้ง

ด่าทอกันไปครู่ใหญ่ ประเดี๋ยวก็จบลงที่อาหารฝีมือแม่นางเหลียนซึ่งเป็นประหนึ่งของแก้ขัดในมื้อนั้น ๆ แต่แล้วบนโต๊ะอาหารกลับเต็มไปด้วยเสียงติติงของแม่เฒ่าจูราวไม่ถูกใจไปเสียทุกสิ่งอย่าง ทำให้ผู้เฒ่าหยุนกินอาหารในแต่ละมื้อได้เพียงน้อยนิด

ถึงกระนั้นหากไม่ชอบใจ… โดยปกติต้องเหลืออาหารนั้น ๆ ไว้เป็นการบ่งบอกว่ารสชาติย่ำแย่ ทว่าพวกเขากลับกระทำตรงข้าม แม้ตำหนิรสมือแม่นางเหลียนสารพันแต่อาหารที่ว่ากลับหมดเกลี้ยงทุกครั้ง แม้แต่จานชามที่ใช้บรรจุยังไม่คิดนำมาคืนให้

วันนี้หยุนชิ่วเอ๋อซึ่งเจริญอาหารกว่าผู้ใดในบ้านวิ่งกลับไปยังห้องส่วนตัวของตนทันทีที่เสร็จสิ้นมื้ออาหาร จากนั้นจึงทำแก้มพองและหันหน้าไปทางห้องปีกตะวันตกของครอบครัวรองแห่งตระกูลหยุนและถ่มน้ำลายเสียงดัง “ครอบครัวเจ้าบัดซบเสียจริง! แม้แต่อาหารก็ย่ำแย่เสียจนกินไม่ลง แหวะ!”