ตอนที่ 166 แม่นางเฉินผู้หิวโหย

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 166 แม่นางเฉินผู้หิวโหย

หยุนเชวี่ยทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังจะกลับเข้าบ้านบังเอิญได้ยินคำติเตียนอันร้ายกาจจากหยุนชิ่วเอ๋อพอดีจึงตั้งท่าจะตอกกลับ

ยังดีที่หยุนเยี่ยนอยู่ที่นั่นด้วยจึงรีบคว้าแขนหยุนเชวี่ยเข้ามาในห้องก่อนปิดประตูลงทันที “อาชิ่วเอ๋อเป็นเช่นนี้ของนางมาตลอด เอะอะก็สาปแช่งผู้อื่น เจ้าอย่าต่อปากต่อคำกับนางเสียจะดีกว่า”

“เหตุใดข้าต้องยอมนางอยู่เรื่อย? คนเช่นนางปากไม่มีหูรูดซ้ำยังไร้เหตุผล! สมควรแล้วที่จะถูกเอ้อหลางทุบจนหน้าเหมือนหมู!” หยุนเชวี่ยยังคงเดือดดาล “กินอาหารของบ้านเราจนหมดแต่กลับล้วงคออาเจียนกล่าวหาว่ารสมือบัดซบ… หากนางแน่จริงก็อย่าได้นำมันเข้าปากแม้แต่คำเดียว! สวาปามกันดีนักสักวันข้าจะวางยาพิษเจือปนอยู่ในนั้นให้ดู!”

“อย่าโกรธไปเลยน่า ข้าไม่ว่าหากเจ้าจะนึกไม่พอใจนาง แต่อย่าได้ลดตัวลงจนไร้เหตุผลเพื่อต่อสู้กับนางเด็ดขาด” หยุนเยี่ยนกล่าวเตือนสติด้วยรอยยิ้ม “หากเราตอบโต้กับนางไปเสียทุกเรื่อง ภายในบ้านยิ่งร้อนเป็นไฟกว่านี้เป็นแน่ เรารู้อยู่แก่ใจก็พอว่านางเลวร้ายเช่นไร”

“ข้าหรือจะไม่รู้ความจริงทั้งหมด คนเช่นนางไม่มีทางยอมลดศักดิ์ศรี ต่อให้นางกินอาหารของเราจนอิ่มหนำสำราญถึงอย่างไร ก็ย่อมโกหกว่าไม่ถูกปากไปเสียทุกครั้ง! นางจงใจกลั่นแกล้งเราชัด ๆ!”

หยุนเชวี่ยลอบคิดในใจว่าสองแม่ลูกช่างเกิดมาเพื่อเจริญรอยตามกันอย่างแท้จริง แม้แต่อุปนิสัยยังคล้ายคลึงราวถอดออกมาจากแบบพิมพ์เดียวกันอย่างไร้ข้อแตกต่าง

ทันใดนั้นทุกคนจึงได้ยินเสียงแม่นางจ้าวดังมาจากด้านนอก “สะใภ้รอง… จานชามของเจ้าข้านำมาวางไว้ตรงนี้แล้ว อย่าลืมมารับคืนไป”

หลังตะโกนเรียกอยู่สองครั้งทว่าไร้เสียงตอบรับ แม่นางจ้าวจึงละความพยายามและหมุนกายกลับเพื่อไปพักผ่อนยังห้องส่วนตัวฝั่งปีกตะวันออก

“ข้าลงไปเก็บถ้วยชามเอง เจ้านอนพักเถิด” หยุนเยี่ยนรับอาสา

“ท่านแม่หายไปที่ใดเสียแล้ว?”

“นางอาจเป็นห่วงเซียงเอ๋อจึงนำอาหารไปเยี่ยมเยียนกระมัง”

ผ่านไปครู่หนึ่งหยุนเยี่ยนจึงเดินกลับมาพร้อมถ้วยชามใบใหญ่ ใบหนึ่งใส่โจ๊กเมื่อมื้อเช้า ส่วนอีกใบใส่กับข้าวมื้อกลางวัน นอกจากหยิบยืมไปแล้วยังไม่คิดล้างทำความสะอาดให้ ดังนั้นหน้าที่ล้างจานจึงตกไปอยู่ที่หยุนเยี่ยนโดยปริยาย

“ครอบครัวของข้าบริการทุกระดับประทับใจเสียจริงเชียว!” หยุนเชวี่ยไม่วายพึมพำต่อว่าครอบครัวของตน จากนั้นจึงเอนกายลงนอนบนเตียงเล็กจากนั้นก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

ยามเที่ยงตรงมักเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดหากไม่นับรวมช่วงกลางคืน แม่เฒ่าจูและหยุนชิ่วเอ๋อมีกิจวัตรต้องนอนกลางวัน ทำให้บริเวณบ้านไร้เสียงเอะอะโวยวาย

ขณะหยุนเชวี่ยกำลังจะเคลิ้มหลับเช่นกัน แต่แล้วกลับได้ยินเสียงใครสักคนเคาะประตูห้องปีกตะวันตกดัง “ก๊อก… ก๊อก…” แผ่วเบาสองถึงสามครั้ง

หยุนเชวี่ยยังคงงัวเงียด้วยนึกว่าเสียงนั้นเป็นความฝัน จึงพลิกตัวหันตะแคงไปอีกด้านและซบศีรษะเข้ากับท่อนแขน

“ก๊อก… ก๊อก…” เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

“พี่สาว นั่นใครน่ะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามหยุนเยี่ยนก่อนนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง ในใจก็นึกสงสัยว่าหากเป็นคนในครอบครัวคงเปิดประตูเข้ามาแล้ว

“ข้าเอง”

หยุนเยี่ยนจำเสียงนั้นได้อย่างแม่นยำจึงรีบไปเปิดประตูให้ด้วยความตกตะลึง “อาสะใภ้สาม! ท่านกลับมาแล้วหรือ?!”

“ชู่ว! เยี่ยนเอ๋อ ให้อาเข้าไปด้านในก่อน” แม่นางเฉินหดคอและก้มตัวลงต่ำทำราวกับตนเป็นมิจฉาชีพ ครั้นหยุนเยี่ยนยังยืนนิ่งอยู่จึงเบียดกายเข้าไปภายในและเป็นผู้ดึงประตูปิดด้วยตนเอง จากนั้นจึงถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก “โอ้! สวรรค์ยังไม่ชี้ขาดข้าอดตายสินะ!”

หยุนเยี่ยน…

ห้องฝั่งปีกตะวันตกมีความกว้างรวมทั้งสิ้นไม่กี่ตารางวา พื้นที่ด้านในเป็นเตียงนอนเสียส่วนใหญ่ หยุนเยี่ยนและหยุนเชวี่ยนอนเตียงเล็กด้านในโดยมีผ้าม่านคั่นกลาง ส่วนหยุนลี่เต๋อ แม่นางเหลียนและเสี่ยวอู่นอนเตียงใหญ่ด้านนอก ด้านข้างติดผนังห้องเป็นโต๊ะไม้ทั้งอย่างสูงและอย่างเตี้ยเข้าชุดกับเก้าอี้สองตัว และมีของใช้จำเป็นวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ

แม่นางเฉินรีบขึ้นมานอนขดอยู่บนเตียง ทำให้หยุนลี่เต๋อซึ่งนอนงีบอยู่ก่อนแล้วพลันสะดุ้งตื่นด้วยอารามตกใจ

“พี่รอง… ท่านทานข้าวเรียบร้อยแล้วหรือ?” แม่นางเฉินยิ้มหน้าระรื่นทำราวตนไม่ใช่ใครอื่นแต่สนิทสนมกับครอบครัวของพวกเขาเสียเต็มประดา หยุนลี่เต๋อผุดลุกขึ้นก่อนเชิญให้แม่นางเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนหันไปสั่งหยุนเยี่ยน “เยี่ยนเอ๋อ รินน้ำให้อาสะใภ้สามดื่มดับกระหายก่อนเถิด”

หยุนเยี่ยนยังคงสับสนในเจตนาของแม่นางเฉิน ถึงกระนั้นก็ทำตามคำสั่งของหยุนลี่เต๋ออย่างว่าง่าย

หยุนลี่เต๋อที่ถูกบุกรุกความเป็นส่วนตัวรีบพุ่งตัวเข้าหาตู้เสื้อผ้าและหยิบรองเท้ามาสวมก่อนจัดระเบียบร่างกายตนเองให้เรียบร้อย ก่อนเอ่ยตอบอย่างไม่สบายใจ “ข้ากินแล้ว”

“แต่ข้ายังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องทั้งสิ้น!” แม่นางเฉินมองข้ามกิริยากระอักกระอ่วนของหยุนลี่เต๋อ จากนั้นจึงยกชายเสื้อขึ้นโบกสะบัดประหนึ่งพัดเพื่อให้ตนคลายร้อน “เยี่ยนเอ๋อ ในครัวของเจ้ายังหลงเหลืออาหารอีกหรือไม่ นำมาให้ข้าทีเถิด ข้าหิวไส้แทบขาดเต็มทีแล้ว”

หยุนเยี่ยนนิ่งอึ้งไม่ขยับเป็นครั้งที่สอง

“อาสะใภ้สามเองหรอกรึ?” หยุนเชวี่ยแหวกผ้าม่านซึ่งคั่นระหว่างเตียงออกพลางหรี่ตามองแขกไม่ได้รับเชิญเพื่อสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า “เหตุใดจึงถือฤกษ์กลับมาได้เสียทีล่ะ?”

“ดูเจ้าพูดเข้า! ข้าน่ะรึจะมีที่ไปทางอื่นหากไม่กลับมาที่นี่?!”

เสื้อผ้าและการแต่งกายของแม่นางเฉินดูซอมซ่อและยุ่งเหยิงต่างจากทุกครั้ง ใบหน้าและฝ่ามือมันแผล็บทั้งยังเปรอะเปื้อนฝุ่นจนเป็นสีดำ หากพินิจใกล้ ๆ จะเห็นตามซอกข้อพับมีแนวขี้ไคลปรากฏอยู่ นอกจากร่างกายจะเต็มไปด้วยฝุ่นผงแล้ว เมื่อเข้าใกล้กลิ่นที่โชยออกมาจากร่างยังเหม็นเปรี้ยวจนต้องผงะออกห่าง

หยุนเชวี่ยประมวลผลทุกความสกปรกบนร่างกายแม่นางเฉินและขมวดคิ้วเพราะพยายามข่มไม่ให้แสดงออกว่ารังเกียจจนอยากอาเจียนเพียงใด

“เยี่ยนเอ๋อ ยังนิ่งอยู่อีก! ไปหาข้าวหาปลามาเร็วเข้า! ข้าไม่ได้กินอะไรมาสามมื้อแล้ว!” แม่นางเฉินส่งเสียงจึกจักในลำคอเมื่อไม่ได้ดั่งใจ “มื้อนี้ข้าจะกินชดเชยแทนอีกสองมื้อที่ขาดหายให้หนำใจเลยเชียว!”

“อาสะใภ้สาม อาหารของครอบครัวข้าหมดไปตั้งแต่มื้อกลางวันที่ผ่านมาแล้ว” หยุนเชวี่ยพูดพลางลุกไปเปิดหน้าต่างหมายให้อากาศถ่ายเทเอากลิ่นตัวอับ ๆ ของแม่นางเฉินออกไป

“อย่าโกหกข้าเชียว! คนเช่นแม่ของเจ้าน่ะรึจะไม่ปรุงอาหารเผื่อไว้สำหรับมื้อถัดไป ทำให้ลูกให้ผัวได้แต่ให้ข้าเพียงสองสามคำไม่ได้เชียวรึ? พี่สะใภ้รองช่างตระหนี่เสียจริง!” สายตาของแม่นางเฉินกวาดไปรอบห้องหมายเสาะหาที่ซึ่งอาจเก็บซ่อนอาหารเอาไว้ภายใน ฉับพลันจึงตระหนักได้ว่าเรื่องอาหารควรถามแม่นางเหลียนด้วยตนเองจึงจะเป็นการดีที่สุด

“ท่านแม่แวะไปที่บ้านของเหอยาโถว”

“ตอนเที่ยงแดดร้อนแผดเผาจะตายชัก ยังอุตริแล่นไปบ้านผู้อื่นอีกรึ?” แม่นางเฉินยังกระสับกระส่ายไม่เลิกเพราะความโหยหิว “เหตุใดบ้านของเจ้าจึงเก็บซ่อนอาหารไว้มิดชิดถึงเพียงนี้?”

ก่อนที่แม่นางเฉินจะตัดสินใจเคาะประตู นางได้ลักลอบเข้าไปสำรวจภายในครัวฝั่งปีกตะวันตกก่อนแล้ว ทันทีที่ยกฝาหม้อขึ้นกลับพบว่าภายในไม่มีแม้แต่ข้าวสักทัพพี ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่งว่าครอบครัวรองตระกูลหยุนจะไม่ปรุงอาหารเผื่อไว้เฉกเช่นทุกครั้ง

“ท่านควรตั้งคำถามว่าท่านแม่ไปที่บ้านตระกูลเหอด้วยเหตุใดจึงจะถูกต้อง” หยุนเชวี่ยกล่าว

“ข้าไม่ได้อยากรู้ ที่ต้องการรู้คือแม่ของเจ้าจะกลับมาเมื่อใด?” แม่นางเฉินยกมือลูบหน้าท้องของตนที่ส่งเสียงโครกครากอย่างน่าสังเวช จากนั้นจึงหันไปฉีกยิ้มให้กับหยุนเยี่ยนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล “เยี่ยนเอ๋อ ที่จริงแล้วหากเจ้าจะมีน้ำใจเข้าครัวปรุงอาหารง่าย ๆ สำหรับอาคนนี้เสียหน่อยคงเป็นการดีไม่น้อย เป็นการต่อชีวิตให้อาอย่างไรเล่า?”

หยุนเยี่ยนไม่ต้องการปฏิบัติตามทว่าไร้ความกล้าพอที่จะปฏิเสธ นางหันไปสบตาหยุนเชวี่ยเพื่อขอความช่วยเหลือทันที

“ข้ามีเพียงวัตถุดิบไม่มีอาหารปรุงสำเร็จ ดูในกระสอบนั้นเถิด พอมีพืชพรรณธัญญาหารอยู่บ้าง หากอาสะใภ้สามหิวโหยสามารถเข้าครัวด้วยตนเองเลยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยชี้นิ้วไปทางกระสอบซึ่งตั้งพิงอยู่ตรงมุมห้อง

“ข้าออกไปไม่ได้!” แม่นางเฉินส่ายหน้ารัว น้ำเสียงสั่นเครือเพราะยังกลัวอะไรบางอย่าง “หากปรากฏตัวให้พวกนั้นเห็น เขาจะต้องไล่ทุบตีข้าจนแหลกคามือเป็นแน่!”

“เช่นนั้นท่านจะอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปตลอดทั้งชีวิตเยี่ยงนี้เลยรึ?” หยุนเชวี่ยแสร้งถามแฝงนัยเป็นเชิงชี้นำ

แม่นางเฉินกลับมาครั้งนี้ไม่คิดสังเกตด้วยซ้ำว่าบรรดาลูกชายลูกสาวของนางเตลิดหายไปเสียแล้ว หัวอกความเป็นแม่ซึ่งห่วงหาลูกไม่เคยมี หัวสมองคิดเพียงว่าที่ใดมีอาหารให้ตนกินบ้างเท่านั้น

“ที่ข้าต้องมีสภาพเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะไอ้สามีเฮงซวยนั่นรึ?!” ครั้นกล่าวถึงหยุนลี่เซียว แม่นางเฉินได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะอัดอั้นอยู่เต็มหัวอก “ดีแต่หอบเงินหนีไปใช้ล้างผลาญและปล่อยให้เวรกรรมตกอยู่ที่ข้าซึ่งต้องถูกโขกสับทุบตีแทนมัน! หลายปีที่ผ่านมาความซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาช่างไร้ประโยชน์!”

“ตอนนี้น้องสามหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า?” หยุนลี่เต๋อเอ่ยถาม

ดวงตาขาวโพลนของแม่นางเฉินกลอกขึ้นลงขณะหันไปสบตาหยุนลี่เต๋อ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?! บางทีอาจจะเอาแต่ซุกหัวอยู่ในรังนางจิ้งจอกนั่น!”

หยุนลี่เต๋อขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจ

หยุนเชวี่ยเคยบอกว่าคนเราควรเสาะหาเงินอย่างน้อยหนึ่งถึงสองเหรียญจากต้นพืช และไม่ควรเบียดเบียนเอากับสัตว์อย่างสุนัขจิ้งจอกอะไรเทือกนั้น ดังนั้นจึงไม่เข้าใจ ‘สุนัขจิ้งจอก’ ในความหมายของนางเฉินอย่างถ่องแท้

“โอ๊ย… หิว… หิวเหลือเกิน ข้าหิวจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว!” แม่นางเฉินฟุบร่างลงกับโต๊ะพลางส่งเสสียงร้องโหยหวน

ทันใดนั้นแม่นางเหลียนจึงผลักประตูเข้ามา ครั้นเห็นว่าภายในห้องมีหญิงแต่งตัวซอมซ่อกำลังดิ้นทุรนทุรายและร้องโอดโอยอยู่อย่างนั้นจึงถึงขั้นนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

เมื่อเพ่งพินิจแล้วจึงรู้ว่าเป็นแม่นางเฉินที่หนีหัวซุกหัวซุนมาพึ่งพาครอบครัวของตน จึงไม่รู้ว่าตนควรยินดีหรือโกรธเคืองดี สีหน้าของแม่นางเหลียนแสดงออกซึ่งความเรียบเฉยเช่นเดียวกับหยุนเยี่ยน

“โอ้… พี่สะใภ้รอง… ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที!” แม่นางเฉินผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจเป็นล้นพ้นราวกับพบแหล่งน้ำกลางทะเลทรายที่แห้งผาก หากกระโดดเข้ากอดจูบได้คงทำแต่แรกแล้ว “พี่สะใภ้รอง ข้าหิว… ข้าหิวเหลือเกิน!”

“เจ้ายังมีแก่ใจจะกินอะไรอีกรึ? เซียงเอ๋อตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นไรบ้างเจ้าเคยเป็นห่วงบ้างหรือไม่? รีบไปพบนางเร็วเข้า” แม่นางเหลียนยื่นมือออกมาคว้าข้อมือแม่นางเฉินทันที

“เซียงเอ๋อรึ? เซียงเอ๋อเป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?!” แม่นางเฉินยังคงนั่งนิ่งไม่คิดขยับเขยื้อน

ต่อให้แม่นางเหลียนมีเมตตาและมองโลกในแง่ดีเพียงใด ทว่าการที่แม่นางเฉินไม่คิดใส่ใจลูกเต้าเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้จนรู้สึกโกรธไม่น้อย

หยุนเซียงอาภัพนักที่มีแม่เป็นคนเห็นแก่ความสบายส่วนตัวจนไม่อาทรร้อนใจถึงลูกแม้เพียงนิด ตั้งแต่แรกแม่นางเฉินไม่ปริปากเอ่ยถามถึงลูกของตนแม้แต่คำเดียว ทั้งยังเอาแต่พล่ามเรื่องอาหารการกินเท่านั้น!