เย่เทียนไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายของหนูทองม่วง
“หนูทองม่วง ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวจื่อ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เย่เทียนถาม
“อื้ม!”
หนูทองม่วงพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่ามันพอใจกับชื่อนี้
“เสี่ยวจื่อ พรสวรรค์ในการล่าสมบัติของเจ้าสามารถสืบหาสายแร่หินปราณได้ไหม?”
เย่เทียนถามด้วยความคาดหวัง
“หินปราณ ข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน!” เสี่ยวจ่อรีบยกอุ้งเท้าเล็กๆขึ้นแล้วพูด
“จริงเหรอ?”
สีหน้าของเย่เทียนเปลี่ยนไปและตื่นเต้นเล็กน้อย
เสียวจอรู้ว่ามีหินปราณอยู่ที่ไหน มันเกินความคาดหมายของเขามาก
แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องปกติเขาไม่รู้ว่าเสี่ยวจออาศัยอยู่ในเขตแดนลับมานานเท่าใดแล้วบวกกับพรสวรรค์ในการล่าสมบัตินางย่อมรู้ที่ตั้งของสมบัติมากมายหินปราณก็จัดเป็นสมบัติ ประเภทหนึ่งการที่เกี่ยวขื่อรู้ที่อยู่มันย่อมเป็นเรื่องปกติ
“เสี่ยวจ๋อ พาข้าไปหาหินปราณ!”
เย่เทียนสั่ง
“ตามข้ามา!”
เสี่ยวจอวิ่งไปข้างหน้าและพาเย่เทียนมุ่งหน้าไปหาหินปราณ
แต่ความเร็วของเสี่ยวจอนั้นช้าเกินไปสุดท้ายเย่เทียนก็อุ้มเสี่ยวจ่อไว้ส่วนเสี่ยวจ่อก็มีหน้าที่นําทางเท่านั้นหลังจากวิ่งมาทั้งวันครึ่งเย่เทียนก็มาถึงจุดหมายภายใต้การนําทางของเสี่ยวจื่อ
แต่สถานการณ์ไม่เหมือนกับที่เขาคาดไว้
“ศพ!”
เย่เทียนเห็นศพของนักรบผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งดูจากสภาพศพแล้ว น่าจะพึ่งตายไปไม่นาน
“การรับรู้มิติ!”
คลื่นพลังมิติได้แผ่กระจายออกไปและสํารวจพื้นที่ไปข้างหน้า
ไม่นานศพของนักรบผู้เชี่ยวชาญก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเย่เทียน
“มีศพของนักรบผู้เชี่ยวชาญมากกว่าสิบศพ!”
เย่เทียนขมวดคิ้ว
จากสถานการณ์ปัจจุบันสายแร่หินปราณที่อยู่ไม่ไกลนี้น่าจะถูกค้นพบแล้วมิเช่นนั้นคงไม่มีคนตายจํานวนมากขนาดนี้
ต้องรู้ก่อนว่าเขตแดนลับนั้นใหญ่มาก โอกาสที่นักรบจะพบกันนั้นไม่มากนักและมีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่ตายที่นี่ สถานการณ์เช่นนี้ต้องเป็นการต่อสู้ของกลุ่มกําลังบางกลุ่ม
เมื่อคิดว่าหินปราณถูกค้นพบแล้ว เย่เทียนก็ยิ่งร้อนใจ
หากหินปราณถูกขุดจนหมดเขาก็จะมาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์
“ไปกันเถอะ!”
เย่เทียนค่อยๆเดินหน้าต่อไปและใช้การรับรู้มิติตรวจสอบเขาไม่กลัวสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเพราะเขาต้องคบศัตรูก่อนอย่างแน่นอนไม่มีทางที่คนเรานั้นจะพบตัวเขาก่อนเย่เทียนก้าวเดินอ ย่างช้าๆในที่สุดก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มคนกลุ่มนี้กําลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง
“เป็นเขา!”
เย่เทียนเห็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งและที่บอกว่าเขาคุ้นเคยก็เพราะคนๆนี้เป็นที่สนใจของผู้คน
คนผู้นี้คือหยุนเฟิง ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของฐานทัพทะเลมารและสถานการณ์ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขากําลังถูกล้อม
อีกด้านมีคนทั้งหมดยี่สิบกว่าคน สวมเสื้อผ้ารูปแบบเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันต้องเป็นขุมกําลังไหนสักแห่ง
“หยุนเฟิง พลังการต่อสู้ของเจ้าสมแล้วที่เป็นอัจฉริยะในการต่อสู้ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา!” ผู้ฝึกยุทธที่อายุมากคนหนึ่งกล่าวอย่างเย็นชา
“เฮ่อเหลียนป้า เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปครั้งก่อน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอยู่ในดินแดนลับถึงสิบปีแล้วยังพบสายแร่หินปราณนี้อีก แต่ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกันข้าสัญญาว่าจะไม่แย่งชิงหินปราณกับพวกเจ้าทําไมพวกเจ้าถึงต้องล้อมข้าไว้ด้วย?แม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าข้าแต่พวกเจ้าก็ต้องตายมากกว่าครึ่งเจ้าเชื่อหรือไม่?” หยุนเฟิงตะโกนอย่างเย็นชา
“แน่นอนข้าเชื่อ!” เฮ่อเหลียนป้ากล่าวว่า “แต่หากข้าสามารถสังหารเจ้าได้การสูญเสียจํานวนคนเพียงแค่นี้นับว่าคุ้มค่ามาก! ทั่วทั้งฐานทะเลมารต่างคิดว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหยุนหยุนเทียนมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะสูงสุดและยังเป็นพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับหลุดพ้นและหยุนเฟิงของเจ้านั้นมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งและผู้คนต่างคิดว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเจ้านั้นอยู่ในระดับที่สูงสุด ถ้าเจ้ามีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับสูงสุดจริงๆ ข้าจะไม่พยายามฆ่าเจ้าแต่เจ้านั้นโกหกทุกคน!”
“ฮัม หากว่าข้าไม่ได้มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับสูงสุด แล้วจะเป็นพรสวรรค์ระดับไหนหรือว่าเจ้าคิดว่าข้ามีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับหลุดพ้น?” หยุนเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา
“ใช่แล้ว เจ้าต้องมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับหลุดพ้นอย่างแน่นอน บางที่ก่อนหน้านี้เจ้าอาจจะมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับสูงสุดจริงๆแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วหากข้าเดาไม่ผิดเจ้าพบ สมบัติที่เพิ่มพรสวรรค์ในเขตแดนลับและสมบัติชิ้นนี้ช่วยยกระดับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเจ้าให้อยู่ในระดับหลุดพ้นข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ ข้าต้องการสมบัติเช่นนี้เดิมทีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของข้าอยู่ในระดับสูงเมื่อสิบปีก่อนข้ามาถึงเขตแดนลับ และพยายามอย่างหนักที่จะยกระดับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะให้สูงขึ้น สําหรับเรื่องนี้ข้าจึงตัดสินใจอยู่ในเขตแดนลับแห่งนี้เป็นเวลายาวนานเพื่อยกระดับพรสวรรค์ของข้าก่อนที่จะพลาดโอกาสนี้ไป”
“ตอนแรกข้าคิดว่าข้าโชคดีมาก แต่เจ้าโชคดีกว่าข้ามาก เจ้ากลับพบสมบัติที่สามารถยกระดับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะได้ถึงระดับหลุดพ้นไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะยังมีมันอยู่ก็ได้!”
พร้อมกันนั้น เฮ่อเหลียนป้าก็เกิดความโลภขึ้นมา
“เจ้าแต่งเรื่องขึ้นมาเช่นนี้มีใครจะเชื่อเจ้า?”
หยุนเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา
“แต่งเรื่อง?” เฮ่อเหลียนป่าหัวเราะเสียงดัง “หยุนเฟิง เจ้าสงบมากจริงๆ แต่สิ่งที่เจ้าไม่รู้ก็คือข้ามีพรสวรรค์ที่พิเศษมาก พรสวรรค์นี้เรียกว่าพรสวรรค์ในการสอดแนมสามารถมองทะลุถึงพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของคนอื่นได้แต่มีเงื่อนไขว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของคนผู้นั้นจะต้องไม่สูงไปกว่าข้าถ้าเจ้ามีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับสูงสุด ข้าน่าจะเห็นระดับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเจ้าแต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นมันแล้วนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เจ้าก็รู้ดี!”
ในเวลานี้เอง ใบหน้าของหยุนเฟิงก็เปลี่ยนสี
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์เช่นนี้ ใช่แล้ว ข้ามีพรสวรรค์ระดับหลุดพ้นแล้วยังไง? ถ้าข้าสู้สุดชีวิตข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!”
กลิ่นอายแห่งการสังหารปรากฏขึ้นทันที
“งั้นก็ลองสิ!”
เฮ่อเหลียนป้าไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
วันนี้เขาต้องต้องฆ่าหยุนเฟิงให้ได้
อัจฉริยะอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ที่มีพรสวรรค์ระดับหลุดพ้น เมื่อโตขึ้นมันจะน่ากลัวขนาดไหนกัน!
วันหน้า หากหยุนเฟิงก้าวขึ้นสู่ระดับราชา เขาจะกลายเป็นราชาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน
ความแข็งแกร่งของตระกูลหยุนนั้นแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากยังเพิ่มราชาที่ไร้เทียมทานขึ้นมาอีกตระกูลหยุนก็ไม่มีใครสามารถต้านทานได้อีก
ตระกูลเฮ่อเหลียนมีฐานะเป็นอันดับสองรองจากตระกูลหยุน แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเห็นสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น
เฮ่อเหลียนป้าไม่เพียงแต่ทําเพื่อตระกูลเฮ่อเหลียนเท่านั้น แต่ยังต้องการสมบัติจากหยุนเฟงด้วยหากหยุนเฟิงได้รับสมบัติที่เพิ่มพรสวรรค์มามากกว่าหนึ่งชิ้นล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาจะกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับหลุดพ้นหรอกหรือ?
แค่ความเป็นไปได้ก็คุ้มค่าแล้วที่เขาล้อมสังหารหยุนเฟิง
นอกจากนี้ใต้ดินยังมีสายแร่หินปราณขนาดเล็กเมื่อเขาและสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลเฮ่อเหลียนสังหารหยุนเฟิงแล้วพวกเขาก็จะร่วมมือกันเพื่อสังหารสัตว์อสูรที่น่ากลัวที่คอยปกป้องสายแร่หินปราณเมื่อถึงตอนนั้นหินปราณทั้งหมดจะเป็นของตระกูลเฮ่อเหลียน!
ไกลออกไป
เย่เทียนไม่เพียงแต่แอบดูสถานการณ์ของหยุนเฟิง เท่านั้น แต่ยังได้ยินบทสนทนาของพวกเขาด้วยเขาอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย
“หยุนเพิ่งกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับหลุดพ้นแล้ว ตอนที่อยู่ในโลกภายนอกเขายังมีพรสวรรค์ระดับสูงสุดอยู่เลยโชว์ของเขาช่างท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริงหรือเขาจะเป็นบุตรแห่งโชคชะตา!”
เย่เทียนพึมพํา และค่อยๆก้าวเข้าใกล้