บทที่ 1239 – ลานประลองสวรรค์เร้นลับ การแสดงออกต่อหน้ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ชิงสุ่ยควรจะฟื้นฟูพลังเป็นอย่างยิ่ง เหตุก็เพราะรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางที่จะออมมือให้เขาเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่มีพลังอันมหาศาลอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือไม่ใช่ตัวชิงสุ่ยไม่อยากฟื้นฟูพลัง แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขากำลังอยู่ในภาวะอิ่มตัวเนื่องจากเพิ่งได้รับพลังอันมหาศาลเมื่อไม่นานมานี้ ในเวลานี้ร่างกายของเขาไม่สามารถรับพลังเพิ่มได้อีกแล้ว อีกทั้งระยะเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่นานก็เป็นปัญหาด้วยเช่นกัน
เนื่องด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ชิงสุ่ยจำเป็นต้องพึ่งพาวิชาผสานจิตไอยราและทำให้ตัวเองประสานเข้ากับมังกรไอยราเกล็ดทองคำให้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายควบคุม แต่ความคุ้นเคยจะทำให้เขาสือสารกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำผ่านจิตสำนึกได้
ชิงสุ่ยสามารถเพิ่มพลังให้ตนเองได้ราวๆหนึ่งแสนเมฆาในดินแดนหยกยุพราชอมตะ และยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆ เขาไม่รู้ว่าจะมีวิธีใดที่จะเพิ่มพลังให้กับเขาได้อีกไหม ถึงแม้จะเป็นพลังที่เล็กน้อย แต่นั่นก็หมายถึงโอกาสชนะที่เพิ่มขึ้น
……
ในวันถัดมา ข่าวลือเรื่องชิงสุ่ยท้าประลองรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักสวรรค์เร้นลับ สถานที่และเรื่องอื่นๆกลายมาเป็นหัวข้อในการพูดคุยของแต่ละคน พวกอาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลายรวมถึงชนชั้นสูงจากสำนักสวรรค์เร้นลับก็ทราบถึงเรื่องนี้เช่นกัน
รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักสวรรค์เร้นลับ อาจกล่าวได้ว่าทุกๆคนในสำนักรู้จักเขา หลังจากที่ขึ้นมาเป็นผู้นำของเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดหรือผู้พิทักษ์ก็ยังต้องไว้หน้า เหตุผลก็เพราะเขาจะต้องมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาสำนักสวรรค์เร้นลับในอนาคต
บุคคลประเภทนี้อาจไม่ได้พบเห็นตลอดช่วงชีวิตเลยก็เป็นได้ นอกจากนี้เขายังมีพลังที่น่ากลัวซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงคิดว่าตนต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก ถ้าพลาดพลั้งตายไปจะเป็นการตายที่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าผลไม่ได้จบเช่นนั้นเขาก็ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆต่อไป
รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่มีความภูมิใจและเย่อหยิ่งในตนเองเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตกหลุมรักหญิงสาวลงได้ ถ้าหากว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จในการไล่ตามองค์หญิงใหญ่ ในอนาคตเรื่องนี้จะส่งผลต่อการฝึกยุทธิ์ของเขาเป็นแน่ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองในครั้งก่อน
ในความเป็นจริงแล้ว รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยกลัวแม้จะมีสักกี่คนที่สนใจในตัวองค์หญิงใหญ่ ถึงตัวเขาเองจะไม่ได้ใกล้ชิดกับองค์หญิงใหญ่มากก็ตาม แต่เขารู้ดีว่าหญิงสาวที่เขาชอบไม่มีทางถูกขโมยหัวใจไปจากผู้อื่นได้ง่ายดายนัก ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะเป็นถึงผู้นำแห่งนิกายโลกานฤเบศหรือใครก็ตาม เขาไม่เคยกังวลเลย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ผู้ที่ไม่รู้แม้กระทั่งหัวนอนปลายเท้าจะเป็นคนคว้ามือนางเอาไว้ นี่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเหมือนถูกดาบคมทิ่มแทง ลึกๆในใจของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เขายกให้อวี้ซูหนี่เป็นคนพิเศษไปแล้ว เมื่อมาคิดว่าตนปล่อยให้ผู้อื่นได้แตะต้องปลายนิ้วของนางในวันนั้นเขาเกือบพลั้งมือฆ่าชิงสุ่ยเสียแล้ว อย่างไรก็ตามเขารู้สึกประหลาดใจและสับสนขึ้นมาจึงอยากสงบสติเสียก่อน และนั่นเป็นเหตุผลที่เขารีบจากไปในวันนั้น
เรื่องทั้งหมดนี้ถูกพูดไปทั่วสำนัก เรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของชิงสุ่ย ในหลายปีมานี้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้วางก้อนหินลงลึกไปในใจพวกเขา ทำให้ผู้คนเหล่านั้นถูกตรึงไว้ด้วยชื่อเสียงเกียรติภูมิของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับเทียนเจียงทว่าเมื่อเทียบกับเขาแล้วช่างห่างไกลกันนัก
“พี่สุย ท่านคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การรอคอยหรือไม่?”
ชายสองคนกำลังเล่นหมากรุกอยู่ในคฤหาสน์ที่แยกตัวออกมา หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีเหลือง บนชุดคลุมนั้นมีรูปมังกรสีทองประดับอยู่ ดูเหมือนเขาค่อนข้างจะชราเพียงเล็กน้อย ภายนอกดูสง่างามอีกทั้งยังมีรัศมีแห่งราชันย์แผ่ออกมา ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่
ส่วนชายอีกคนสวมชุดคลุมสีม่วงซึ่งมีรูปสิงโตประดับอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วชายชราผู้นี้มีร่างกายที่สูงและกำยำกว่าเล็กน้อย เขามีผมสีเทาหนาคล้ายกับแผงคอของสิงโตและรอบๆของเขามีแรงกดดันถูกปล่อยออกมา
ชายเจ้าของคำพูดก่อนหน้านี้คือชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วง
“เจ้ารู้จักชายหนุ่มที่ท้าประลองเจ้าหนุ่มแซ่ฟู่หรือไม่?” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองถาม
ชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วงมองไปยังกระดานหมากรุกและพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “เจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งเข้ามายังสำนักสวรรค์เร้นลับได้ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างใกล้ชิดกับซูหนี่ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเขาเข้ามาวิชายุทธิ์ของซูหนี่นับวันก็มีแต่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”
“เจ้านี่รอบรู้จริงๆ ข้าเลยเดาว่าเจ้าต้องมีคำตอบให้ขาแน่” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองยิ้มและเงยหน้าขึ้น
“ถ้าหากเขาเป็นคนโง่ คงไม่มีใครไปค่อยเย้าแหย่ด้วยหรอก เจ้าหนุ่มนั่นต้องไม่ธรรมดาเพียงแค่เขายังเด็กเกินไปเท่านั้น แต่ก็คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อถ้าหากเขาสามารถต่อกรกับเจ้าหนุ่มแซ่ฟู่นั่นได้” ชายชราในชุดคลุมสีม่วงขมวดคิ้วในขณะที่กำลังกล่าว
“เช่นนั้นพวกเราจะคอยดู ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ พวกเราก็ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ในซักวันหนึ่งชายหนุ่มพวกนี้จะต้องก้าวขึ้นมาช่วยเหลือสำนักสวรรค์เร้นลับได้อย่างแน่นอน” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองหัวเราะเบาๆ
“พี่สุย เจ้าหนุ่มนี่เรียกว่าเรียกว่ากล้าหาญได้หรือไม่?” ชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วงมองไปยังชายชราในชุดคลุมมังกรทอง
“น้องเฉา เรายังมีเวลาอีกมาก เหตุใดเราไม่คอยเฝ้าสังเกตุเขาไปล่ะ?”
“แล้วพลังของตระกูลฟู่ล่ะ?” ชายชรานามเฉากล่าวถามอย่างสุภาพ
“ตระกูลฟู่จัดได้ว่าเป็นตระกูลที่รุ่งเรื่อง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ต้องอยู่ที่เจ้าหนุ่มแซ่ฟู่ผู้นั้นล่ะ ถ้าเขาไม่สามารถจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ก็คงถึงคราวสิ้นยุคทองของตระกูลฟู่เป็นแน่”
……
สำนักสวรรค์เร้นลับ ลานประลองสวรรค์เร้นลับ
นี่ถือเป็นสถานที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสำนักสวรรค์เร้นลับ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดด้วย เฉพาะการต่อสู้ที่ยิงใหญ่เท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นที่นี่ การต่อสู้ทั่วๆไปจะไม่ได้รับการพิจารณา
ในวันนี้เป็นวันที่ชิงสุ่ยนัดหมายท้าประลองต่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ก็คือลานประลองสวรรค์เร้นลับ
ลานประลองแห่งนี้แออัดไปด้วยผู้คนมากมาย บางคนเดินทางมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนกระทั่งตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ส่องสว่างเป็นที่เรียบร้อย ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยก่อนถึงเวลาประลอง
“เจ้าคิดว่าคนที่ชือชิงสุ่ยนั่นจะกล้ามาหรือไม่?”
“ข้าว่ามานะ”
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะอยู่บนลานประลองได้นานสักแค่ไหนเชียว รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะฆ่าเขาไหมนะ?”
“อย่างน้อยคงไม่ฆ่าบนลานประลองสวรรค์เร้นลับหรอก เขายังต้องการให้ชิงสุ่ยรักษาอาการบาดเจ็บของฟู่เหยียนติง”
“พวกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าหนุ่มนั่นมีความใกล้ชิดกับหัวหน้าของพาไลหิมะหวน”
“อ่า เช่นนั้นการประลองนี้ก็ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ผู้คนมากมายทราบดีว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สนใจในตัวหัวหน้าของพาไลหิมะหวนอยู่ อยากรู้เหลือเกินว่านางจะเอาใจช่วยใครกันนะ”
……
ผ่านไปไม่นาน เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงสาย นี่เป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในการประลอง หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ห่างออกไป เขาค่อยๆมุ่งเข้าหาลานประลองอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของเขางดงามราวกับเป็นเทพบุตร
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์”
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว”
“เขาหล่อมากๆเลย!”
……
รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆเดินเข้าหาลานประลอง หลังจากนั้นเขาหยุดนิ่งอย่างสงบ ไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิ้วเดียว
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์!”
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์!”
……
ผู้คนมากมายต่างตะโกนว่า “รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์” ผู้คนเหล่านี้ล้วนมาจากกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้เป็นการพิสูจน์ได้อย่างดีว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจมากเพียงใด เขาเป็นคนที่ลึกลับแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง มีเพียงน้อยคนมากที่จะได้พบเจอเขา
“อย่าบอกนะว่าเจ้าชิงสุ่ยที่โอ้อวดผู้นั้นจะไม่กล้ามาประลองตามนัดหมาย”
“แน่นอนว่ามันจะไม่สนุกอะไรเลยถ้าเขาไม่มา”
“ใช่แล้ว ถ้าเขาไม่ยอมมาน่ะนะ รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีสิทธิ์ในการฆ่าเขาอย่างถูกต้อง ไม่เพียงเขาเท่านั้นทุกๆก็ทำได้เช่นกัน”
ทุกๆคนกำลังพูดถึงการประลองในครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปทีละนิด ชิงสุ่ยเหลือเวลาอีกเพียงสิบห้านาทีในการแสดงตัวออกมา ถ้าเขามาสายก็จะถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ในทันที แต่ในขณะนี้เขาปรากฏตัวแล้ว
เขาพุ่งตัวออกมาด้วยความเร็วสูงราวกับฝนดาวตก ช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังพูดถึงเขาอยู่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ชิงสุ่ยปรากฏตัวบนลานประลองแล้ว
ชิงสุ่ยให้ชิงซาร่วมชมการต่อสู้ครั้งนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้มาพร้อมกัน ชิงซาเป็นฝ่ายเดินทางออกมาก่อน นางนั่งอยู่ในที่ว่างข้างล่างซึ่งมีน้อยคนนักที่จะรู้จักนาง ในตอนนี้นางนั่งอยู่กับเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ด
องค์หญิงใหญ่เพิ่งเดินทางมาถึง นางเข้ามาก่อนชิงสุ่ยเล็กน้อย การปรากฏตัวของนางทำให้เกิดการพูดคุยในหมู่ผู้คนอีกครั้ง
ชิงสุ่ยยืนอยู่บนลานประลองพร้อมมองไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ บ่งบอกให้เห็นถึงความไม่แยแสนของเขา พร้อมกันนั้นคลื่นแห่งความกดดันถูกแผ่มายังชิงสุ่ย
มีชายชราคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตุการณ์ หลังจากเขาประกาศกฏของการประลองเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นสัญญาณให้เริ่มต้นการประลองได้.
“เจ้าเป็นคนที่ท้าประลองมายังข้า นอกเหนือจากชีวิตและความเป็นตาย ทำไมไม่เดิมพันสิ่งอื่นเพิ่มเติมล่ะ?” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มองไปยังชิงสุ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ย่อมได้!” ชิงสุ่ยไม่ได้แปลกใจอะไร นี่เป็นสิ่งที่เขาหวังไว้อยู่แล้ว
“ข้อเสนอของข้า ถ้าข้าเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจะต้องรักษาน้องชายข้องข้าและห้ามพบกับซูหนี่อีกต่อไป” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อชิงสุ่ย
คำกล่าวของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายนอกเวทีอีกครั้ง
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ”
“ไม่เพียงแค่พี่ชายที่ดีเท่านั้น แต่ยังน่าหลงใหลมากๆอีกด้วย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของฟู่เหยียนติง รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์คงไม่ยอมรับคำท้าของเจ้าชิงสุ่ยนั่นหรอก”
……
“แน่นอนว่าการที่รักษาอาการบาดเจ็บของน้องชายเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าต้องบอกลาซูหนี่? ผู้หญิงไม่ใช้สิ่งของที่จะมอบให้กันได้ ยิ่งไปกว่านั้นซูหนี่และข้าเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น ไม่คิดว่าข้อเสนอของเจ้าไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ?” ชิงสุ่ยไม่ได้อยู่ในจุดที่เสียเปรียบในการเจรจา
องค์หญิงใหญ่รู้สึกตกใจ นางได้ยินการสนทนาของชายทั้งสองบนลานประลอง อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งฟังอยู่ตรงนั้น
“ได้ เช่นนั้นเอาอย่างที่เจ้าว่า มาเริ่มกันเลย!” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ตอบสนองด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
“เดี๋ยวก่อนผู้คนจากตระกูลฟู่ไร้ยางอายกันทุกคนเลยงั้นหรือ? ถ้าหากข้าต้องเสียบางอย่างตอนที่แพ้ แล้วเจ้าล่ะ? ไม่คิดจะสัญญาอะไรไว้บ้างหรือ?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แพ้? ถ้าหากวาข้าแพ้?” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความตกใจ
ชิงสุ่ยกล่าวออกไปด้วยความตั้งใจ อย่างไรก็ตามเขายังกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม “มีผู้คนมากมายที่ไม่คู่ควรกับชื่อเสียงที่ได้รับเสียเลย”
เพียงคำพูดไม่กี่คำเหล่านี้สามารถทำให้รุ่นเยาว์แห่งแดนศํกดิ์สิทธิ์อารมณ์เสียขึ้นมา เขาตอบอย่างไม่มีทางเลือก “พูดสิ่งที่เจ้าอยากได้ออกมา อะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ”
“มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยทีเดียว ในครั้งหน้าพับเก็บความภาคภูมิใจของเจ้าเอาไว้ซะ รู้ไว้เสียด้วยว่าซูหนี่ไม่ใช้ผู้หญิงของเจ้าเพียงเพราะเจ้าคิดว่าตัวเองหล่อเหลา อ่อ และหยุดเรียกชื่อซูหนี่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่านางรังเกียจเพียงใด นางอยากให้ข้ามาบอกเจ้าว่าเจ้ามันห่วยและนางไม่ชอบเจ้าเอาเสียเลย” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำพูดเหล่านี้ทำให้ให้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์รู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เชื่อในคำพูดพวกนั้น แต่ลึกๆลงไปในใจแล้วเขาก็อดคิดไม่ได้ เหตุเพราะเขาเห็นเจ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็นคนที่กุมมือของซูหนี่เอาไว้ด้วยตาของเขาเอง สำหรับเขาแล้วการกุมมือกันเช่นนี้ ถ้าหากทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันก็คงเป็นเพราะซูหนี่เสียสติไปแล้ว เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้หยาบคายเกินไปแล้ว แล้วเมื่อไรกันที่นางพูดเรื่องเช่นนี้? ต่อให้สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง นางก็คงไม่กล้าพูดออกมาหรอก เจ้าเด็กนั่นจะไปรู้ความคิดของนางได้อย่างไร?
แม้แต่จิตใจที่เข้มแข็งของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถูกทำร้ายด้วยคำพูดพวกนั้น ตัวเขาเองรู้สึกสับสนเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “อย่างที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้า ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะมอบให้ทุกสิ่งที่ต้องการ”
“เจ้าบ้านั่น เตรียมตัวแพ้ได้เลย!”
“เจ้าคิดว่าจะต่อกรกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์ได้งั้นหรือ?”
“นั่นน่ะสิ! มาดูว่าเจ้าจะตายยังไง? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ที่เขารับปากประลองกับเจ้าก็เพราะความสงสาร มิฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อสู้ด้วยหรอก”
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าเอาใจช่วยท่าน”
“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ จัดการมันอย่างรวดเร็วเลย”
……
ณ เวลานี้ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างถ่มน้ำลายไปทางชิงสุ่ย