หน้าประตูเอก ม่อไคไหลเดินเข้ามา ทำให้บรรยากาศในงานกลับมาเป็นปกติ รายงานว่า “นายท่าน ฮูหยินใหญ่ คนจากตำหนักอ๋องมาบอกกล่าวสองครั้งแล้วว่า ฉินอ๋องออกจากจวนแล้ว ระยะห่างระหว่างเมืองเหนือเป่ยเฉินกับจวนเจ้ากรม น่าจะใกล้ถึงแล้วขอรับ”
“ดีมาก” อวิ๋นเสวียนฉั่งถกชุดลุกขึ้น เรียกไป๋เสวี่ยฮุ่ย “เจ้าไปต้อนรับกับข้าที่ประตูเอกก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะนายท่าน” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยลุกขึ้น เดินตามนายท่าน ด้านหลัง มีบ่าวใช้อีกหลายคนตามไปด้วย
*
ภายในเรือนอิ๋งฝู
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ข่าวเรื่องการโต้ตอบของน้องชายต่อไป๋เสวี่ยฮุ่ยจากปากของชูซย่า นางหัวเราะจนแป้งบนหน้าเกือบเลอะ และในเวลานี้ โหยวมอมอเดินเข้ามาช้าๆ จากด้านนอก “ท่านอ๋องมาถึงแล้วเจ้าค่ะ! คุณหนูตามข้ามานะเจ้าคะ”
สาวใช้สวมใส่ผ้าคลุมหน้าสีแดงทำจากผ้าไหมให้กับเจ้าสาว โหยวมอมอจับอวิ๋นหว่านชิ่นนำหน้าบ่าวใช้ ซึ่งมีทั้งบ่าวใช้นำทางและปิดท้ายคอยปกป้อง ทุกคนเดินออกจากห้องนอน
ชูซย่าเห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง นางจึงไปจัดการเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นบอกไว้
หน้าประตูจวนเจ้ากรม ประตูเปิดกว้าง บันไดหินถูกล้างจนสะอาดสะอ้าน เงาวับดุจคันฉ่อง
อวิ๋นเสวียนฉั่งจูงฮูหยินไป๋ และข้าราชบริพารยืนรออยู่ด้านในของคานประตู ด้านหน้าของฉากกั้น เฝ้ารอการมาถึงของฉินอ๋อง แสงตะวันเริ่มร้อน เสียงวิ่งรถม้าเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ขันทีสวมจี่ฝูควบม้าเร็วมารายงานก่อนที่ขบวนขององค์ชายจะมาถึง “ฉินอ๋องมาถึงแล้ว!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งสะบัดชุดทันที นำคนในเรือนคุกเข่าลง เตรียมคารวะฉินอ๋อง
เวลาผ่านไปไม่นาน ขบวนเสด็จยาวเป็นหางว่าวก็มาถึง ตามขนบธรรมเนียม ขบวนพิธีของพระโอรสจักต้องมีขุนนางฝ่ายใน ขุนนางพิทักษ์เชื้อพระวงศ์ ทหารรักษาพระองค์และองครักษ์
อวิ๋นเสวียนฉั่งและคนอื่นเงยหน้าขึ้น บนม้ารูปงาม รูปร่างแข็งแกร่งสีแดงดั่งพุทรา มีซย่าโหวซื่อถิงฉินอ๋องควบอยู่บนนั้น ดูสง่าผ่าเผยไม่ธรรมดาเสียจริง สาวใช้ที่อยู่ในงาน เคยได้ยินแต่ชื่อ หาได้เคยพบเจอไม่ พอได้เห็นต่างก็พากันเขินจนหน้าแดงกันไปหมด บ้างก็เขินจนไม่กล้ามองนานๆ เลยทีเดียว วันนี้ฉินอ๋องแต่งตัวต่างจากวันปกติโดยสิ้นเชิง บนศีรษะสวมใส่พระมาลาแผงม่านลูกปัดเก้าสาย ชุดเสื้อผ้าประดับด้วยสัญลักษณ์มงคลเก้าอย่างถักด้วยด้ายทอง คาดด้วยสายรัดเอวหยกตะขอทอง สวมใส่รองเท้าหุ้มทำจากหนังสีดำ จนเผยให้เห็นขาอันเรียวยาว
ซย่าโหวซื่อถิงลงจากอานม้า เดินเข้าจวนอวิ๋นภายใต้การปกป้องจากเหล่าองครักษ์ กวาดสายตามองหนึ่งรอบ แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบและดูไม่สนิทสนมว่า “ลุกขึ้นเถิด”
คนในเรือนอวิ๋นต่างพากันรู้สึกว่า ฉินอ๋องท่านนี้รูปก็งาม แต่ท่าทีกลับเย็นชาเสียจริง งานมงคลยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่เห็นทีว่าจะดีใจสักเท่าไหร่ เหมือนไม่ได้มาดี ทุกคนเริ่มรู้สึกเกร็ง อวิ๋นจิ่นจ้งลุกขึ้นและไปพูดกับฮุ่ยหลานที่ดูแลตนในวันนี้ว่า “พี่เขยท่านอ๋องของข้าสง่างามเสียจริง ดูบ่าวใช้ในเรือนสิ ตกตะลึงกันไปหมด”
ฮุ่ยหลานปิดปากคุณชายน้อยไม่ทัน จนคนอื่นได้ยินหมด อวิ๋นเสวียนฉั่งหันขวับทำตาเขม่นใส่ลูกชาย กำลังจะตำหนิที่เสียมารยาท แต่เสียงของฉินอ๋องก็ดังขึ้นพอดี “เจ้าจะมีวันนี้ในอนาคตเหมือนกัน”
ครั้งนี้ เป็นน้ำเสียงที่มีรอยยิ้มปนอยู่ด้วย
ไม่เพียงแต่คนในเรือนอวิ๋นตกตะลึง แม้แต่บ่าวใช้และขุนนางที่ตามมาด้วยจากตำหนัก ต่างก็ทนไม่ไหว ถึงกับต้องแอบมองหน้าน้องชายแท้ๆ ของชายาเอกจากด้านข้าง ท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่จะพูดเล่นได้อีกหรือ พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เห็นเพียงฉินอ๋องเดินเข้าเรือนอวิ๋นไปเรียบร้อย
พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้สติ ก็พาไป๋เสวี่ยฮุ่ยเดินตามไปด้วย จากนั้นเชิญฉินอ๋องมายังห้องโถงเอก ตามขนบธรรมเนียมการสมรสของพระราชโอรส ด้านนอกเรือนของฝ่ายหญิง พ่อกับแม่ของฝ่ายหญิงต้องรักษากฏขุนนางกับกษัตริย์ หากเข้ามาด้านในเรือนแล้ว พระราชโอรสจะต้องคำนับพ่อแม่พร้อมกับฝ่ายหญิง
อวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งลงตรงตำแหน่งเอก ส่วนซย่าโหวซื่อถิงนั่งด้านข้างตรงด้านล่าง ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงยินดีปรีดาของโหยวมอมอก็ดังขึ้น จูงเจ้าสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเข้ามาถึงด้านในห้องโถง
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางสวมหยกมรกตเก้าปีก มงกุฎหงส์สี่ตัว แผงลูกปัดห้อยระย้า ถูกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมหน้า ทั้งตัวเป็นสีแดงราวกับแสงตะวันจวนพลบค่ำ แม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่คอที่เผยออกมาขาวดุจรากบัวอ่อน ก็ทำให้คิดไปไกลแล้ว ใจเต้นตุบตับ มุมปากช้อนขึ้น เดินเข้าไปกุมมือนางเอาไว้
โหยวมอมอส่งมือเจ้าสาวให้กับท่านอ๋อง และยืนอยู่ด้านข้างเขาสองคน
อวิ๋นหว่านชิ่นถูกฝ่ามือใหญ่ของเขากุมไว้แน่น ความตื่นเต้นที่หลงเหลือเมื่อครู่หายเกลี้ยง นางเดินตามเขาจนมาถึงกลางห้องโถง ทั้งคู่หันหน้าไปทางอวิ๋นเสวียนฉั่งกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย
ซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกได้ว่าเจ้าสาวของตนนั้นมือเย็นเล็กน้อย คงจะรู้สึกไม่ค่อยชิน เขาหักนิ้วเข้าไปแตะที่ฝ่ามืออันนุ่มของนางหนึ่งที
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เห็นหน้าตาของเขา แต่เดาออกเลยว่า เขาคงกำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย นางจึงตั้งใจกระตุกมือ แต่นางกลับได้ยินแต่เสียงหายใจ และเขาก็กุมมือนางไว้แน่นอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบพิธีจากสำนักพระราชวังเริ่มเปล่งเสียง “เจ้าสาวเจ้าบ่าวคารวะขอบคุณบุญคุณพ่อแม่!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยืดหลังตรง หายใจออกเฮือกใหญ่ ความยากลำบากที่พบเจอในหลายวันที่ผ่านมา ก็เพลาๆ ๆ ลงบ้างแล้ว
ซย่าโหวซื่อถิงกำลังจะเดินขึ้นหน้า แต่กลับรู้สึกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นบีบมือเขาไว้แน่น แม้จะไม่เข้าใจ แต่หากนางไม่เดิน เขาก็จะไม่เดินเช่นกัน
ขุนนางและบ่าวใช้จากวังเป็นพันเห็นสองคนหยุดนิ่งกับที่ ต่างพากันมองหน้ากัน ผู้ประกอบพิธีกำลังจะเปล่งเสียงอีกครั้ง กลับมีเสียงใสแจ๋วของหญิงสาวที่ถูกผ้าคลุมหน้าสีแดงสดปิดไว้ พูดว่า
“ผู้ที่ให้กำเนิดข้าคือสวี่ฮูหยินแห่งจวนอวิ๋น สวี่ฮูหยินมีลูกสาวคือข้าคนเดียวเท่านั้น วันนี้ข้าออกเรือน หากจะให้คำนับ ข้าก็ควรคำนับแม่แท้ๆ ”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำหมัดแน่น อยากจะลุกขึ้นยืน
เวลานี้ ชูซย่าอุ้มป้ายวิญญาณที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ถูกขัดจนเงามาถึงห้องโถง
ผู้คนต่างพากันซุบซิบ
อวิ๋นเสวียนฉั่งมองสิ่งของในมือชูซย่า เป็นป้ายวิญญาณของสวี่ชิงเหยาภรรยาผู้ล่วงลับของเขาจริง เขารู้ว่าเป็นคามคิดของลูกสาว แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันต่อหน้าชูซย่า และตำหนิออกไปด้วยเสียงต่ำว่า “ยังไม่ไปอีก! นี่มันอะไรกัน! ฮูหยินของจวนอวิ๋นอยู่ตรงนี้ไงเล่า! เจ้าเอาป้ายวิญญาณของคนตายมาทำไม! จะทำให้อับอายไปทั้งเมืองหรืออย่างไร!” ส่งสายตาให้ลูกเขย เพื่อให้เขาช่วยเตือนเสียหน่อย
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าใจสิ่งที่อวิ๋นหว่านชิ่นทำลงไป เขาจึงทำเหมือนไม่เห็นสายตาของอวิ๋นเสวียนฉั่ง เขากุมมือนางไว้แน่น มุมปากกระตุกเล็กน้อย เป็นท่าทีของการตามใจ
“หากลูกลืมกำพืด ในวันออกเรือนไม่คำนับแม่แท้ๆ นี่สิถึงเรียกว่าไม่เหมาะสม พระราชสำนักใช้ความกตัญญูปกครองแผ่นดิน แม้แต่กษัตริย์เองยังต้องปฏิบัติตาม แล้วจะยอมไม่ได้เลยหรือ หากหญิงสาวคนนี้จะขอแสดงความกตัญญู ใครเป็นผู้ให้กำเนิดข้า ข้าก็จะคำนับผู้นั้น เหตุผลง่ายๆ เพียงเท่านี้เจ้าค่ะ ใครหัวเราะเยาะข้า ผู้นั้นคงเป็นผู้อกตัญญู” เสียงอ่อนหวานดังออกมาจากผ้าคลุมหน้า พอพูดถึงตรงนี้ นางเปลี่ยนเป็นเสียงเคร่งขรึมและพูดว่า “ชูซย่า เชิญฮูหยินลงมา เชิญป้ายวิญญาณขึ้นนั่ง!”
“เพคะ ชายาเอก!” ชูซย่าเปลี่ยนคำขาน ส่วนไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังไม่ทันได้สติ ก็ถูกสาวใช้ดึงลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว