ชูซย่านำป้ายวิญญาณของฮูหยินสวีวางไว้ตำแหน่งขวา เคียงคู่กับเก้าอี้ของนายท่าน อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าดำหน้าแดงไปหมด และยังต่อเถียงว่า “วันยินดีครั้งใหญ่เช่นนี้ จะไม่เสียฤกษ์หมดหรือ ไม่รู้สึกว่ามันอัปมงคลด้วยเช่นนั้นหรือ…”
“ป้ายวิญญาณแม่แท้ๆ ของชายาเอก ไม่ใช่ของผู้อื่น แม่ภรรยาจะปกปักรักษาลูกสาว จะเสียฤกษ์ได้อย่างไรกันเล่า” จู่ๆ ซย่าโหวซื่อถิงก็พูดออกมา จนสามารถทำลายบรรยากาศตึงเครียด “เจ้ากรมเป็นขุนนางคนสำคัญ ไม่ต้องงมงายขนาดนั้นก็ได้”
ผู้ประกอบพิธีเห็นว่าฉินอ๋องพูดแบบนั้น ไหนๆ เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว ฉินอ๋องกับชายาเอกก็ยืนหยัดจะทำแบบนี้ทั้งคู่ แล้วเขาจะขัดคำสั่งได้อย่างไรกัน “เอาหล่ะ หากพ้นเวลามงคลไปจะไม่ดี!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งสะบัดแขนเสื้อ นั่งลงข้างป้ายวิญญาณภรรยาผู้ล่วงลับพลางถอนใจหายฮึ่ม และรับการคำนับจากฉินอ๋องกับลูกสาว จากนั้นผู้ประกอบพิธีประกาศเสียงสูง “เสร็จสิ้นพิธี” เขายืนอยู่หน้าประตูพร้อมด้วยสีหน้า หน้าดำหน้าแดง “ส่งฉินอ๋อง และชายาเอก!”
ไปเสวี่ยฮุ่ยโกรธยิ่งกว่า นางสงสัยแต่แรกแล้วว่า เด็กคนนี้จะยอมให้นางได้หน้าได้อย่างไรกัน ที่แท้ ก็วางแผนให้หน้าเสียหน้าไว้ก่อนแล้วนี่เอง กว่าที่อารมณ์จะสงบนิ่งลง ก็ใช้เวลาไปครู่หนึ่ง พอเดินไปหานายท่าน เห็นนายท่านไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ นางจึงทำการปลอบใจ อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นนางไม่เพียงแต่ไม่โมโห แต่ยังมาปลอบใจตน ความโกรธในใจก็ลดลงไปเยอะทีเดียว สายตาที่มองไป๋ฮูหยินก็อ่อนโยนมากขึ้น
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นว่าพี่สาวกำลังจะไปแล้วจริงๆ ฮุ่ยหลานไม่ทันตั้งตัว ทันทีที่ก้าวขา เขาพยามพลักคนนู้นคนนี้ และตะโกนเรียกพร้อมน้ำตาว่า “ท่านพี่”
ฮุ่ยหลานดึงคุณชายน้อยไว้ทันพอดี จากนั้นก็เริ่มกอดปลอบเขา
สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เจ้าสาวผู้สวมแถบคล้องคอสีแดง เห็นเพียยงนางดึงผ้าขึ้นครึ่งหน้า หันหน้าเข้าหาฝั่งประตูจวนเจ้ากรม คลับคล้ายว่าจะเห็นปากสีแดงอันงดงามเปิดและปิด “ลูกมีน้องจากท้องแม่เดียวกันแค่คนเดียว ลูกขอให้ท่านพ่อดูแลน้องด้วยนะเจ้าคะ อย่าให้ใครละเลยน้องได้ ลูกจะส่งคนกลับมาไถ่ถามเป็นระยะเจ้าค่ะ”
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องแก่งแย่งและความหึงหวงข้างหลังเรือนอวิ๋น พ่อไม่ได้เรื่องจะแต่งหญิงเข้าบ้านอีกสักกี่คน นางก็จะไม่สนใจอีก ขอเพียงน้องชายได้รับการดูแลก็เพียงพอแล้ว
การที่เหลียนเหนียงกับฮูหยินไป๋ยังอยู่ต่อได้ ก็เพราะรู้จักพ่อเป็นอย่างดี แม้ว่าสองคนนี้จะไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อก็ยังแต่งผู้หญิงเข้ามาเพิ่มอีกเช่นเคย หลังเรือนก็จะวุ่นวายโกลาหลมากกว่าเดิม ส่วนเหลียนเหนียงกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย นางจัดการไปเรียบร้อยด้วยซุปเชียนจิน คนหนึ่งถูกดับหวังเรื่องสืบทายาท อีกคนหนึ่งมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู เหมือนกับตั๊กแตนในฤดูใบไม้ร่วง แม้จะกระโดดขึ้นจากหลุมได้ แต่มีบทเรียนจากอดีตติดตัว นางก็จะไม่กล้าทำอะไรผู้สืบสกุลอีก
ต่อจากนี้ไป เรือนแห่งนี้จะมีเพียงนางสองคนที่ฆ่าฟันกัน น้องชายไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงชั่วคราว
ขบวนรับเจ้าสาวได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกงงงวยกันเล็กน้อย พ่อดูแลลูกชายเป็นหลักการที่ถูกต้องอย่างมิต้องสงสัย เหตุใดนางถึงกำชับโดยเฉพาะ หรือว่าผู้เป็นพ่อยังดูแลไม่ดีเท่าพี่สาวเช่นนั้นหรือ ขุนนาง องครักษ์ที่มาในวันนี้ ล้วนมีภรรยาและลูก คลับคล้ายว่าจะเดาออกเล็กน้อย คงเพราะจวนอวิ๋นแห่งนี้ จัดการเรื่องภายในเรือนได้ไม่ยุติธรรมเท่าที่ควร ส่วนคุณชายน้อย ก็สูญเสียแม่แท้ๆ ไป ชายาเอกจึงไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ แต่การฝากฝังเช่นนี้ สามารถพูดกันอย่างลับๆ ได้ว่าชายาเอกฝากฝั่งและพูดต่อหน้าธารกำนันมากมายเพียงนี้ ถ้าจะบอกว่าฝากฝัง สู้บอกว่าเป็นการวางกับดักให้เจ้ากรม ต้องสนใจลูกชายให้มากขึ้น ห้ามมีผิดพลาดเป็นอันขาดยังจะดีกว่า
วันนี้เป็นวันที่ลูกสาวออกเรือน ควรจะเป็นวันที่ดี แต่เขากลับถูกลูกสาวทำแบบนี้จนถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก จัดการอะไรไม่ได้เลย หน้าเขียวต่อไป “พ่อจะดูแลจิ่นจ้งให้ดี ไม่ให้เขาลำบาก ชายาเอกออกเรือนอย่างสบายใจเถิด”
ขณะที่เสียงประทัดดังขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวออกจากประตูใหญ่แห่งจวนอวิ๋น ขึ้นเกี้ยวแปดสีแดงของพระราชวังจากการช่วยพยุงโดยโหยวมอมอกับชูซย่า
เกี้ยวแต่งงานกลางขบวนเริ่มเคลื่อนออกสู่ถนน
พระราชโอรสเข้าพิธีอภิเษก แล้วยังเป็นพิธีอภิเษกครั้งแรก จึงได้รับความสนใจจากประชาชนอยู่ไม่น้อย เสียงความรื่นเริงขึ้นลงดุจคลื่นน้ำ ดังสนั่นจนได้ยินถึงภายในเกี้ยว ชูซย่าเปิดผ่านม่านเป็นพักๆ บอกเล่าให้ฟังว่าด้านนอกคึกคักแค่ไหน
เมืองเหนือเป่ยเฉิงค่อนข้างไกล อวิ๋นหว่านชิ่นลูบท้องที่ร้องโครกคราก ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง จะไม่ให้หิวได้อย่างไรกันเล่า
ชาติก่อนตอนเข้าพิธีอภิเษกก็เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เช้าจนตกดึก ไม่ได้กินอะไรเลย หิวจนไส้จะขาด แต่ตอนนั้นเป็นคนซื่อๆ อยู่ในห้องหอ หลังจากบ่าวใช้ออกไปกันหมด ผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ นางก็ไม่กล้าหยิบ กลัวทำผิดขนบธรรมเนียม
พอคิดถึงเรื่องนี้ รู้สึกหิวกว่าเดิมอีก อยากจะไปให้ถึงตำหนักฉินอ๋องประเดี๋ยวนี้เลย อย่างน้อยถ้าได้เข้าห้องไปแล้ว นางก็แอบกินได้สักหน่อย วันนี้นางต้องใช้พลังงานเยอะมาก ต้องทนหิวทั้งวันแบบนี้ ใครกันเล่าจะทนไหว
ตะวันฉายแสงไปสามท่อนไม้ไผ่ ขบวนอภิเษกเคลื่อนมาถึงตำหนักฉินอ๋องในเป่ยเฉิงแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นลงจากเกี้ยวโดยมีโหยวมอมอช่วยจับ ก้าวข้ามเตาอั้งโล่เสร็จ จากนั้นก็เดินเข้าประตูเอกของตำหนัก เลี้ยวไปเลี้ยวมา ในที่สุดก็หยุด
ภายในห้องมีกลิ่นหอมจางๆ โชยมาจากกระถางธูปโบราณ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายอยู่ไม่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามโหยวมอมอ ผู้ซึ่งเป็นคนทำทาง พามานั่งลงที่บนเตียงนุ่ม นางใช้มือลองจับ เป็นผ้าคลุมคุณภาพชั้นดี น่าจะมาถึงห้องหอแล้วกระมัง
เสียงก้าวเท้ากับเสียงพูดคุยอันวุ่นวายเงียบลงช้าๆ เสียงท้องร้องดังโครกครากอีกสองครั้ง
เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงของโหยวมอมอดังขึ้น “พระชายานั่งพักก่อนนะเพคะ หม่อมฉันไปดูแลด้านนอกครู่เดียว”
“องค์ชายสามละ” อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดแผงลูกปัด
โหยวมอมอแกล้งนางเล่น “อุ้ย นี่เริ่มคิดถึงฉินอ๋องแล้วหรือเพคะ พระชายาอย่าได้รีบร้อนไป แขกที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกันมาแล้ว ท่านอ๋องกำลังต้อนรับอยู่ที่ห้องโถงเพคะ ถ้าฟ้าไม่มืด ก็คงไม่ได้เข้ามาหรอกเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า มีเรื่องให้ยุ่งจนมืดอีกแล้ว คนเป็นเจ้าบ่าวยุ่งแล้วยุ่งอีก ไม่กลัวว่าเจ้าสาวจะหิวตายอยู่ในห้องหอหรืออย่างไรกัน เห็นทีว่าคงต้องจัดการตัวเองแล้วล่ะ นางจึงตอบด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “อืม” เสียงเดินของโหยวมอมอหายไปอย่างช้าๆ นางเปิดผ้าคลุมหน้าและแผงลูกปัดบนมงกุฎออก
เมื่อชาตินางทนหิวจนเกือบตาย ชาตินี้นางจะไม่ยอมโง่อีก การหาอาหารกินเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์!
เมื่อสายตาเริ่มเห็นสิ่งของตรงหน้าชัดขึ้น ห้องหอใหญ่ห้องที่จวนตระกูลอวิ๋นมากกว่าสองเท่า แบ่งออกเป็นสามส่วน ทุกส่วนจะมีแผ่นกั้นไม้ไผ่กั้นเอาไว้
ตอนนี้ ตรงที่นางนั่งอยู่เป็นห้องนอนที่อยู่ด้านในสุด ข้างเตียงปาปู้มีโต๊ะวางเทียนมงคลมังกรหงส์อยู่ ด้านหน้าก็คือโต๊ะอาหารทำจากไม้พะยูง ขาตั้งโต๊ะโค้งงอ แต่บนโต๊ะกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรวางอยู่เลย
ชาติก่อนตอนแต่งงาน ในห้องหอเหมือนจะมีผลไม้วางอยู่ด้วย ไม่ต้องถึงกับกินจนอิ่ม แต่รองท้องสักหน่อยก็ยังดี แต่ฉินอ๋อง แม้แต่ขนเส้นเดียวยังไม่เหลือไว้ให้นาง!
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดในใจ คงต้องทนหิวถึงดึกแล้วกระมัง แล้วตอนที่นางกำลังโมโห มีคนเดินเข้ามาพอดี นางรีบกลับไปที่เดิม จับแผงลูกปัดลง คลุมผ้าคลุมหน้าทันที