ภาคที่ 2 บทที่ 18 เรื่องราวทั้งหมด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18 เรื่องราวทั้งหมด

ซูเฉินกลับมาที่กระท่อมหินอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาดูมีความสุขุมรอบคอบมากขึ้น เมื่อเทียบกับท่าทางที่ดูมีชีวิตชีวาก่อนหน้านี้

คราวนี้ความมั่นใจในตัวเองและความแน่วแน่ของซูเฉินได้จางหายไปแล้ว พวกมันถูกแทนที่ด้วยความเคารพและชื่นชมที่มอบให้กับผู้ที่อยู่เหนือยิ่งกว่าเขา

ฉือไคฮวงกำลังนั่งตกปลาที่อยู่ริมทะเลสาบ

วิธีการตกปลาของเขาพิเศษกว่าผู้อื่นอยู่เล็กน้อย บนคันเบ็ดของชายชราไม่มีสายเบ็ดติดอยู่ ทว่ามันกลับมีเส้นพลังต้นกำเนิดบาง ๆ ห้อยลงมาจากปลายด้านหนึ่งของคันเบ็ดลงไปในน้ำ

พลังต้นกำเนิดเส้นบาง ๆ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามฉือไคฮวงสามารถสร้างมันผ่านเบ็ดคันยาวนี้ได้ในขณะที่เขาอยู่ห่างจากมัน นอกจากนั้น เจ้าเส้นพลังต้นกำเนิดบาง ๆ นี้กลับมีปลามารวมตัวกันรอบ ๆ ราวกับว่าพวกมันถูก ‘สายเบ็ด’ ดึงดูดเข้ามาอยู่มากมาย

หากได้ลองเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่า สายเบ็ดนั้นส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวฟุ้งกระจายออกมาเพื่อดึงดูดปลาเข้าไป

พลังต้นกำเนิดมีกลิ่น !

เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากฉือไคฮวงมากนัก เขาโค้งคำนับให้ชายชราอย่างเคารพ “ซูเฉินทักทายผู้อาวุโส”

ฉือไคฮวงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา “คราวนี้เจ้าจะใช้ทักษะใหม่อะไรอีกล่ะ ?”

ซูเฉินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “คราแรกที่ข้าได้พบกับผู้อาวุโส ในยามนั้นข้าเพิ่งถูกผู้หญิงที่ข้าชอบหักอกมา ด้วยความเสียใจ ข้าจึงได้เอ่ยสาบานด้วยคำสาบานที่ฟังดูไร้สาระออกไป … ”

เขาไม่ได้แสดงทักษะต้นกำเนิดอะไรอีกและไม่ได้พยายามหลอกล่อฉือไคฮวงอีกต่อไป เด็กหนุ่มเพียงแค่อธิบายรายละเอียดอย่างอดทนว่าพวกเขาพบกันได้อย่างไร ซึ่งมันก็ทำให้ฉือไคฮวงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หากแต่ชายชราก็ยังคงวางท่าทีสงบเงียบและจดจ่อกับปลาในทะเลสาบต่อไป

“ด้วยเหตุนั้นข้าจึงได้รับคำต่อว่าสั่งสอนจากผู้อาวุโสเป็นครั้งแรก มันทำให้ข้าตื่นขึ้นจากการหูหนวกตาบอดราวกับตื่นจากความฝัน ตอนนี้เมื่อข้าได้ลองใช้เวลาในการไตร่ตรองดู มันคงจะเป็นการโต้ตอบกันครั้งแรกและนั่นคงจะทำให้ผู้อาวุโสรู้สึกว่าข้าเป็นพวกชอบทำอะไรเกินตัว หัวสูงและหยิ่งผยอง”

ดวงตาของฉือไคฮวงหรี่ลงเล็กน้อย

ซูเฉินกล่าวต่อ “อันที่จริง ในตอนนั้นแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังคิดว่าตนสาบานไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ข้าไม่เคยมีความสามารถในการทำความฝันนั้นให้เป็นจริงเลย ดังนั้นตัวข้าจึงไม่มีแรงจูงใจที่กระโดดลงไปในหลุมลึกนี้ แต่ข้านั้นคิดผิด และผู้อาวุโสเองก็เช่นกัน … เพราะคำสาบานนั้นไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ อารมณ์ชั่ววูบเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น”

ทันใดนั้นฉือไคฮวงก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาทอประกายแวววับ

“ข้าอาศัยอยู่ในโลกที่สายเลือดเป็นเครื่องวัดความน่าเคารพนับถือ เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ในฐานะคนธรรมดาผู้ไร้สายเลือดคนหนึ่ง ข้าจึงได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างจากมัน ข้าเห็นคนบางคนใช้ตัวตนและฐานะของพวกมันฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างป่าเถื่อน แค่เพียงเพราะชีวิตของอีกฝ่ายมีค่าน้อยกว่าพวกมัน”

“ข้าเคยไปยังชายแดนเมฆาเคลื่อน ได้เป็นพยานถึงชีวิตอันขมขื่นของผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ได้เห็นความทุกข์ยาก ได้รับรู้ถึงความยากลำบากและความเจ็บปวดที่พวกเขาได้สัมผัสทุกวัน ข้าเกลียดชังคนพวกนั้น สมาชิกจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงผู้ใช้สถานะของตนเพื่อกดขี่ผู้อื่น”

“ดังนั้นข้าจึงฆ่าพวกมัน และพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเหล่าทหารเดนตายบางคนในพื้นที่ชายแดน แต่ทุกสิ่งที่ข้าทำอยู่บนแผ่นดินมนุษย์นี้ มันก็เป็นเพียงแค่การหยดน้ำลงในมหาสมุทร มีความทุกข์ยากอีกมากมายที่ข้าไม่สามารถเข้าไปช่วยและแก้ไขมันได้”

ในที่สุดฉือไคฮวงก็หันกลับมาและมองดูซูเฉิน

“ดังนั้นข้าจึงได้แต่หวังว่า วันข้างหน้าวันใดสักวันหนึ่งจะมีใครบางคนสามารถยืนหยัดและทำลายสิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นมา” ซูเฉินกล่าวเสียงเบา

รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ใช่ ตอนนั้นข้าก็แค่หวังว่าคนอื่นจะยืนขึ้น หวังว่าจะมีใครสักคนเข้ามาเป็นวีรบุรุษให้ข้า ไม่เคยคิดที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองหรือกลายเป็นวีรบุรุษที่ข้าอยากจะเฝ้ามอง เป็นเช่นนั้น จนกระทั่ง … ”

“จนกระทั่งผู้หญิงนางนั้นปรากฏตัว ?” ฉือไคฮวงพูดขึ้นในที่สุด

ซูเฉินพยักหน้า “ใช่ ในวันนั้นที่ข้าได้กล่าวคำสาบานนั่น มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันเหมือนกับเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่เอาไว้ใช้เพื่อทะลวงฝ่าเข้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้น หากไม่มีพลังนี้มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวต่อไป ทว่าถึงจะอาศัยพลังส่วนนี้ สุดท้ายมันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี”

ฉือไคฮวงถอนหายใจเบา ๆ เป็นการยอมรับคำอธิบายของซูเฉิน

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้รับการยอมรับ นับตั้งแต่เขาได้พบกับฉือไคฮวง

ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ตื่นเต้นไปกับมัน เขายังคงอธิบายอย่างสงบต่อไป

“ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้มีความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจของข้า ข้าไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมท่านถึงไม่เต็มใจที่จะรับข้าเป็นศิษย์ จนกระทั่งเมื่อวานในที่สุดข้าก็เข้าใจ ข้าเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดข้าถึงได้ต้องการให้ผู้อาวุโสมาเป็นอาจารย์ส่วนตัวของข้า มันไม่ใช่เพราะพลังหรือความแข็งแกร่งเลย แต่มันเป็นเพราะสิ่งที่ท่านเป็น สิ่งที่ท่านทำ เพราะคำตำหนิ คำต่อว่าที่ท่านใช้กับข้า ทั้งหมดนั่น”

“เมื่อข้าเข้าใจทุกอย่าง ข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงไม่เต็มใจที่จะรับลูกศิษย์ มันไม่ใช่เพราะว่าผู้อาวุโสไม่ต้องการศิษย์ แต่เพราะไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยจะเห็นด้วยหรือเข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่เลย หากพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังทำแล้วจะมาเรียนรู้จากท่านได้อย่างไร ? นี่คือประเด็นหลัก ดั่งเช่นที่ท่านเคยกล่าว”

“บรรดาผู้ที่ต้องการให้ท่านมาเป็นอาจารย์ส่วนตัว พวกเขาก็เพียงกำลังเล่นเกมที่มีเรียกว่า ‘เอาชนะฉือไคฮวง’ อยู่ก็เท่านั้น คนพวกนั้นไม่ได้เคารพอุดมคติและความพยายามของผู้อาวุโสเลย แต่แค่ต้องการพิสูจน์ความสำเร็จและชัยชนะของพวกเขาเอง แน่นอนว่าท่านย่อมไม่ต้องการที่จะยอมรับพวกเขา”

ดวงตาของฉือไคฮวงหรี่ลงเล็กน้อย

เด็กหนุ่มกล่าวว่า “ข้าเข้าใจมัน ! ข้าเข้าใจดีว่าผู้อาวุโสกำลังพยายามทำสิ่งใดอยู่ และข้าเองก็ต้องการจะทำสิ่งนั้นเช่นกัน ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดออกมาเพราะความหุนหันพลันหรืออารมณ์ชั่ววูบแม้แต่น้อย มันเป็นทางเลือกที่ตัวข้านั้นได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว !”

เขาคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วพูดด้วยความจริงใจว่า “ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด !”

——————————————————

ณ เรือนหลักของบ้านตระกูลไป๋ในเมืองกังหันลอยล่อง

ไป๋จิ้งไถนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักในห้องโถงด้วยสีหน้ามืดมน

ชายคนนี้มีใบหน้าที่ยาวเหมือนกับม้า หนวดของเขาถูกจัดแบ่งออกเป็น 2 ข้างอย่างเรียบร้อยเหมือนกับอักขระเลข ‘8’ มันทำให้ใบหน้าของเขาดูแปลกและผิดรูป เขาดูน่าเกลียดมากทีเดียว

[ในภาษาจีนอักขระแปดตัวคือ八]

อย่างไรก็ตาม จิตสังหารอันรุนแรงที่ชายที่ดูน่าเกลียดยิ่งผู้นี้กำลังปล่อยออกมาจนแทบจะสัมผัสได้จริง พวกหลั่งมันไหลออกมาจากร่างกายและก่อตัวเป็นหมอกเลือดที่ไร้ตัวตนรอบ ๆ ตัวเขา

หมอกสีเลือดนี้ทำให้คนรับใช้ของเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

คนใช้หนุ่มรูปงามคุกเข่าลงข้างหนึ่งที่ข้าง ๆ ไป๋จิ้งไถ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบาว่า “เราได้รับการยืนยันมาเรียบร้อยแล้วว่า หน้ากากปีศาจผู้นั้นที่สร้างความวุ่นวายในระหว่างการสอบของมณฑลสามเทือกเขาคือซูเฉิน ดังนั้นผู้ที่สังหารคุณชายใหญ่และภรรยาจะต้องเป็นมันอย่างแน่นอนขอรับ นอกจากนั้นในยามนี้มันยังได้ฝึกฝนดาบอัสนีบาตของตระกูลเรา และยังส่งต่อทักษะต้นกำเนิดนี้ให้กับผู้อื่นด้วย”

ปัง !

พนักเท้าแขนของเก้าอี้ที่ไป๋จิ้งไถกำลังนั่งอยู่ได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ

ไป๋จิ้งไถไม่ได้บีบมัน หากแต่หมอกเลือดอยู่รอบ ๆ ตัวเขาอย่างหนาแน่นพวกนั้น ได้หดตัวลงแบบฉับพลันทำให้พนักเท้าแขนถูกทำลายลง

“หนึ่งปี หลังจากที่สูญเสียเวลาและพลังงานไปมากมาย ในที่สุดเจ้าก็พบมันแล้ว ?” ไป๋จิ้งไถถามขึ้นอย่างประชดประชัน

คนรับใช้ผู้รายงานข่าวก้มศีรษะลงต่ำ “เป็นความผิดของข้าน้อยเองที่ทำตัวไร้ประโยชน์จนทำให้ท่านหัวหน้าตระกูลต้องรอนานขอรับ”

“ช่างมันเถอะ ในเมื่อเราหามันเจอแล้ว เช่นนั้นก็จัดการเถอะ”

“แต่นายท่าน ซูเฉินได้เข้าเรียนในสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปแล้ว ส่วนเจ้าเด็กผู้ที่ได้รับทักษะดาบอัสนีบาตไปอีกคนก็ได้เข้าไปในสถาบันมังกรซ่อนเร้นด้วยเช่นกันนะขอรับ”

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่การจัดการกับพวกเขาภายในกำแพงของสถาบัน

ไป๋จิ้งไถก้มหน้าลงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็พูดขึ้น “ปล่อยให้โอวเอ่อร์เป็นคนจัดการไป บอกให้มันหาโอกาสฆ่าซูเฉินเสีย”

“แล้วเด็กอีกคนที่เรียนทักษะดาบอัสนีบาตรไป ?”

“วิชาสัมบูรณ์ของตระกูลไป๋มิอาจแพร่กระจายออกไปได้ ฆ่ามันทิ้งซะ”

“ขอรับนายท่าน !”