บทที่ 19 หมาป่าชั่วร้ายแห่งแดนรกร้าง
เมื่อซูเฉินคุกเข่าลง ฉือไคฮวงก็เริ่มเอาจริงเอาจัง หรืออย่างน้อยที่สุดการแสดงออกบนใบหน้าของเขาก็เรียกได้ว่าดูจริงจัง
เขาจ้องมองไปที่ซูเฉินอย่างตั้งใจที่โดยไม่กล่าวอะไรสักคำ ราวกับกำลังประเมินอีกฝ่าย
หลังจากนั้นไม่นานฉือไคฮวงก็พูดขึ้น “เจ้าพูดถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง”
ซูเฉินชะงักไป
ครึ่งหนึ่ง ?
มีอะไรบางอย่างที่ข้ามองพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจงั้นหรือ ?
ฉือไคฮวงว่าต่ออย่างช้า ๆ “เหตุผลที่ข้าไม่เต็มใจจะรับลูกศิษย์นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคิดที่แตกต่างจริง ทว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมรับศิษย์ที่มีความคิดเช่นเดียวกันหรอกนะ”
“อะไรนะ ?” ซูเฉินตกตะลึง
หลังจากที่พูดไปตั้งขนาดนั้น เขาก็ยังคงปฏิเสธข้า ? นี่ข้าจะต้องทำอย่างไรกันเขาถึงจะยอมรับข้าศิษย์เสียที ?
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังหลงอยู่ในความสับสน ฉือไคฮวงก็พูดขึ้นอีกครั้ง “แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ต้องการรับศิษย์เช่นกัน”
คำพูดที่กะทันหันนี้ ยิ่งทำให้ซูเฉินรู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีก
ไม่นานนักซูเฉินก็ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง “ผู้อาวุโสหมายความว่าข้ายังไม่ผ่านเงื่อนไขบางอย่างงั้นหรือ ? หากเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสได้โปรดชี้แนะให้ข้าด้วยเถิด”
“เงื่อนไข ?” ฉือไคฮวงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างว่างเปล่าไปชั่วครู่ ในขณะที่เขาสับสนกับวลีที่ซูเฉินกล่าวมา ก่อนจะหัวเราะขึ้นเบา ๆ “นั่นคือสิ่งที่เจ้าได้จากการตีความในสิ่งที่ข้าพูดงั้นหรือ ? อืม หากเจ้าจะพูดเช่นนั้นมันก็ไม่ได้ผิดอะไร”
น้ำเสียงของชายชราทั้งอบอุ่นและสงบ เห็นได้ชัดว่าทัศนคติที่มีต่อซูเฉินเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วแตกต่างกันอย่างมาก หลังคำพูดของเด็กหนุ่มส่งไปถึงเขา
ฉือไคฮวงมองมาที่ซูเฉินและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องการทำตามคำสาบานและก้าวเดินตามรอยเท้าของรุ่นก่อน ๆ ข้าเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเลือกเดินไปบนเส้นทางสายนี้นั้น มันมีสิ่งใดรอคอยเจ้าอยู่ ?”
ซูเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ความยากลำบาก ! ความยากลำบากที่แสนสาหัส เผ่ามนุษย์ได้ไล่ตามความฝันนี้มาเนิ่นนานนับหมื่นปี ดังนั้นเส้นทางนี้จึงไม่ใช่เส้นทางที่เรียบง่ายที่ผู้ใดก็สามารถเดินผ่านไปได้ และหากข้าเลือกที่จะเดินไปบนถนนสายนี้ ข้าจะต้องไม่หยุดลง ข้าต้องเดินต่อไป ไม่ว่ามันจะยากเพียงใดข้าก็ไม่อยากที่จะยอมแพ้ ถึงแม้ว่านั่นจะหมายความว่าข้าอาจจะต้องสละเวลาทั้งชีวิตบนถนนอันไร้ที่สิ้นสุดก็ตาม”
ร่องรอยของความเย้ยหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของฉือไคฮวง “ ‘ถึงแม้’ ? ‘อาจจะ’ ? ‘ยากลำบาก’ ? นี่เจ้าวางแผนที่จะเดินไปบนถนนสายนี้ โดยที่ไม่รู้ว่ามันมีสิ่งอยู่เบื้องหน้างั้นหรือ ?”
หมายความว่าอย่างไร ? ซูเฉินตะลึงจนพูดไม่ออก
เด็กหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญอยู่หลายคืน แต่เมื่อได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนกับตนได้พลาดอะไรบางอย่างไป
นี่ … มันเกิดอะไรขึ้นกัน ? ซูเฉินไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
ฉือไคฮวงโบกมือเบา ๆ
จากนั้นปลาในน้ำก็แยกย้ายกันไป ราวกับว่าพวกมันได้รับคำสั่ง
“หากเจ้าอยากจะเข้าใจมันทั้งหมด ข้าจำจะต้องแก้ไขแนวคิดบางอย่างของเจ้าใหม่เสียก่อน” ชายชรากล่าวช้า ๆ ในขณะที่ซูเฉินก็คอยฟังอย่างตั้งใจ
“การแสวงหาวิธีการในการก้าวข้ามขีดจำกัดของสายเลือดนั้นไม่ได้ใช้เวลานานนับหมื่นปี การควบคุมพลังต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์ได้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ในช่วงแรก ๆ เผ่ามนุษย์ยังคงเพิกเฉย ไม่สนใจและไม่ได้รู้วิธีควบคุมพลังต้นกำเนิดเลยแม้แต่น้อย ในเวลานั้นตราบใดที่เผ่ามนุษย์ได้มีอำนาจพวกเขาก็พึงพอใจแล้ว แล้วจะมีใครมาจะจู้จี้จุกจิกกับเรื่องพรรณนี้ได้อย่างไร ?”
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่เผ่ามนุษย์เริ่มเข้าใจและได้รับรู้ถึงพลังของสายเลือด ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวพวกเขาเอง วิธีการควบคุมพลังต้นกำเนิดต่าง ๆ นา ๆ ก็ได้เริ่มปรากฏขึ้น ดินแดนแห่งใหม่ของระดับการบ่มเพาะได้ถูกค้นพบอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดมันก็ถูกแบ่งออกเป็นดินแดนแห่งการบ่มเพาะทั้ง 7 ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน หลังจากการค้นพบดินแดนการแห่งบ่มเพาะทั้ง 7 เหล่านี้ เทพอสูรบรรพกาลทั้งหลายต่างก็พากันเข้าสู่สภาวะจำศีลและหลับใหลลงไปพร้อมกับอสูรดึกดำบรรพ์ แล้วในที่สุดเผ่ามนุษย์ก็ได้ก่อตั้งอาณาเขตขึ้นเป็นของตนเอง”
“นี่คือจุดเริ่มต้นของความปรารถนาที่จะก้าวข้ามเผ่าสัตว์อสูร ดังนั้นความฝันที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดทางสายเลือดนี้ แท้จริงแล้วมันค่อย ๆ เกิดขึ้นมาตามช่วงเวลาที่ผันเปลี่ยนไป มันไม่ได้มีมานมนานหรือยากลำบากอย่างที่เจ้าได้คิดเอาไว้หรอก”
ประโยคสุดท้ายของฉือไคฮวง ทำให้หัวใจของซูเฉินสั่นสะท้าน “มันไม่ยากดั่งเช่นที่ข้าคิด ?”
“ใช่แล้ว !” ฉือไคฮวงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “หากข้าพูดไปอย่างนี้เจ้าอาจจะไม่เข้าใจ ดังนั้นข้าจะพูดอีกแบบให้เจ้าฟังก็แล้วกันนะ เอาเป็นถ้าหากว่าข้าบอกกับเจ้าว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนได้มีใครบางคนพัฒนาวิธีทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดสำเร็จไปแล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร?”
“เป็นไปไม่ได้ !” ซูเฉินตะโกนขึ้นตามสัญชาตญาณในทันทีทันใด
ในยามนี้ขอบเขตเดียวที่เผ่ามนุษย์สามารถพัฒนาไปถึงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดคือด่านก่อเกิดลมปราณ แม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ในการเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดอยู่ แต่ระดับความสำเร็จของมันนั้น มีอยู่เพียงแค่ประมาณ 2 ใน 10 ส่วนเท่านั้น
หากความพยายามในครั้งแรกล้มเหลว ความพยายามในครั้งต่อไปก็จำจะต้องได้รับการสนับสนุนจากสายเลือด
ด้วยเหตุนี้วิธีการทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดจึงไม่มีอยู่จริง หรืออย่างน้อยซูเฉินก็เข้าใจเช่นนั้น
แต่ตอนนี้ฉือไคฮวงกลับกล่าวว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนเผ่ามนุษย์มีวิธีการทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือด นั่นหมายความว่าอย่างไร ?
นั่นหมายความว่าความเชื่อมั่นในสายเลือดของเผ่ามนุษย์ในสายเลือดได้ลดลง หมายความว่าเราจะสามารถพบเจอเหล่าอัจฉริยะ ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับกลางและระดับต่ำจำนวนมากได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้มันยังหมายถึงรากฐานการฝึกฝนที่ดีกว่า ที่นำไปสู่การเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นของเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลัง
ทว่าถึงแม้จะผ่านไปนับ 100 ปี แต่สิ่งที่กล่าวไปนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น
อันที่จริง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้ยินถึงการมีอยู่ของวิธีการที่เหลือเชื่อนี้
“เหตุใดทักษะเหล่านั้นถึงไม่เคยถูกกระจายออกไปกัน ?” เด็กหนุ่มถาม
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ส่งต่อระเบิดเพลิงปักษาของเจ้าให้ผู้อื่นเล่า ? หรือวิธีการในการก้าวข้ามขีดจำกัดสายเลือดอสรพิษทะยานของทักษะก้าวย่างหมอกอสรพิษกับฝ่ามือดอกไม้บิน ? เจ้าได้ประกาศการค้นพบของเจ้าให้สาธารณชนได้รับรู้หรือไม่เล่า ?” ฉือไคฮวงถามกลับ
“นี่ … ” ซูเฉินยืนนิ่ง
ใช่ เหตุใดเขาถึงไม่ส่งต่อระเบิดเพลิงปักษาให้กับผู้อื่นกัน ? เหตุใดเขาจึงไม่ประกาศว่าตนสามารถข้ามขีดจำกัดทางสายเลือดของทักษะก้าวย่างหมอกอสรพิษกับฝ่ามือดอกไม้บินได้แล้วออกไปกัน ?
หากเขาไม่สามารถเปิดเผยทักษะฝ่ามือดอกไม้บินออกไปได้ ถ้าเช่นนั้นแล้วตาข่ายลมพิสุทธิ์เล่า ? ทักษะนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลกู่เสียหน่อย เหตุใดเขาถึงได้เก็บมันไว้กับตัวเองกัน ?
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะเขาได้ใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการสร้างมันขึ้นมา ไม่มีทางที่เขาจะให้มันแก่ใครไปฟรี ๆ อยู่แล้ว
ซูเฉินเริ่มเข้าใจความหมายในคำถามของฉือไคฮวงอย่างช้า ๆ
“พวกเขา … ไม่ต้องการจะเผยแพร่มันออกไป ?”
ฉือไคฮวงพยักหน้า “ผู้คนมากมายต่างมีคำตอบที่ต้องการจะค้นหา ทว่าส่วนใหญ่แล้วนั้น ก็ล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตน มิใช่เพื่อทั้งเผ่าพันธุ์”
ซูเฉินนึกไปถึงเหมยอิงปู้ลู่เค่อ นอกจากนี้ก็ยังมีตัวเขาเองที่เดินไปตามเส้นทางของการแสวงหาวิธีในการก้าวข้ามขีดจำกัดทางสายเลือด เพื่อทะลวงขึ้นไปสู่ระดับพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่เขาทำเพื่อใครกันล่ะ ? ทั้งหมดนี้มันก็เพียงแค่เพื่อตัวเขาเอง
ผู้ที่มีพรสวรรค์และความหลงใหลเหล่านั้น ย่อมได้สร้างทักษะที่น่าประทับใจมากมายขึ้นมาเพื่อบรรลุความฝันของพวกเขา อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะแบ่งปันมันกับคนทั้งโลกแม้แต่น้อย
พวกเขาหวงแหนและทะนุถนอมมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างมา มันเป็นของ ๆ พวกเขา พวกเขาไม่ได้อยากให้คนรับรู้ถึงมันเลยด้วยซ้ำ
ซูเฉินรู้สึกถึงคลื่นแห่งความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นในใจของตน
เขาถามย้ำ “มีเหล่าคนที่ก้าวข้ามไปสู่ระดับที่สูงกว่า โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาสายเลือดได้จริงหรือ ?”
ฉือไคฮวงพยักหน้า
“คนมากมายเหล่านั้น … ไม่มีผู้ใดคิดที่จะช่วยเผ่าพันธุ์ของตนเลยหรือ ?”
“อาจจะมีอยู่ แต่ก็ไม่กล้าพอ” ชายชราตอบ
“ไม่กล้าพอ ?”
“ใช่ ไม่กล้าพอ !” ฉือไคฮวงมองดูซูเฉิน ขณะที่เขาพยักหน้าอีกครั้ง “เจ้าอาจยังไม่เข้าใจ เพราะเจ้ายังคงไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งแท้จริงที่กำลังขวางทางเจ้าอยู่ ยามนี้เจ้ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนเป็นเพียงแดนรกร้างที่มืดมิดไร้ทิศทาง แต่เจ้าหารู้ไม่ว่ามันยังมีหมาป่าชั่วร้ายอีกนับไม่ถ้วน กำลังเฝ้ารอที่จะกลืนกินเจ้าอยู่ในแดนรกร้างแห่งนี้”
“หมาป่าชั่วร้าย … ” ซูเฉินพึมพำ
“ใช่ หมาป่าชั่วร้าย !” ฉือไคฮวงกล่าวอย่างจริงจัง
“ใครคือหมาป่าชั่วร้าย ?”
“คิดถึงสิ่งที่เจ้ากล่าวไป คิดถึงเป้าหมายของเจ้าดูอีกครั้ง”
“นำพาเผ่ามนุษย์ไปยังจุดสูงสุด ?”
“ไม่ใช่สิ่งที่ไกลขนาดนั้น”
ซูเฉินหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ก้าวข้ามขีดจำกัดของสายเลือด ?”
ฉือไคฮวงหัวเราะ “ใช่ แค่นั้นแหละ เจ้าคิดว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงพวกนั้น จะนั่งเฉย ๆ เฝ้าดูเจ้าทำลายตำแหน่งที่ทางสังคมที่เหนือกว่าของพวกมันงั้นหรือ ?”
หัวใจของซูเฉินสั่นสะท้าน เขาเข้าใจสิ่งที่ชายชราพยายามที่จะสื่อออกมาในทันที
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่เขาเพียงแค่ไม่เต็มใจที่จะคิดไปในทิศทางนั้น
ในใจของเขาความฝันนี้นับเป็นเรื่องยากที่จะทำได้สำเร็จ มันยังคงไกลเกินไปที่จะคิดถึงอนาคตในตอนนี้
แต่วันนี้ฉือไคฮวงได้ทำให้เขาตาสว่างขึ้น ชายชราบอกเขาว่าการข้ามขีดจำกัดทางสายเลือดไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น และส่วนที่ยากจริง ๆ คือปัญหามากมายที่จะตามมาภายหลังต่างหาก
ความรู้สึกเจ็บปวดในใจได้ถาโถมเข้าหาซูเฉินโดยที่เขาไม่ทันได้เตรียมรับ
ดวงตาของฉือไคฮวงเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศก “หากเจ้าไล่ตามความฝันที่จะนำพาเผ่ามนุษย์ไปยังจุดสูงสุด ไล่ตามความลับที่ลึกซึ้งที่สุดของโลกอย่างไม่ลดละ แต่กลับต้องพบว่าสิ่งที่ขัดขวางเจ้าเอาไว้แท้จริงแล้วก็คือสมาชิกในเผ่าพันธุ์เอง เจ้าจะรู้สึกอย่างไร ?”
ซูเฉินเงียบ
เขาจะรู้สึกอย่างไร ? ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความผิดหวัง และแม้กระทั่งความสิ้นหวังเองก็ต่างพากันพัดเข้ามาในหัวใจของเขา
ฉือไคฮวงลุกขึ้นยืน
เขาเดินเข้าไปหาซูเฉินและพูดต่ออย่างช้า ๆ “ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่าความยากลำบากที่แท้จริงแบบใดที่เจ้าจะต้องเผชิญเมื่อเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ?”
“ประการแรก เจ้าอาจต้องใช้ไปเวลาทั้งชีวิตโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ดั่งเช่นที่เจ้าว่าสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อเจ้าล้มเหลว เจ้าจะต้องเผชิญกับคำเยาะเย้ยถากถางกระทั่งโดนใส่ร้ายป้ายสี”
“ประการที่สอง ถึงแม้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ เจ้าก็จะได้เผชิญกับบททดสอบทางจิตใจของเจ้า หากเจ้าต้องการให้เผ่ามนุษย์รุ่งโรจน์อย่างแท้จริง เจ้าจะต้องเอาสิ่งที่ตัวเองศึกษามาทั้งชีวิต มอบให้แก่สาธารณชน ให้ทุกคนได้เรียนรู้ นั่นหมายความว่าเจ้าจะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้ายังรับได้หรือไม่ ? ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าถือเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดและมีไหวพริบดี แต่เจ้าจะยินดีที่จะทำธุรกิจที่ขาดทุนเช่นนี้หรือไม่ ?”
“ประการที่สาม หากเจ้าสามารถข้ามผ่านทั้ง 2 ข้อก่อนนี้ไปได้ และได้พบว่าสิ่งที่รอเจ้าอยู่เบื้องหน้าหาใช่ดอกไม้หรือเสียงปรบมือไม่ แต่เป็นความโกรธและความเกลียดชังจากเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงนับไม่ถ้วนทั่วทุกสารทิศ”
“เมื่อวันหนึ่งเผ่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังแห่งสายเลือดอีกต่อไป และสถานะที่เหนือกว่าของเหล่าสายเลือดชั้นสูงก็จะหายไป พวกมันจะเกลียดเจ้าและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหยุดเจ้าลง หรือแม้กระทั่งเลือกที่จะฆ่าเจ้าทิ้ง ! เจ้ายอมจ่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีออกไป แต่สิ่งที่เจ้าจะได้รับกลับเป็นการทรยศและการไล่ล่าเอาชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะยอมรับมันได้หรือไม่ ?”
หยาดเหงื่อเย็นเฉียบไหลท่วมแผ่นหลังของเด็กหนุ่มในขณะที่เขารับฟัง
ฉือไคฮวงยังคงกล่าวต่อไป “แน่นอนว่าคนที่รู้สึกขอบคุณเจ้าก็ย่อมจะมีอยู่ แต่เชื่อข้าเถอะ ความกตัญญูแบบนั้นไม่มีค่าให้ไปกล่าวถึงหรอก ใครบอกให้เจ้าเผยแพร่ทักษะนี้สู่สาธารณะและส่งต่อให้ทุกคนกัน ? ในเมื่อมันถูกส่งต่อให้กับทุกคน แล้วมันจะไปมีค่าอะไรเหลืออยู่กัน และเมื่อมันไม่มีค่าอะไรเลย คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกว่ามันก็เป็นเพียงแค่ผลประโยชน์เล็กน้อยที่พวกเขาได้รับไปก็เท่านั้น มันไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องหลั่งเลือดให้เจ้าเลย ถูกไหม ?”
“ประการที่สี่ คือถึงเจ้าจะยอมยกทุกสิ่งของเจ้าให้ไป ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังต้องอยู่คนเดียว หากทุกอย่างถูกกำหนดให้เป็นเช่นนี้ เจ้าจะยังเต็มใจที่จะก้าวไปบนเส้นทางนี้โดยไม่เสียใจหรือไม่ ?”
ซูเฉินมองไปทางฉือไคฮวงโดยไม่ได้พูดอะไร
ชายชรากล่าวต่อปิดท้าย “คำถามที่เจ้าถามข้าว่าเงื่อนไขในการรับศิษย์ของข้าคืออะไร ข้าได้ตอบเจ้าไปหมดแล้ว นี้คือเงื่อนไขของข้า กลับไปลองคิดถึงสิ่งที่ข้ากล่าวไปดูเสีย และหากเจ้ายังคงต้องการที่จะเป็นศิษย์ของข้าแม้จะรู้เรื่องทั้งหมดนี้ไปแล้ว เช่นนั้น … ข้าก็จะยอมรับเจ้า”