ภาคที่ 2 บทที่ 20 ข้าไม่ได้อยู่คนเดียว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 20 ข้าไม่ได้อยู่คนเดียว

ซูเฉินขังตัวเองอยู่ในห้องของเขาและครุ่นคิดเรื่องนี้เป็นเวลา 3 วัน

หลังจาก 3 วันผ่านไป เขาก็กลับไปที่กระท่อมหินอีกครั้ง ในขณะที่ฉือไคฮวงกำลังนั่งปรุงเนื้อในหม้ออยู่

หม้อใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังต้นกำเนิดของเขา เปลวไฟกองนี้เองก็เช่นกัน มีเพียงเนื้อสัตว์อสูรที่ถูกพลังต้นกำเนิดต้มจนสุกกลางอากาศเท่านั้นที่เป็นของจริง

เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา ฉือไคฮวงก็ถามว่า “เจ้าได้ไปคิดให้ดี ๆ แล้วหรือยัง ?”

“ข้าได้ลองคิดดูแล้ว” ซูเฉินตอบ

“แล้วคำตอบของเจ้าคือ ?”

“ก่อนที่ข้าจะให้คำตอบแก่ผู้อาวุโส ข้าอยากจะขอพูดในมุมมองของข้าสักหน่อย ก่อนอื่นข้าต้องยอมรับว่าสิ่งที่ท่านกล่าวให้ข้าฟังเมื่อ 3 วันก่อนทำให้ข้ากลัวจริง ๆ ข้ารู้สึกลังเลใจไปเล็กน้อย เมื่อพบว่าตัวข้าไม่ได้พร้อมที่จะเป็นผู้เสียสละอย่างที่คิด”

“ถึงข้าจะพูดออกไปว่าข้าต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อเผ่ามนุษย์ แต่มันก็ไม่ใช่การเสียสละแบบนั้น ข้าไม่เต็มใจที่จะโยนตัวเองเข้าไปในกองไฟเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทว่าหลังจากได้ลองคิดทบทวนแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านพูดถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นความจริง แต่มันยังไม่เกิดขึ้น ถูกหรือไม่ ? สุดท้ายทั้งหมดนี้ก็ยังคงเป็นเพียงแค่การคาดเดาของท่านผู้อาวุโส”

“ใช่ แต่มันไม่ได้หลับหูหลับคาดเดาไปมั่ว ๆ ” ฉือไคฮวงตอบ

“ข้ารู้ แต่ข้าก็เชื่อว่าถึงโลกนี้จะมีด้านมืดอยู่แต่มันก็มีด้านสว่างเช่นกัน แสงสว่างและความมืดอยู่ร่วมกันเสมอ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้สิ่งเลวร้ายทั้งหมดที่ท่านกล่าวมาจะมีอยู่จริง แต่ทั้งโลกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว ข้าเชื่อว่ายังมีสิ่งสวยงามมากมายรอเราอยู่ ท่านอาจไม่ได้กล่าวถึงพวกมันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่มีอยู่จริง”

ดวงตาของฉือไคฮวงเผยแววเยาะเย้ย “นี่คือความมั่นใจที่เจ้าสร้างขึ้น หลอกตัวเองให้เชื่อว่าในโลกนี้ยังมีแสงสว่าง ? เพื่อที่จะได้เดินไปตามเส้นทางนี้สบายใจงั้นหรือ ?”

“หากโลกใบนี้ไม่มีแสงสว่าง แล้วท่านเป็นอะไร ?” ซูเฉินตอบกลับ

ฉือไคฮวงพูดไม่ออก

นี่เป็นครั้งแรกที่ชายชราถูกเด็กหนุ่มโต้กลับจนถึงขั้นพูดไม่ออก

ซูเฉินกล่าวว่า “ข้าเคยตาบอดมานานกว่า 3 ปี ในช่วง 3 ปีนั้นข้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับความมืดมิดทุกไร้ซึ่งความหวัง แต่ข้าไม่เคยยอมแพ้ในตัวเอง ข้ายังคงพยายามอย่างหนักต่อไป นั่นคือเหตุผลที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ที่นี่ในวันนี้ ในตอนนั้นหลายคนต่างก็ถามข้าว่าเหตุใดข้าถึงยังคงอดทน … ”

เขาเงียบลงครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดต่อ “มันคือความหวัง ข้าเชื่อมั่นว่าสักวันดวงตาของข้าจะหายดี ข้าไม่รอให้วันนั้นมาถึงโดยที่ข้ายังไม่ได้เตรียมตัว เพราะความหวังอันริบหรี่ข้าจึงกัดฟันทนไม่ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตาม”

“ผู้อาวุโสฉือ เชื่อข้าเถิด ข้าเคยสัมผัสมากับตัวแล้วว่า การเดินอยู่ท่ามกลางความมืดและถูกล้อมรอบไปด้วยหมาป่าชั่วร้ายเป็นอย่างไร ทุกสิ่งที่คุณกล่าวถึงข้าเคยลองมาแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่ยอมแพ้ ตอนนี้อนาคตที่ท่านกำลังพูดถึง เป็นเพียงอนาคตที่จินตนาการขึ้นจากประสบการณ์ที่ท่านมี … ”

“ 4 ประการสำคัญนั่น ผู้อาวุโสยังคงไปไม่ถึง 2 ประการหลังใช่หรือไม่ ? ดังนั้นในการคาดเดานี้ มีทั้งความเป็นไปได้และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นมากมายเกินไป ซึ่งหมายความว่าในอนาคตนั้นยังคงความหวังอยู่อีกมาก”

เมื่อมาพูดถึงตรงนี้ เสียงของซูเฉินก็ดังขึ้นเล็กน้อย “ในช่วงเวลาที่มืดมนและเยือกเย็นที่สุดในชีวิต ข้ายังยึดมั่นในความหวังเล็ก ๆ เพื่อก้าวต่อไปได้ แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้ข้ามายอมแพ้เอาตอนนี้กัน ?”

“นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ ข้ายังต้องการเดินบนเส้นทางนี้”

“น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ท่านคาดหวัง ไม่ใช่ความมุ่งมั่นที่จะเสียสละตัวเองเพื่อสิ่งที่ดีกว่า และไม่ใช่ความปรารถนาที่จะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อยกระดับความรุ่งโรจน์ให้เผ่าพันธุ์ แต่เป็นเพราะโลกนี้ยังมีความหวัง ข้ายังคงเชื่อมั่นในธรรมชาติของมนุษย์ ข้าเชื่อว่าในอนาคตจะไม่ได้มีแค่เพียงความมืด มันย่อมมีแสงสว่างอยู่ด้วย อย่างไรเสีย ข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการค้นหาแสงสว่างกลางความมืดอยู่แล้ว !”

“ข้าเชื่อว่าข้าไม่ได้อยู่คนเดียว !”

“…..”

เงียบ

เป็นความเงียบที่ยาวนาน

หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป ในที่สุดฉือไคฮวงก็พูดขึ้น “ข้าไม่ใช่คนที่ฉลาดมากนัก … ในสนามรบไม่มีที่ว่างสำหรับกลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าต้องการศิษย์ที่พร้อมจะต่อสู้เพื่ออยู่บนสนามแห่งความตายนี้ คนที่มีความเด็ดเดี่ยวและกล้าจะก้าวไปข้างหน้าไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของเด็กหนุ่มก็ดิ่งลง

ฉือไคฮวงกล่าวต่อ “แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท้ายที่สุดศิษย์ที่ข้ายอมรับกลับเป็นคนที่ฉลาดมีไหวพริบและเก่งในการโต้แย้ง คารมคมคายและชัดเจน มีความคิดเป็นของตัวเองและมองทะลุความคิดของข้าได้ บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา”

หลังจากได้ยินประโยคต่อมา หัวใจของซูเฉินก็เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น

ฉือไคฮวงพยักหน้า “ดี มากับข้า”

ขณะที่พูดชายชราก็ลุกยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังป่าที่อยู่ทางด้านหลัง

ซูเฉินไม่รู้ว่าชายชรากำลังจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดออกมาอย่างไม่ระมัดระวัง และเดินตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างเงียบ ๆ

ทั้ง 2 เดินไปเงียบ ๆ เช่นนี้ตลอดทาง ผ่านป่าเล็ก ๆ และทางเดินยาวที่คดเคี้ยว หลังจากเดินผ่านศาลาและตึกหอมากมาย พวกเขาก็มาถึงด้านหน้าหมู่หอคอย

ฉือไคฮวงเดินเข้าไปยังหอคอยที่ดูโบราณแห่งหนึ่ง

หลังจากเข้าสู่หอคอยโบราณแล้ว ซูเฉินก็ได้พบว่าการตกแต่งด้านในนั้นสวยงามอย่างยิ่งราวกับได้เข้าไปสู่อีกดินแดนหนึ่ง

ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ มีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งดูกองแฟ้มต่าง ๆ อยู่หลังโต๊ะขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า

เมื่อเขาเห็นฉือไคฮวงเดินเข้ามา ชายชราเคราขาวก็ตะโกนขึ้น “ฉือไคฮวง ? เหตุใดเจ้าถึงได้มาที่นี่ ?”

“ข้ามาที่นี่เพื่อลงทะเบียน” ฉือไคฮวงตอบ เขาขยับตัวออกไปด้านข้างเผยให้เห็นซูเฉินที่ตามหลังเขามา

ชายชราเคราขาวมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาถามว่า “ลงทะเบียน ? ลงทะเบียนอะไร ?”

“ข้ามาที่นี่จะลงทะเบียนอะไรได้อีก ? ลงทะเบียนศิษย์ใหม่ให้ข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมันคือศิษย์ของข้า”

ชายชราเคราขาวตกตะลึงอีกครั้งหลังได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย

ใบหน้าของชายชราผู้รับลงทะเบียนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงอย่างช้า ๆ เคราของเขาตั้งตรง ก่อนจะตะโกนออกมา “เจ้ารับศิษย์ ? เป็นไปได้อย่างไรกัน !? ฉือไคฮวง นี่เจ้ายอมรับศิษย์แล้วจริง ๆ หรือ ? และยังรับมันเข้าเป็นศิษย์สืบทอดในทันทีอีก !?”

“เอาล่ะ หยุดมองข้าด้วยสีหน้าแปลก ๆ แบบนั้นได้แล้ว ข้าไม่มานั่งอดทนตัดสินหรอกว่ามันจะมาเป็นศิษย์ธรรมดาหรือศิษย์สืบทอด ไม่ว่าข้าจะไม่รับศิษย์สักคนหรือรับมันมาเป็นศิษย์สืบทอดของข้าในทันที แล้วมันจะแปลกอะไรกัน ?” ฉือไคฮวงโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “ลงทะเบียนให้มัน เร็ว ๆ เลย”

ชายชราเคราขาวจ้องมองฉือไคฮวงด้วยความตกตะลึงอยู่นาน หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูเฉิน จากนั้นราวกับตื่นจากความฝัน ก่อนจะเริ่มมองหาทะเบียนอย่างเร่งรีบพลางพึมพำ “บ้าจริง นี่ข้าเอามันไปวางไว้ที่ไหนกันแน่นะ ?”

“อยู่ตรงนั้น !” ฉือไคฮวงทนรอต่อไม่ไหวอีกต่อไป เขาชี้ไปที่หนังสือหนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ

“อ้า ! อยู่นี้เอง” ชายชราเคราขาวหยิบหนังสือหนังสัตว์ขึ้นมา แล้วรีบพลิกเปิดมันทั้งที่ยังคงพึมพำกับตัวเองไม่หยุด

ในขณะที่ชายชราเคราขาวร่ายมนต์เสียงเบา เด็กหนุ่มก็พลันเห็นควันสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากหนังสือหนังสัตว์ ควันนั่น มันได้ก่อตัวเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก ก่อนที่จะมีดวงตา 2 ข้างลืมขึ้นที่ด้านบนบอลควัน และกรอกไปมาไม่หยุด

“พูดชื่อของเจ้า !” ชายชราเคราขาวตะโกน

ฉือไคฮวงตบไหล่ของซูเฉิน “บอกชื่อของเจ้าไป”

“อา …… ซูเฉิน ! ข้าชื่อซูเฉิน” เด็กหนุ่มรีบพูดขึ้น

“มันมีนามว่าซูเฉิน !” ชายชราเคราขาวกล่าวกับปีศาจควันที่โผล่ออกมาจากหนังสือหนังสัตว์

ทันใดนั้นกลุ่มควันก็ได้แยกออกเป็น 2 สายบาง ๆ ไหลเข้าไปทางจมูกของซูเฉิน

ซูเฉินไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าจะมันจะเป็นเช่นนี้ เขาไอออกมาซ้ำ ๆ ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าควันนั้นมันไม่ได้ทำให้เขาสำลัก เพราะหลังจากเข้าสู่ร่างกายแล้วมันก็หายไปในทันที

“เอาล่ะ มันจำเจ้าได้แล้ว”

ฉือไคฮวงดึงหินต้นกำเนิดออกมาและโยนเข้าไปในปากของกลุ่มควัน

ซูเฉินเห็นอย่างชัดเจนว่ามันคือหินต้นกำเนิดระดับกลาง

จำเป็นต้องใช้หินต้นกำเนิดระดับกลางค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเลย ? นี่มันการลงทะเบียนอะไรกัน ?

ซูเฉินไม่เข้าใจ เขามองไปที่ฉือไคฮวง ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระอะไรมากมาย และกล่าวแค่ว่า “ไปกันเถอะ”

ชายชราเคราขาวเฝ้ามองฉือไคฮวงเดินจากไปด้วยความงุนงง แล้วจู่ ๆ ก็ราวกับว่าเขาเพิ่งนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะเริ่มรื้อดูโต๊ะทำงานที่รกของเขา “อยู่ไหนกัน มันอยู่ไหนกัน ? เวรเอ้ย ข้าเอามันไปไว้ที่ไหนนะ … โอ้ อยู่ตรงนี้นี่เอง”

เขาดึงสร้อยข้อมือสีดำเหมือนน้ำหมึกออกมาจากใต้โต๊ะและใช้นิ้วเคาะมัน สร้อยข้อมือเริ่มส่องแสงแปลก ๆ จากนั้นชายชราเคราขาวก็ตะโกนใส่สร้อยข้อมือ “ฉือไคฮวงรับศิษย์แล้ว !”

ระลอกคลื่นพลังต้นกำเนิดที่มองไม่เห็นเริ่มกระจายออกจากสร้อยข้อมือไปทุกที่ อาจารย์เกือบทุกคนในสถาบันมังกรซ่อนเร้นรู้สึกได้ถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดจากสร้อยข้อมือ ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในหอตำรา ห้องเรียน หอสืบทอดทักษะหรือศาลาปรับแต่ง ทั่วทุกมุมของสถาบัน พวกเขาทั้งหมดเปิดสร้อยข้อมือเพื่อฟังข้อความของชายชราเคราขาว

“ฉือไคฮวงรับศิษย์แล้ว !”

ทุกคนหยุดชะงักแข็งค้างไปในเวลาเดียวกันทันที

ในชั่วพริบตานั้น เหล่าอาจารย์ทำท่าทางราวกับว่าพวกเขาถูกโจมตีด้วยทักษะต้นกำเนิดหยุดเวลาที่มีพลังทำลายล้างสูง แช่แข็งพวกเขาเอาไว้คาที่