ภาคที่ 2 บทที่ 21 การทดสอบ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 21 การทดสอบ

 

 

หลังจากที่กลับออกมาจากหอคอย ซูเฉินก็ไม่สามารถทนเก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้อีกต่อไป “ท่านอาจารย์ ควันเมื่อครู่นั่นมันคืออะไรกัน ?”

 

 

เนื่องจากฉือไคฮวงได้ยอมรับซูเฉินเป็นศิษย์แล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปเขาจึงสามารถเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ได้อย่างเป็นทางการ

 

 

“นั่นคือมารฝัน มันมาจากแดนฝันลวงตาและสามารถพาเจ้าเข้าสู่ข่ายฝันได้” ฉือไคฮวงตอบ

 

 

แดนฝันลวงตาเป็นโลกใบเล็กที่ติดอยู่กับโลกต้นกำเนิด

 

 

โลกต้นกำเนิดเป็นโลกหลัก และมีโลกเล็ก ๆ มากมายที่ติดอยู่กับมันเหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ โลกขนาดเล็กเหล่านี้มีอยู่มากมายหลากหลายชื่อ อาทิ เรือเหาะ โลกใบเล็ก พื้นที่แปลกใหม่ในช่องว่าง เป็นต้น มนุษย์มักเรียกพวกเขาต่างกันไปตามแต่สภาพแวดล้อมของแต่ละที่

 

 

“ข่ายฝัน ? มันคืออะไร ?”

 

 

“มันเป็นข่ายจิตวิญญาณที่ถูกถักทอขึ้นโดยเจ้าแห่งแดนฝันลวงตา เชื่อมต่อไปทั่วทุกอาณาจักร และมารฝันนับไม่ถ้วนมีหน้าที่ดูแลเจ้าสิ่งนี้”

 

 

“มันไว้ใช้ทำอะไร ?”

 

 

“มันมีประโยชน์อย่างมาก เช่น มันสามารถช่วยให้เจ้าติดต่อสื่อสารและถ่ายโอนข้อมูลให้กับผู้อื่นในข่ายจิตวิญญาณได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อบอกความเป็นอยู่ของเจ้า หากวันหนึ่งเจ้าได้ตายลงไป ข่ายฝันจะเป็นคนแรกที่รับรู้ถึงเรื่องนี้และแจ้งให้ผู้อื่นทราบได้ หรือหากในอนาคตเจ้าหลงไปติดอยู่ที่ไหนสักแห่ง เจ้าก็สามารถใช้มันแจ้งที่อยู่ของเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือได้”

 

 

“เจ้ายังสามารถซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนข้อมูลหรือการค้นพบที่มีค่าบางอย่างได้ กล่าวโดยย่อก็คือมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายนัก แต่ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะลงทะเบียนกับข่ายฝันไป จึงยังไม่สามารถใช้งานส่วนต่าง ๆ ได้มากนัก เมื่อระดับสิทธิพิเศษของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็จะใช้งานส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น แต่มันยังไม่ใช่เรื่องที่จะเจ้าต้องกังวลไปในตอนนี้”

 

 

“ข้าต้องใช้สิทธิพิเศษระดับใดในการเข้าถึงข่ายฝัน ?”

 

 

“แค่ระดับ 7 ก็เพียงพอแล้ว”

 

 

ระดับ 7 เพื่อเข้าถึงข่ายฝัน ? ช่างฟังดูห่างไกลเหลือเกิน

 

 

ปัจจุบันระดับสิทธิ์ของซูเฉินอยู่ที่ระดับ 8 เท่านั้น เขายังมีคะแนนอุทิศไม่เพียงพอที่จะยกระดับ ดังนั้นจึงทำได้แค่รอ

 

 

ฉือไคฮวงได้พาซูเฉินไปยังหอคอยหินอีกแห่ง

 

 

“นี่คือหอพลังต้นกำเนิดของข้า และในฐานะศิษย์ของข้า เจ้าสามารถมาศึกษาอยู่ที่นี่ได้”

 

 

หอพลังต้นกำเนิดเป็นสิ่งก่อสร้างพิเศษที่มักจะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับสูง และด้วยหอพลังต้นกำเนิดนี้ ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจึงสามารถรวบรวมพลังต้นกำเนิดเพื่อทำการทดลองค้นคว้าต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้หอพลังต้นกำเนิดเหล่านี้ยังเป็นอาคารที่มีความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลังอย่างมากอีกด้วย

 

 

หอคอยที่อยู่ตรงหน้าซูเฉินคือหอพลังต้นกำเนิดของฉือไคฮวงและเป็นสถานที่ที่เขาใช้อาศัยอยู่ตามปกติ ส่วนกระท่อมหินใกล้ทะเลสาบหลังนั้น เป็นเพียงสถานที่พักชั่วคราวเพื่อความสะดวกในยามที่เขาต้องทำงานข้างนอกเท่านั้น

 

 

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านอาจารย์ !” ซูเฉินตอบอย่างเคารพ “ อาจารย์ ตอนนี้ข้าควรจะทำอะไรต่อดี ?”

 

 

“ตอนนี้ ?” ฉือไคฮวงยิ้มขึ้น “นับตามปกติแล้ว ข้าก็ควรจะต้องทดสอบความสามารถของเจ้า”

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ส่วนตัวคนใหม่ถอดด้ามของเขา สัญชาตญาณของซูเฉินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

 

ทันใดนั้น เงามือขนาดใหญ่ของฉือไคฮวงก็ได้ตรงเข้าคว้าตัวเด็กหนุ่ม

 

 

ซูเฉินเปิดใช้งานก้าวย่างหมอกอสรพิษด้วยสัญชาตญาณและพยายามที่จะหลบมือนั่น เขาสับเปลี่ยนท่าเท้าไปถึง 14 แบบในชั่วพริบตาและถอยออกไปเกือบ 30 จั้ง อย่างไรก็ตามเงามือของอีกฝ่ายไม่ได้สนใจในข้อจำกัดด้านระยะห่างนี้เลยแม้แต่น้อย มันยืดตรงออกมา คว้าคอของซูเฉินเอาเบา ๆ ได้จับเขาโยนเข้าไปในหอคอย

 

 

ตูม !

 

 

ทันใดนั้นม่านแสงที่ดูน่าทึ่งปรากฏขึ้นรอบหอคอยอย่างกะทันหัน ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ถูกโยนลงไปบนผืนน้ำนิ่งสงบ ระลอกคลื่นขนาดใหญ่กระจายไปทั่วพื้นผิวของม่านพลัง

 

 

สัญญาณเตือนของหอพลังต้นกำเนิดดังขึ้น “ตรวจพบการเข้าสู่หอคอยโดยไม่ได้รับการอนุญาต ! เปิดใช้งานกลไกการป้องกัน! ปล่อยผู้คุม !”

 

 

“เวรเอ้ย !” ซูเฉินสบถสาปแช่ง ก่อนที่จะพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว

 

 

ห้องโถงขนาดใหญ่นี้ดูเหมือนจะมีรัศมีที่กว้างถึงหลายร้อยจั้งทั้งที่ตัวหอคอยทั้งหลังไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าแม้ภายนอกจะดูไม่ใหญ่ แต่ภายในกลับกว้างขวางแตกต่างกันยิ่ง ราวกับเขาเปิดประตูมาเจอโลกอีกใบ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับซูเฉินเลย เขาถูกฉือไคฮวงจับโยนเข้ามาโต้ง ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้หอคอยเชื่อว่าเขากำลังพยายามที่จะบุกเข้าไป เสียงเมื่อครู่นั้นคือสัญญาณเตือนของตัวหอคอย

 

 

พริบตาต่อมา สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดตัวหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงใหญ่

 

 

มันดูเหมือนกับก้อนเหมือกขนาดใหญ่ที่ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา แขนขาทั้ง 4 และหัวของมันค่อย ๆ โผล่ออกมา ปากบนใบหน้าที่ดูบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดของมันอ้ากว้างและกรีดร้องใส่ซูเฉิน

 

 

การกรีดร้องนั่นไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ให้ได้ยิน ทว่าเด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่าจิตใจของเขากำลังสั่นไหว ราวกับว่ามีบางสิ่งระเบิดออกอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดแล่นผ่านไปทั่วสมองของเขา

 

 

เสียงกรีดร้องของมันเป็นการโจมตีทางวิญญาณ !

 

 

ซูเฉินรู้ว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก และตัดสินใจยิงระเบิดเพลิงปักษาออกไป

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อระเบิดเพลิงปักษาพุ่งเข้าปะทะก้อนเหมือกมันกลับพุ่งผ่านไป ดูเหมือนร่างกายของเมือกไม่มีตัวตนอยู่และนกไฟก็ได้หายไปเช่นนั้น

 

 

สัตว์ประหลาดเมือกเอาแต่อ้าปากกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างฟ้าร้องที่ไร้เสียงให้ดังก้องอยู่ภายในใจของซูเฉินซ้ำแล้วซ้ำอีก ทุกครั้งที่ฟ้าร้องที่ว่าได้ระเบิดออก มันให้ความรู้สึกประดุจมีใครบางคนกำลังฉีกกระชากวิญญาณของเขา ความเจ็บปวดนี้ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง

 

 

เสียงฉือไคฮวงที่ฟังดูสบาย ๆ ได้กล่าวขึ้น “สิ่งมีชีวิตนี้มีนามว่าตัวอ่อนแห่งความเศร้า มันเติบโตขึ้นในแดนว่างเปล่า ในหอคอยนี้มันมีหน้าที่เป็นทหารยาม แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้จะไม่สูงมากนักแต่ก็ยากที่จะรับมือ”

 

 

“อย่างที่เจ้าได้เห็นไปแล้ว การโจมตีปกติไม่มีผลกับมันและเสียงร้องของมันอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของเจ้าโดยตรง โชคยังดีที่มันไม่สามารถคงสภาพร่างกายเอาไว้ได้นานนัก หลังจากผ่านไป 1 เค่อ มันก็จะหายไปเอง น่าเสียดายที่มีเพียงผู้ที่มีจิตตานุภาพและความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ไม่กลัวความยากลำบากใด ๆ เท่านั้นที่สามารถทนต่อเสียงกรีดร้องของมันได้ ดังนั้นเจ้าก็พยายามอย่างเต็มที่เข้าล่ะ”

 

 

ซูเฉินใช้มือกุมศีรษะของตนเอาไว้ในขณะที่มองไปยังตัวอ่อนแห่งความเศร้า เขากัดฟันและพูดขึ้น “ข้ามีคำถาม”

 

 

“ว่ามา”

 

 

“ข้าไม่จำเป็นจะต้องป้องกันอย่างเดียวใช่ไหม ? หากข้าฆ่ามัน ท่านจะไม่รู้สึกแย่ใช่หรือไม่ ?”

 

 

ฉือไคฮวงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ถ้ามีเจ้ามีความสามารถพอ เช่นนั้นก็ฆ่ามันเสีย”

 

 

“เยี่ยม !” ซูเฉินถอนหายใจยาว

 

 

ตัวอ่อนแห่งความเศร้าเริ่มส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอีกครั้ง

 

 

ตอนนั้นเองดวงตาของซูเฉินก็เบิกโพลงขึ้นในทันที เขาจ้องตรงไปที่ตัวอ่อนแห่งความเศร้า

 

 

นัยน์ตาวิญญาณถูกเปิดใช้งาน

 

 

ตัวอ่อนแห่งความเศร้าไม่สามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีของซูเฉินได้เลย มันเงยหน้าขึ้นและกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ใบหน้าที่ดูปวดร้าวของมันมีอยู่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ในขณะร่างกายของมันกลับเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นรูปร่างที่อธิบายไม่ได้ ก่อนที่ร่างกายที่เหมือนเมือกของมันค่อย ๆ หดตัวและเคลื่อนไหวช้าลงราวกับกำลังตอบสนองต่อความเจ็บปวด

 

 

ยังไม่ทันที่ตัวอ่อนแห่งความเศร้าจะได้ฟื้นตัว เด็กหนุ่มก็โจมตีมันซ้ำด้วยวิชาตรึงวิญญาณ

 

 

วิชาตรึงวิญญาณนี้เหมือนกับนัยน์ตาวิญญาณ พวกมันทั้งคู่เป็นทักษะต้นกำเนิดสายจิตวิญญาณ การโจมตีปกติทั่วไปไม่ได้ผลกับตัวอ่อนแห่งความเศร้า ทว่าการโจมตีทางวิญญาณกลับมีประสิทธิภาพอย่างมาก

 

 

เจ้าตัวก้อนเหมือกที่ถูกโจมตีกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งหลังจากโดนวิชาตรึงวิญญาณ ร่างกายของมันเองก็หดเล็กลงไปอีก

 

 

ซูเฉินฟันฝ่ามือของเขาออก 12 ครั้งติดต่อกัน

 

 

ดาบอัสนีบาต !

 

 

ถึงแม้ว่าดาบอัสนีบาตจะไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิดสายจิตวิญญาณ ทว่าเสียงฟ้าร้องที่เกิดขึ้นนั้นสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนสะท้อนกับเสียงร้องโหยหวนของตัวอ่อนแห่งความเศร้าได้ เสียงฟ้าร้อง 12 ครั้ง ระเบิดดังก้องไปทั่วห้องโถง ทำให้ตัวอ่อนแห่งความเศร้าดีดดิ้นและร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา มันบิดเบี้ยวและกะพริบไปมา ร่างกายที่ว่างเปล่ากระจายจุดแสงสีดำ สีเทา ออกมาจากตัวของมัน

 

 

หลังจากที่โจมตีออกไปด้วยดาบอัสนีบาตครั้งที่ 12 นัยน์ตาวิญญาณของซูเฉินก็พร้อมที่จะใช้งานอีกครั้ง

 

 

การวนลูปของโจมตีที่เริ่มด้วยนัยน์ตาวิญญาณ ตามมาด้วยวิชาตรึงวิญญาณและจบลงด้วยดาบอัสนีบาตร พุ่งตรงเข้าใส่ตัวอ่อนแห่งความเศร้าที่อยู่ในสภาพที่ไม่มีทางตอบโต้ได้แล้ว มันกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง สิ่งที่ตอบรับเสียงกรีดร้องนั้นมีเพียงการโจมตีที่ไร้ความปรานีของซูเฉิน

 

 

ตัวอ่อนแห่งความเศร้าได้เข้าสู่สถานะเกรี้ยวกราดโดยสมบูรณ์ ร่างสีดำขนาดมหึมาโผล่ออกมาจากรัศมีที่ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันในห้องโถง ราวกับว่ามันถูกบีบออกมาจากที่ไหนสักแห่ง จนโผล่ออกมาทีละน้อยจากความว่างเปล่า

 

 

“ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว” ซูเฉินหัวเราะ

 

 

ในขณะที่ร่างหนอนอ้วนพีของตัวอ่อนแห่งความเศร้ากำลังจะกลืนพื้นที่ในห้องโถงทั้งหมด เปลวไฟเล็ก ๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นมาในมือของซูเฉิน

 

 

มันคือระเบิดเพลิงปักษาที่ได้เสริมพลังให้แข็งแกร่งขึ้น

 

 

ตูม !

 

 

นกไฟตัวใหญ่กระแทกเข้ากับแมลงขนาดใหญ่

 

 

คราวนี้พี่เบิ้มตัวนี้ไม่สามารถเมินเฉยต่อการโจมตีด้วยระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉินได้เช่นก่อนหน้านี้ เปลวไฟอันทรงพลังแผดเผาไปทั่วตัวอ่อนแห่งความเศร้า ส่งผลให้มันกรีดร้องอย่างโหยหวนและโศกเศร้า

 

 

เมื่อเปลวไฟมอดดับลง สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ในห้องโถงมีเพียงแค่เศษขี้เถ้าเท่านั้น

 

 

ฉือไคฮวงตะลึงอ้าปากค้าง “เจ้า … เจ้ารู้วิธีจัดการกับมันได้อย่างไร ?”

 

 

“ข้าอ่านหนังสือมาเยอะ ท่านอาจารย์”