บทที่ 288 ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ในความมืดก่อนรุ่งสาง สายลมเอื่อยพัดผ่านทุ่งหญ้าเหอตง ทำให้ต้นหญ้าสูงเท่าเอวไหวเอนส่งเสียงซูซ่า กลบเสียงผิดแปลกที่ดังสวบๆ อยู่ในนั้น

ขณะที่ทหารม้ากลุ่มนี้มาถึงซวีเฉิง บนหอคอยก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นฉับพลัน “มีทหารศัตรูซุ่มโจมตี!”

เมื่อร่องรอยถูกเปิดโปง ทหารเจ้าก็มิได้หลบซ่อนอีกต่อไป หลี่ว์ซู่คำรามเสียงดัง “ฆ่า…”

ทหารเจ้าพุ่งทะยานออกมาจากพงหญ้า รุดไปที่ประตูเหนือด้วยความรวดเร็ว

จากนั้นห่าลูกศรก็ตกลงมาจากกำแพงเมือง เสียงแหวกว่ายผ่านอากาศดังทั่วท้องฟ้า

ไม่นานแสงอาทิตย์แรกส่องมายังพื้นโลก เสียงกลองสงครามดังขึ้น การต่อสู้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว

ค่ายทหารฉินในเหอซี

ซ่งชูอีถูกปลุกด้วยเสียงทุ้มต่ำของแตรสงคราม นางมิได้รีบร้อนลุกขึ้นจากเตียง หลับตาลงก็คล้ายได้ยินเสียงตะโกนฆ่าดังเลือนรางมาจากที่ไกลๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด หัวหน้ากองซือหม่ารายงานอยู่ด้านนอก “กั๋วเว่ย ทหารเจ้ากับอี้ฉวีเปิดศึกกันแล้วขอรับ!”

“อืม” ซ่งชูอีลุกขึ้นมาจากเตียงเชื่องช้า คลุมเสื้อแล้วเดินออกไปนอกห้อง “แม่ทัพจื่อถิงรู้เรื่องนี้แล้วกระมัง”

“รู้แล้วขอรับ” คนที่อยู่ข้างนอกตอบ

“ไปทำงานของเจ้าเถิด” ซ่งชูอีก้มหน้ารินน้ำให้ตัวเอง ในใจไร้ความดีใจที่แผนการประสบความสำเร็จ นางไม่เคยเลือกวิธีลงมือ แต่ก็ไม่เคยภาคภูมิใจเพราะเหตุนี้

“จื่อถิงขอพบกั๋วเว่ยขอรับ” เสียงดังกังวานของจื่อถิงดังขึ้นด้านนอก

“ท่านแม่ทัพเชิญเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

ทันทีที่แสงที่ประตูส่องสว่าง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำในชุดเกราะสีดำก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาพร้อมกับแสงยามรุ่งอรุณ

“ท่านแม่ทัพเชิญนั่ง” ซ่งชูอีบ้วนปาก สอดมือไว้ในแขนเสื้อพร้อมมองเขา

จื่อถิงเลือกที่นั่งแล้วนั่งลงตามใจชอบ บนใบหน้ามีความยินดีที่ซ่อนไว้ไม่อยู่ “รัฐเจ้าโจมตีอี้ฉวีกะทันหันตอนรุ่งสาง บัดนี้สู้กันกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว เกรงว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือกองทัพอี้ฉวีก็ถูกทำลายล้างทั้งหมดแล้วขอรับ เช่นนี้ดีที่สุด”

“ใช่แล้ว” ซ่งชูอีทอดถอนใจ

จื่อถิงเห็นว่านางไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ “กั๋วเว่ยมีเรื่องกังวล?”

“แค่เรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ ท่านแม่ทัพจื่อถิงไปเตรียมรบเถิด รัฐเว่ยไม่มีทางนิ่งเฉยแน่” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ” จื่อถิงเห็นท่าทีสงบนิ่งของซ่งชูอี รู้สึกว่าอารมณ์ของนางหดหู่เล็กน้อย ทว่าในเมื่อนางไม่เต็มใจที่จะพูดเขาก็ไม่ถามต่อ จึงลุกขึ้นและออกไปเร่งเตรียมทหารแล้ว

ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน หมุนตัวมามองแผนที่ผืนใหญ่ด้านหลัง เหม่อลอยเงียบๆ

การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาไม่นาน ข่าวสารค่อยๆ ทยอยเข้ามา กู่หานฝ่าแดดจ้ากลับมาเมื่อตอนเที่ยง

ดวงตาของซ่งชูอีมืดมน “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“สำเร็จแล้วขอรับ รวมทั้งหลี่ว์ซู่และกงซุนกู่สองคนด้วย” กู่หานกล่าวด้วยความกระชับรัดกุม

นี่มิได้อยู่เหนือความคาดหมายของซ่งชูอี ทว่าครั้นได้ยินข่าวอย่างเป็นทางการแล้ว นางยังคงหลับตาลงเพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้ “เล่ารายละเอียดมา”

“ขอรับ!” กู่หานเหลือบมองซ่งชูอี นึกว่านางทนไม่ได้กับการสังหารนักรบสองคน ทว่าการรายงานตามความจริงเป็นหน้าที่ของเขา “เปิดศึกกันตอนเช้าตรู่ ทหารเจ้าทำตามที่กั๋วเว่ยคาดไว้จริงๆ ส่งหลี่ว์ซู่นำทัพโจมตีซวีเฉิง การที่พวกเราแพร่กระจายข่าวลือในอี้ฉวีเพื่อปลุกปั่นอารมณ์ของกองทัพอี้ฉวีนั้นบรรลุผลตามที่คาดหวัง กองทัพอี้ฉวีที่ถูกปิดล้อมต่อสู้อย่างหมดหวัง และมุ่งเป้าไปที่แม่ทัพของกองทัพเจ้าอย่างเต็มที่”

นี่คือความแตกต่างระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่อ่อนแอกว่ามักจะเป็นฝ่ายเคลื่อนไหว ทว่าโดยปกติแล้วโอกาสประสบความสำเร็จไม่สูงนัก อย่างไรก็ตามมีมือธนูหลายคนในกองทัพอี้ฉวี ควบคู่ไปกับการที่ผู้อารักขาลับแห่งรัฐฉินที่คอยใช้ธนูหน้าไม้แข็งผสมโรงอย่างลับๆ สถานการณ์จึงค่อนข้างแตกต่างกัน

กู่หานกล่าวต่อ “กองทัพสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทว่ากลับสังหารหลี่ว์ซู่ไม่สำเร็จเลยสักครั้ง จนในที่สุดพวกเราก็ได้โอกาส คิดไม่ถึงว่ากงซุนกู่จะโผล่ออกมากะทันหัน บังลูกธนูให้กับหลี่ว์ซู่…ทว่าหลี่ว์ซู่ก็ตายเหมือนกัน ยิงครั้งเดียวได้นกสองตัว”

จนกระทั่งบัดนี้กู่หานก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ แม้ว่าธนูหน้าไม้แข็งจะมีกำลังกว่าธนูธรรมดาหลายเท่า ทว่าด้วยระยะห่างในตอนนั้น แทบไม่สามารถยิงคนให้ตายได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ยิงนัดเดียวได้ถึงสองศพ! เว้นแต่จะมีคนแทงอย่างแรงหลังจากที่ยิงออกไปแล้ว และคนคนนั้นหากไม่ใช่หลี่ว์ซู่ก็เป็นกงซุนกู่!

ทว่าซ่งชูอีกลับเข้าใจเป็นอย่างดี กงซุนกู่ลากหลี่ว์ซู่มาตายด้วยกัน ในใจของเขาไม่สามารถยอมรับแผนการสมคบคิดเพื่อฆ่าหลี่ว์ซู่ได้ แต่ว่าเพื่อวงศ์ตระกูลและเพื่อตำแหน่งท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว โอกาสก็อยู่ตรงหน้า เขาไม่มีทางเลือก

ดังนั้น เขาจึงลิขิตชะตากรรมด้วยชีวิต

กู่หานเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของซ่งชูอี ในใจพลันเชื่อมโยงสิ่งที่ซ่งชูอีสั่งให้เขาทำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าสาเหตุการตายของหลี่ว์ซู่และกงซุนกู่ล้วนเป็นฝีมือของคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า

กลยุทธ์เรียบง่ายแต่โหดเหี้ยม สังหารหลี่ว์ซู่และนำกงซุนกู่ไปสู่การปลิดชีพตัวเอง

นางมิได้วางแผนที่จะปลิดชีพหลี่ว์ซู่คนเดียวตั้งแต่แรกแล้ว

จู่ๆ สันหลังของกู่หานเย็นวาบ

พื้นฐานของกลยุทธ์มิได้ขึ้นอยู่ว่าสลับซับซ้อนมากเพียงใด แต่เป็นการจับจุดสำคัญและใช้มันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดมากกว่า ซ่งชูอีก็เป็นเช่นนี้ มองความต้องการของคนคนหนึ่งออก โยนเหยื่อเข้าไปอย่างเปิดเผย และให้ผู้ปรารถนาเข้ามาติดเบ็ดเอง

นี่เป็นโอกาสที่กงซุนกู่จะไม่ปฏิเสธ

“กั๋วเว่ย…มั่นใจได้อย่างไรว่ากงซุนกู่จะสละชีวิตตัวเอง?” กู่หานถามเสียงเบา

“ที่เจ้าถามเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่อาจเข้าใจคนประเภทกงซุนกู่” ซ่งชูอีฝืนยิ้ม

นางสามารถใช้วิธีมากมายทว่ากลับเลือกวิธีที่ต่ำช้าที่สุด ก็คือต้องการจะสั่นคลอนสิ่งที่กงซุนกู่ยึดเหนี่ยวในใจ บอกเขาว่า คนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างบริสุทธิ์ได้

เรื่องคุณธรรมสำหรับหลายคนแล้ว ทันทีที่สามารถก้าวข้ามเส้นในใจได้ ภาระทางจิตใจในอนาคตก็จะมีน้อยลงเรื่อยๆ ทว่ากงซุนกู่กลับไม่สามารถข้ามเส้นนั้นได้

อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่ามีกงซุนหยวน!

หากบัดนี้ทั้งตระกูลพึ่งพาการสนับสนุนจากกงซุนกู่เพียงคนเดียว บางทีต่อให้ลำบากแค่ไหนเขาก็ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ อย่างไรก็ดีเมื่อเขาคิดว่าน้องชายของตนอาจจะเหมาะสมที่จะแบกรับหน้าที่นี้มากกว่า ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

คนเราก็เป็นเช่นนี้ ขณะที่เผชิญกับสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ครั้นมีทางเลือกก็จะซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเอง

ซ่งชูอีไม่เคยกล่าวสิ่งเหล่านี้ หากจี๋อวี่รู้เรื่องนี้ก็จะต้องเข้าใจการตัดสินใจของกงซุนกู่อย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน

การต่อสู้ปิดฉากลง ทหารอี้ฉวีไม่ถึงสามหมื่นคนหลบหนีไปยังนครหลีสือเพื่อขอใช้เส้นทาง ทว่ากลับถูกทหารฉินยิงตายทั้งหมด

ศึกในซวีเฉิงครั้งนี้สั่นสะเทือนรัฐต่างๆ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดแต่เป็นเพราะรัฐเจ้าสูญเสียแม่ทัพผู้เก่งกาจไปถึงสองนายในสงครามเล็กๆ นี้! หนึ่งในนั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองทัพทั้งหมด! นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอย่างแท้จริง

กองทัพใหญ่ไม่สามารถไร้ผู้นำ ไม่กี่วันต่อมา เจ้าโหวก็แต่งตั้งให้กงซุนหยวนเป็นแม่ทัพ สั่งการกองทัพใหญ่

ซ่งชูอีได้ยินข่าวนี้ขณะที่กำลังมองพระอาทิตย์สีแดงฉาน พึมพำว่า “นี่ก็นับว่าเป็นความสมปรารถนากระมัง!”

พูดจบนางก็หัวเราะเยาะกับตัวเอง เหตุใดต้องเอาสิ่งนี้มาปลอบใจตัวเองด้วย!