วันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีเดินทางจากเหอซีไปยังนครหลีสือ
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงเจิดจ้า เมื่อซ่งชูอีเห็นชายหนุ่มผู้กล้าในชุดเกราะสีดำหน้าประตูเมืองยิ้มให้นาง หัวใจก็ค่อยๆ อ่อนลง
“หวยจิน” เจ้าอี่โหลวขี่ม้าเข้ามา ก้มตัวมองเข้าไปในรถ
เขาเอียงตัว บนร่างกายยังคงมีกลิ่นความอาฆาตที่ยังคงไม่จางหายไปไหน ทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มสดใส สองอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนี้หล่อหลอมกันอย่างลงตัวบนร่างของเขา
“มองอะไร เข้ามา” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
เจ้าอี่โหลวพลิกตัวลงจากม้า เลิกม่านขึ้นแล้วเข้าไปในรถ ลมหายใจที่เจือปนความร้อนทั่วร่างกายทำให้อากาศอุดอู้ทันควัน
“เจ้าตามมาเพราะว่าเป็นห่วงข้ารึ?” เจ้าอี่โหลวดวงตาเป็นประกาย
ซ่งชูอีเอนตัวพิงข้างโต๊ะ เลิกคิ้วเหล่ตามองเขา “เจ้าคิดว่าข้าชอบทำร้ายตัวเองรึ?”
หากไม่ใช่เพราะเขา นางจะมีความจำเป็นต้องถ่อร่างกายที่บาดเจ็บมาจนถึงเหอซีด้วยหรือ? หากไม่ใช่เพราะขาดนางซ่งชูอี สงครามนี้ก็ไม่ชนะหรอกนะ!
เจ้าอี่โหลวเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูด หน้าตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“แม่ทัพหลีสือประหลาดใจกับการรับหน้าที่รักษาการณ์ของเจ้าหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“แน่อยู่แล้ว ทว่าข้าไม่สน” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
ท่าทีของเจ้าอี่โหลวเช่นนี้จะต้องดูหยิ่งยโสไร้เหตุผลในสายตาผู้อื่นเป็นแน่ แต่ซ่งชูอีรู้ว่าเขาไม่สนจริงๆ จะปกป้องหลีสือได้หรือไม่ ตำแหน่งสูงต่ำเท่าใด หรือความคิดของคนอื่นจะเป็นอย่างไรล้วนไม่มีนัยสำคัญสำหรับเขา
ซ่งชูอียื่นมือดีดหน้าผากที่สะอาดใสของเขา กล่าวอย่างหัวเสีย “ในฐานะแม่ทัพฉินก็ต้องอุทิศตนในหน้าที่ เจ้าไม่ใส่ใจเช่นนี้ ก็รีบกลับบ้านมาเสีย ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง จะได้ไม่ต้องตามก้นเจ้าเพื่อเก็บกวาดตามหลังตั้งแต่เช้าจรดเย็น”
เจ้าอี่โหลวไม่ได้พูดต่อ ยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “เจ้าเดินทางไกล บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?”
ครั้นเอ่ยถึงบาดแผล บรรยากาศก็อึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง “หายแล้ว”
เจ้าอี่โหลวโน้มตัวไปกุมมือของนาง การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างกะทันหันและไม่มีความอบอุ่นเลย ทว่าซ่งชูอีมองติ่งหูแดงก่ำของเขา ไม่ได้จงใจเย้าเขาเล่นตามปกติ เพียงแต่กุมมือเขากลับ
รอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากของเจ้าอี่โหลว
พวกเขาไม่ใคร่เข้าหากันด้วยความสงบและอ่อนโยนเช่นนี้และไม่เคยกล่าวคำสาบานรักนิจนิรันดร์อันซาบซึ้ง ทว่าในตอนนี้ มันธรรมดาแต่กลับมีความหมาย
เหอตงหลีสือและที่ราบเหอซีมีเพียงแม่น้ำสายหนึ่งกั้นกลาง ทว่าทิวทัศน์ไม่เหมือนกันเท่าไรนัก บนพื้นดินกว้างใหญ่ มีต้นหญ้างอกยาวเพียงคืบ นกอินทรีโผบินอยู่บนท้องนภาสูง เป็นทัศนียภาพที่กว้างใหญ่ไพศาล
หลีสือสร้างเมืองจากพื้นที่ราบ กำแพงหินที่สูงสองจั้งดูสูงตระหง่านเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนกลับมาถึงค่าย แม่ทัพผู้รักษาการณ์มารออยู่ที่หน้าประตูค่ายแล้ว
แม่ทัพรักษาการณ์หลีสือคือหานหู่ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของแม่ทัพจื่อถิงแห่งเหอซี แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชา แต่โดยปกติแล้วจื่อถิงจะไม่เข้ามายุ่งกิจการทางทหารของหลีสือ
หานหู่ค่อนข้างมีความขัดแย้งกับการที่เจ้าอี่โหลวรักษาการแทนจื่อถิงในครั้งนี้ ทว่าเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่อิ๋งซื่อไว้ใจมากที่สุด จุดแข็งที่ใหญ่ที่สุดคือความเข้มงวดและการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข มิฉะนั้นคงไม่มีทางกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจนี้ลงไปได้
“ข้าน้อยหานหู่คำนับกั๋วเว่ย!”
ซ่งชูอีมองไปตามเสียง ก็เห็นชายรูปร่างกำยำวัยสี่สิบกว่าๆ คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูค่าย ใบหน้าดำคล้ำ ขมับสองข้างมีหงอกแซม หน้าตาไม่ดี ทว่าบุคลิกแข็งแกร่งของเขาทำให้ดูโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
“แม่ทัพหานไม่ต้องมากพิธี” ซ่งชูอีพยักหน้า
สายตาของหานหู่เปลี่ยนจากซ่งชูอีไปที่เจ้าอี่โหลวและละสายตาโดยไม่ได้หยุดมอง “กั๋วเว่ยเชิญ”
ทุกคนเดินเข้าไปในค่าย หานหู่สั่งให้คนนำเอกสารกิจการทหารที่จัดระเบียบแล้วมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่คือค่าใช้จ่ายเสบียงและอาวุธหนักของหลีสือในรอบห้าปีนี้รวมถึงการเลื่อนตำแหน่ง ลดตำแหน่ง และการปลดประจำการของทหาร”
สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในอำนาจกำกับดูแลของกั๋วเว่ย
ซ่งชูอีพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับมิได้คุยถึงเรื่องกิจการทางทหารแต่เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “คำนวณคร่าวๆ แล้ว แม่ทัพหานไม่ได้กลับบ้านมาสิบเจ็ดปีแล้วกระมัง?”
หานหู่นิ่งไป หลังจากได้สติกลับมาแล้วก็อดที่จะรู้สึกอึดอัดมิได้ “บัดนี้สิบเจ็ดปีกับเก้าเดือนแล้วขอรับ”
เขาเป็นทหารเมื่ออายุสิบสี่ เคยเข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่ระหว่างฉินเว่ยถึงหกครั้ง เป็นผู้บังคับกองพันเมื่ออายุสิบเจ็ด ไปรักษาการณ์ที่ดินแดนระหว่างรัฐฉินและอี้ฉวี ฉินและอี้ฉวีมีสงครามยิบย่อยนับครั้งไม่ถ้วนทว่ามีสงครามใหญ่น้อยมาก ในช่วงสิบปีนั้นสามารถกลับไปที่เสียนหยางได้เพียงครั้งคราว
ต่อมารัฐฉินยึดครองหลีสือ แม่ทัพใหญ่จากไปทีละคน เขาจึงถูกฉินเซี่ยวกงย้ายมารักษาการณ์อยู่ที่นี่ หลังจากจวินองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ค่อนข้างเห็นความสำคัญของเขาอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปๆ มาๆ ระหว่างสองที่ ผ่านองค์จวินไปสองรัชกาล เขาไม่เคยกลับเสียนหยางเป็นเวลาสิบเจ็ดปี ตามคำพูดของเขา เขาแต่งภรรยาคนหนึ่ง ตลอดยี่สิบปีมานี้นับรวมๆ กันแล้วนอนด้วยกันไม่ถึงสามเดือน หากไม่ใช่เพราะภรรยาตั้งภรรค์ตอนที่เขายังอยู่ในเสียนหยาง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะมีทายาทหรือไม่
สองเดือนก่อนได้ยินว่าลูกชายมีลูกคนแรกแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นท่านปู่แล้ว ทว่าเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาลูกชายของตัวเองเป็นอย่างไรนับประสาอะไรกับหลานชายของเขา
ความเศร้าโศกผ่านเข้ามาในหัวใจ ทว่าหานหู่ก็ยังต่อสู้ในสนามรบมากว่าสามสิบปี มีจิตใจตั้งมั่นเป็นพิเศษ เขาดึงสติกลับมาในแทบจะทันที ขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรบางอย่างทว่าก็ได้ยินซ่งชูอีเอ่ยว่า “ลำบากท่านแม่ทัพแล้ว”
หานหู่รู้สึกประหลาดใจ เหตุใดกั๋วเว่ยจึงเอ่ยเรื่องเหล่านี้กับเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้?
“ทุกท่านไปปฏิบัติหน้าที่เถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านแม่ทัพหาน” ซ่งชูอีกล่าว
ทุกคนตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วถอยออกไปตามลำดับ
เจ้าอี่โหลวก็ลุกขึ้นจากไปเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพหานเป็นผู้มีความสามารถทางทหารที่หาได้ยากยิ่งในรอบสิบปี รักษาการณ์ให้หลีสือแคล้วคลาดปลอดภัย ทั้งยังทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าต่อไปท่านแม่ทัพจะตัดสินใจที่จะเกษียณอายุหรือรับใช้บ้านเมืองจนถึงที่สุด ต้าฉินจะไม่เพิกเฉยต่อท่านเลย” ซ่งชูอีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ทว่าบัดนี้ต้าฉินขยายอาณาเขต แม่ทัพขาดแคลน ฝ่าบาทรู้ว่าท่านแม่ทัพ
จื่อถิงมีหลักการสูงส่ง แม่ทัพหานมีความแน่วแน่ ทั้งยังเห็นว่าแม่ทัพเจ้ามีความกล้าหาญ ตั้งใจจะฝึกฝนเขา ในอนาคตจะได้มอบหมายให้ควบคุมปาสู่”
ครั้นได้ยินดังนี้ หานหู่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย บัดนี้เขาใกล้ถึงวัยอันควรแล้วก็มิได้มีกะใจที่จะแก่งแย่งชิงดีอีก เพียงคิดว่า
จื่อถิงผู้มองโลกในแง่ดีมาตลอดถูกคนอื่นเข้ามาแทนที่ได้อย่างง่ายดาย ตนทำงานรับใช้ต้าฉินมานานหลายสิบปีเหมือนรับใช้แค่วันเดียว ท้ายที่สุดแล้วก็ยังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย ในใจจึงรู้สึกโมโห ทั้งยังมีความรู้สึกโศกเศร้าที่คนเก่าถูกแทนที่โดยคนใหม่ แต่กลับไม่ได้คิดในมุมอื่นเลย
“แม่ทัพเจ้าอยู่ในสถานะแม่ทัพเหอซี แต่แท้จริงแล้วเป็นนักเรียนของเหล่านายพลทุกท่าน สงครามระหว่างฉินฉู่ก็บีบเข้ามา หวังว่าท่านแม่ทัพหานจะชี้แนะให้มาก” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ คำนับยาวนาน “หวยจินขอขอบคุณแทนต้าฉินแล้ว”
ซ่งชูอีหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งกล่าวเพียงเรื่องส่วนรวมมิใช่เรื่องส่วนตัว นี่คือทัศนคติที่จื่อถิงมีต่อนาง เพียงพริบตาเดียวนางก็ใช้มันกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
หานหู่รีบคำรับกลับ “กั๋วเว่ยกล่าวเกินไปแล้ว! ข้าน้อยจะช่วยเหลือแม่ทัพเจ้าอย่างสุดความสามารถ”
หลังกล่าวจบ ปมในใจของหานหู่ก็คลี่คลายแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมองคนเก่ง การยิงสังหารในอี้ฉวีคราวนี้ ข้าน้อยก็มองออกว่าแม้ท่านแม่ทัพเจ้าอายุยังน้อยทว่ากลับมีพรสวรรค์ในทางทหาร”
“หมายความว่าอย่างไร?” ซ่งชูอีเห็นสีหน้าของเขาจริงจัง ดูไม่เหมือนเป็นเพียงคำพูดยกย่อง
“อี้ฉวีมีทหารม้าเพียงสามหมื่นนาย ทั้งยังพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้ว สถานการณ์อันน่าเศร้า แม้แต่ข้าน้อยเห็นแล้วก็ยังอดสงสารมิได้ ทว่าแม่ทัพเจ้ากลับยิงสังหารโดยไม่ลังเล มีความเด็ดเดี่ยวของผู้นำทัพ” หานหู่กล่าว
ซ่งชูอีสามารถจินตนาการฉากนั้นได้ สำหรับทหารที่ต่อสู้ในสนามรบนั้น ครั้นเผชิญหน้ากับศัตรูผู้โหดเหี้ยม หลังจากการต่อสู้อันโหดร้ายแม้จะลำบากทว่าไม่มีความรู้สึกผิดในใจ อย่างไรก็ดีการยิงสังหารผู้อ่อนแอที่ยอมจำนนเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นกลับตรงกันข้าม แม้ลงมือได้อย่างง่ายดายทว่าจิตใจต้องเด็ดเดี่ยวยิ่ง