หลังจากสงครามระหว่างรัฐเว่ยและอี้ฉวีปิดฉากลงแล้ว ทันใดนั้นกองทัพรัฐเว่ยที่พร้อมปฏิบัติการก็ยุติการโจมตี ข้อหนึ่งเป็นเพราะรัฐเจ้าสูญเสียแม่ทัพถึงสองนาย จึงลังเลที่จะเข้าโจมตีหลีสืออีกครั้ง ประการที่สอง รัฐเว่ยสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นแผนการของรัฐฉิน กังวลว่ากองทัพของตนจะติดกับดักโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
รัฐเว่ยหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว และเริ่มสืบสาเหตุการตายของกงซุนกู่กับหลี่ว์ซู่อย่างลับๆ รวมถึงจัดระเบียบภายในกองทัพด้วย
ความลังเลเพียงเจ็ดแปดวันก็เพียงพอให้ทหารฉินจัดวางกำลังป้องกันแล้ว ทั้งยังทำให้รัฐฉินสามารถสงบความวุ่นวายของอี้ฉวีที่อยู่หลังบ้านได้อย่างใจเย็นมากขึ้น
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นธูป กลิ่นหอมผ่อนคลายจางๆ นั้นซึมซาบเข้าไปในหัวใจ ซ่งชูอีนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ถือเอกสารไผ่ม้วนหนึ่งอยู่ในมือ ก้มหน้าอ่านอย่างละเอียด ส่วนกู่หานนั่งรออยู่ด้านซ้ายเงียบๆ
นี่คือสารที่ส่งมาจากรัฐเว่ย บัดนี้กงซุนเหยี่ยนกำลังง่วนอยู่กับกลยุทธ์เหอจ้ง ต้องติดต่อกับหลายๆ รัฐ เวลาส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ในต้าเหลียงและเถียนซวีก็ออกมาจากรัฐเว่ยแล้ว กลยุทธ์เหอจ้งก่อให้เกิดความโกลาหล รัฐเว่ยในฐานะที่เป็นคนต้นคิด ความสนใจอันทรงพลังส่วนใหญ่จึงอยู่ที่สิ่งนี้ซึ่งเป็นผลดีต่อสวีจ่างหนิง
สวีจ่างหนิงผู้นี้มีจุดแข็งอย่างหนึ่งซึ่งก็คือการหยิบยืมหัวข้อมาแสดงความคิดเห็นของตน นึกถึงตอนนั้นเขามิได้เสนอข้อโต้แย้งที่ดีที่สุดทว่าก็ยังสามารถปลุกใจผู้คนได้ด้วยคำพูด บัดนี้มีข้อโต้แย้งของซ่งชูอีมาเป็นพื้นฐานแล้ว ก็ยิ่งแสดงความคิดเห็นด้วยรายละเอียดที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม
หลังจากที่เขาเข้ารัฐเว่ยแล้วทุกอย่างก็ราบรื่นยิ่ง เริ่มต้นด้วยการแสดงข้อโต้แย้งในชมรมป๋ออี้ที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเว่ย ผ่านไปไม่กี่วันก็แสดงความเห็นทางการเมืองในโรงสุราอีก ถ้อยคำที่น่าชมเชยเช่นนี้ หากเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขจะต้องเป็นที่สนใจอย่างแน่นอน ทว่าท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่แห่งกลยุทธ์เหอจ้งนี้ แรงกระเพื่อมที่จะทำให้เขาดูโดดเด่นกลับถูกกดไว้ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ควรสังเกตเห็นก็ยังคงสังเกตเห็นเข้าแล้ว
เพื่อแสวงหาผู้มีความสามารถ เว่ยอ๋องย่อมมีสายลับซ่อนตัวอยู่ในสถานที่แสดงสุนทรพจน์ใหญ่ๆ หลายแห่ง ทันทีที่มีการแสดงความเห็นอันโดดเด่นก็จะถูกนำเสนอเข้ามาในพระราชวังอย่างรวดเร็ว โดยมีหลางจงคัดเลือกก่อน จากนั้นจึงให้
เว่ยอ๋องทรงทอดพระเนตร
ทฤษฎีความเห็นจะถูกรวบรวม จากนั้นก็จะถูกแบ่งไปให้หลางจงฝ่ายซ้ายและขวา ส่วนเอกสารของสวีจ่างหนิงนั้นอยู่ในมือของหมิ่นฉือพอดี
หมิ่นฉือรู้สึกว่าต่อให้สวีจ่างหนิงไม่มีพรสวรรค์ด้านการปกครอง แต่ลำพังเพียงความคิดเห็นและกลยุทธ์เหล่านี้ก็รู้ว่าเขาไม่ใช่บัณฑิตธรรมดา ดังนั้นจึงผูกแถบผ้าสีแดงแล้วนำเสนอต่อเว่ยอ๋อง
หลางจงฝ่ายซ้ายและขวาเป็นขุนนางคนสนิทที่เว่ยอ๋องไว้ใจมากที่สุด มีอำนาจในการแนะนำ หากเห็นว่ามีคนที่มีความสามารถโดดเด่นก็จะผูกเอกสารทฤษฎีความเห็นของผู้นั้นด้วยแถบผ้าสีแดง เมื่อถึงเวลาเว่ยอ๋องก็จะตั้งใจอ่าน
ซ่งชูอีรู้ว่าทฤษฎีกลยุทธ์ของตนอยู่ในมือของหมิ่นฉือแล้วอีกทั้งได้รับการแนะนำจากเขา ในใจกลับไม่รู้สึกดีใจเลย
การแก้แค้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีแต่แรกอยู่แล้ว
กู่หานเห็นนางวางเอกสารไผ่ลง ก็เอ่ยถาม “บัดนี้เว่ยอ๋องแต่งตั้งสวีจ่างหนิงเป็นต้าซั่งฟูแล้ว ทว่ายังไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาต้องการจะถามท่านว่าจะให้ดำเนินการขั้นต่อไปอย่างไร”
ซ่งชูอีมิได้ตอบ คลี่ม้วนไผ่ว่างเปล่าม้วนหนึ่ง ยกพู่กันเลียนแบบลายมือของสวีจ่างหนิง แม้ว่าจะไม่เหมือนเสียทีเดียวทว่าก็คล้ายห้าถึงหกส่วน
จดหมายระหว่างนางกับสวีจ่างหนิง ไม่เคยแนะนำเขาว่าควรทำอย่างไร สิ่งที่สวีจ่างหนิงขาดคือความสามารถในการควบคุมสถานการณ์และเวลาโดยรวม ทว่าเขามิใช่คนโง่ ทันทีที่ได้รับทฤษฎีกลยุทธ์ที่ซ่งชูอีเขียน เขาก็สามารถพิจารณาได้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร
คนเช่นสวีจ่างหนิงไม่สามารถอยู่ในอำนาจได้ แต่กลับเป็นผู้บริหารที่ดีมากคนหนึ่ง
หากซ่งชูอีมีอะไรที่ต้องการจะเสริมในระหว่างการติดต่อ ก็จะส่งผู้อารักขามืดบอกกล่าวด้วยวาจา
ซ่งชูอีวางพู่กันลง รอให้ตัวหนังสือแห้ง ม้วนเก็บแล้วส่งให้กู่หาน “ส่งจดหมายม้วนนี้ให้สวีจ่างหนิงอย่างลับๆ แล้วส่งต่อคำพูดของข้า: อย่าร้อนใจจนเกินไป หากยังยืนไม่มั่นคงแล้วต้องการปีนขึ้นไปบนท้องฟ้า ช้าเร็วก็จะตกลงมาตาย”
“ขอรับ!” กู่หานรับคำ
“อืม” ซ่งชูอีเอ่ย
หลังจากช่วงเที่ยง อากาศร้อนชวนให้สะลึมสะลือ ซ่งชูอีพยุงตัวลุกขึ้น เข้าไปงีบกลางวันบนเตียงไผ่ที่ห้องด้านใน
แม้แต่เสียงจักจั่นข้างนอกก็ขาดๆ หายๆ ซ่งชูอีมองดูต้นไม้เก่าแก่ที่มีกิ่งก้านแข็งแรงด้านนอกด้วยเปลือกตาที่หนักอึ้ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ลมเย็นพัดผ่านใบหน้า นางยังไม่ลืมตาก็รู้สึกได้ว่ามีมืออุ่นๆ ปิดตาของนาง จากนั้นนางก็ได้กลิ่นต้นเจ้าเจี่ยวบนเสื้อคลุมของคนนั้นเจือจาง
“ฝนตกแล้ว” เสียงกลมกล่อมนั้นเจือปนรอยยิ้ม
ซ่งชูอีตัวแข็งทื่อ
คนนั้นปล่อยมือ ตบๆ หน้าตักของนาง “อย่าดื้อ ลุกขึ้นมาเร็วเข้า ข้าขุดเจอเจอกล้วยไม้ประหลาดที่หลังเขาด้วย ไปดูสิ”
ซ่งชูอมิได้ลืมตา แต่กลับตอบรับไปตามความทรงจำนั้น “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าอีกรึ”
“เจ้ากล้ารึ!” คนนั้นเอ่ย
ซ่งชูอีลืมตาช้าๆ ก็เห็นเงาของคนหนึ่งที่คุ้นเคย
เสื้อคลุมแขนกว้างสีควันเทา ผมเผ้าเรียบร้อย สะอาดสดชื่น หน้าตาสดใส อ่อนโยนเหมือนแสงแดดของปลายฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูร้อน อบอุ่นแต่ไม่ร้อนแรง
สายลมอ่อนพัดม่านบางๆ สีฟ้าอ่อน เม็ดฝนสองสามเม็ดกระเซ็นอยู่บนใบหน้าของนาง
ซ่งชูอีหันหน้ามาก็เห็นต้นบ๊วยเขียวชอุ่มสองสามต้นนอกหน้าต่าง ผลบ๊วยสีเขียวขนาดเท่าไข่ไก่ที่เปื้อนหยดน้ำใสท่ามกลางใบไม้เขียวขจีนั้นน่ารักเป็นอย่างมาก
“นอนจนไม่ได้สติไปแล้วรึ?” เขายิ้มพลางยีผมของนางเบาๆ ด้วยฝ่ามือหนา
“หมิ่นจื๋อห่วน” ซ่งชูอีคำราม ทันใดนั้นก็คว้ามือของเขาแล้วกัดลงไปอย่างแรง
รสหวานของเลือดแพร่กระจายอยู่ในปากอย่างรวดเร็ว
“อือ” หมิ่นฉือเปล่งเสียงอู้อี้
การกัดของซ่งชูอีครั้งนี้ใส่ความเกลียดชังลงไปด้วย แทบจะฉีกเนื้อออกจากหลังมือของเขา แต่ในที่สุดก็ผ่อนคลาย แล้วสะบัดมือเขาไปข้างๆ ด้วยความรังเกียจ
“ฝันร้ายรึ?” ในน้ำเสียงหนักแน่นของเขา สามารถรู้สึกได้ว่าเขากำลังทนต่อความเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้
ซ่งชูอีหันมอง ก็เห็นว่าเขากำลังดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาพันบาดแผล
เขามองนางแล้วกุมมือของเนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ข้าจะพาเจ้าไปเด็ดลูกพลับ”
ดวงตาซ่งชูอีร้อนผ่าว
หมิ่นจื๋อห่วน หากทั้งหมดนี้ไม่ตรงกับแผนการในใจของเจ้าแล้วเหตุใดต้องปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ตั้งแต่แรกด้วย!
ขณะที่นางกำลังเหม่อลอยนั้นก็ถูกหมิ่นฉือแบกขึ้นหลัง
“วันนี้เป็นอะไรไป? อย่าปล่อยให้สิ่งสกปรกแปดเปื้อนเจ้าสิ!” หมิ่นฉือหันหน้าเล็กน้อยเพื่อถามนาง
พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก จมูกของนางอยู่เหนือขมับของเขา สามารถได้กลิ่นธูปหอมผ่อนคลายจางๆ
คนที่คุ้นเคยกับการใช้ความคิดเยี่ยงพวกเขามักจะนอนไม่หลับอยู่เสมอ หากไม่จุดธูปผ่อนคลายทุกคืน หมิ่นฉือก็จะนอนไม่หลับ
ข้างนอกฝนตกแรงขึ้น มือหนึ่งของหมิ่นฉือลากมือของนาง อีกมือหนึ่งถือร่มเดินเข้าสู่ม่านฝน เสียงฝนตกกระทบร่มเปาะแปะดังเข้าหูทันใด
“อย่าโกรธไปเลย” หมิ่นฉือเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะทำกล้วยไม้ตายไปอีกกี่ต้นข้าก็จะไม่พูดอะไรพล่อยๆ อีก”
ซ่งชูอีจ้องมองเหงื่อที่ไหลออกมาจากขมับของเขาโดยไม่พูดจา วางคางลงบนไหล่หนาของเขาเงียบๆ
ทันทีที่นางทำเช่นนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของหมิ่นฉือ
ไมจำเป็นต้องกล่าวอะไรมาก เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อย หมิ่นฉือก็สามารถแยกแยะอารมณ์ของนางได้ และเนื่องจากสาเหตุนี้ ต่อมาเขาจึงสามารถหลอกใช้นางโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงมากกระมัง
ซ่งชูอีไม่กล้าพูดว่าตัวเองฉลาดและมีสติปัญญามากเพียงใด ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะถอยห่างออกมาจากโลกแห่งความวุ่นวายได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นนางอยู่ในเสียนหยางมานานหลายปี ย่อมเตรียมทางเลือกนานาชนิดไว้อยู่แล้ว ภายในสถานการณ์เช่นนั้น นอกเสียว่าเป็นคนที่นางไม่ทันระวังตัว ก็ไม่มีใครสามารถต้อนนางให้สิ้นหวังได้…
“ปล่อยข้าลง” ซ่งชูอีมองกลุ่มเมฆหมอกที่ลอยอยู่กลางภูเขา จู่ๆ ก็พูดขึ้น
หมิ่นฉือหยุดเดิน วางนางลงตามที่บอก เงยหน้าขึ้นมองเส้นทางภูเขาขรุขระ “อีกประเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว ไหสุราที่ข้าบ่มไว้ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฝังอยู่ที่นั่น แม้จะบ่มไม่ได้ดีเท่าเจ้า ทว่าเป็นสุราใหม่ พวกเรา…”
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว “เอาร่มให้ข้า”
หมิ่นฉือเห็นว่าสีหน้าของนางผิดปกติก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังส่งร่มให้นาง
ซ่งชูอีกวาดตามองเลือดสีแดงที่ซึมออกมาจากผ้าไหมสีขาวบนมือนั้น หมุนตัวลงจากภูเขาไป
ฝนห่าใหญ่ทำให้เนื้อตัวหมิ่นฉือเปียกปอนทันที เขาเหม่อมองท่ามกลางหมอกฝนอันกว้างใหญ่ แผ่นหลังบอบบางที่ถือร่มสีดำค่อยๆ จากไปไกล ความเด็ดเดี่ยวนั้นทำให้หัวใจของเขาตื่นตระหนกทันใด “ชูอี!”
ลมภูเขาพัดผ่าน สายฝนพัดเข้าไปในร่มทำให้เสื้อคลุมของซ่งชูอีเปียก นางปล่อยมือปล่อยให้ร่มปลิวว่อนไปตามสายลม แล้วเร่งฝีเท้าลงจากภูเขา แขนเสื้อกว้างของเสื้อคลุมกระพือปีกอย่างเด็ดขาดและเป็นอิสระ ทว่านางกลับรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ
“หวยจิน! หวยจิน! เจ้าตื่นเร็วเข้า!”
เสียงของเจ้าอี่โหลวลอยเข้าหูฉับพลัน ซ่งชูอีตัวสั่นเทา ทันใดนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย
นางลืมตาขึ้น เห็นว่าใบหน้าของเจ้าอี่โหลวเปี่ยมไปด้วยความร้อนรน ทั้งยังมีผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดอยู่ในมือของเขา
“เจ้าเป็นอะไรไป?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ
“ไม่มีอะไร” ซ่งชูอีน้ำเสียงแหบแห้ง หลังจากสงบสติอารมณ์ก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าเจ้าอี่โหลวตาแดง กัดฟันสัมผัสริมฝีปากพร้อมเอ่ยว่า “สงสัยกัดจนปากแตก”
“แค่ปากแตกคงไม่มีเลือดเยอะเพียงนี้!” เจ้าอี่โหลวโยนผ้าเช็ดหน้าตรงหน้านาง หมุนตัวให้ท่านหมอตรวจอาการของนาง
ท่านหมอสำรวจสีหน้าของซ่งชูอีโดยละเอียด แล้วตรวจชีพจรนางครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “กั๋วเว่ยเพียงแค่ร่างกายอ่อนแอ ข้าน้อยจะไปเอายาให้กั๋วเว่ยได้บำรุงก่อน”
“รีบไป” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
“ขอรับ” ท่านหมอค้อมตัวแล้วถอยออกไป
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยถาม
ซ่งชูอีนั่งตัวตรง สายลมที่พัดมาโชยเอาความเย็นสบายมาด้วย นางหันหน้าไปมอง “ฝนตกแล้ว”
เจ้าอี่โหลวเพียงขมวดคิ้วมองนาง ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อครู่ตอนที่เขาเข้ามาเห็นว่าสีหน้าของซ่งชูอีไม่สู้ดีนัก จึงจุดธุปเพื่อผ่อนคลาย ใครจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์เลย สีหน้าของนางยิ่งแย่กว่าเดิมและเริ่มเพ้อ ในที่สุดก็กระอักเลือด
เจ้าอี่โหลวไม่เข้าใจว่าคำละเมอเหล่านั้นหมายความว่าอะไร ทว่าสามารถมั่นใจได้เลยว่านางซ่อนบางอย่างไว้ในใจ อีกทั้งเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก
จนกระทั่งวันนี้เขาถึงเข้าใจว่า แม้ซ่งชูอีจะดูมีอิสระและเลือดเย็นอยู่บ้าง แต่ที่จริงแล้วกลับซ่อนความรู้สึกอยู่ส่วนลึกในใจ
ซ่งชูอีหันมองเขา เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “มีคนหนึ่งที่ข้ารู้จักมาสิบสี่ปี พวกเราดีต่อกันมาโดยตลอด ทว่าเขากลับหักหลังข้า”
เจ้าอี่โหลวมิได้เจาะลึกลงไปในประโยคนี้ คิดว่าเป็นเพียงคู่รักตั้งแต่วัยเด็กของซ่งชูอี อดที่จะกอดนางไว้ในอ้อมแขนไม่ได้ กัดฟันเอ่ย “ลืมเขาเสีย เจ้าบอกว่าอีกยี่สิบปีต่อจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษกับข้า เจ้าจะกลับคำไม่ได้”
“อืม” ซ่งชูอีซบอยู่บนหน้าอกของเขา ทั้งรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
“ข้าไม่มีอะไรเลย เพียงแค่รอจะจับมือเจ้าลงโลงไปกับข้า เจ้าห้ามหลอกข้านะ หวยจิน” น้ำเสียงของเจ้าอี่โหลวสั่นเครือเล็กน้อย
“ได้” ซ่งชูอีตอบรับด้วยความจริงจัง
หากมีอิสระจริงก็คงไม่วางแผนที่จะแก้แค้นเช่นนี้ หากปล่อยวางได้จริงก็คงไม่มีความเกลียดชัง…ซ่งชูอีไม่คิดว่าตนเป็นคนที่ยกได้แต่วางไม่ลง ทว่านางไม่อาจให้อภัยกับเรื่องนี้ได้เลย
เพียงแต่ขณะที่ทำตามไปทีละขั้นตอนอยู่นั้น นางก็นึกถึงเรื่องอดีตขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเหตุใดกัน…