ตั้งแต่วัยสาวของซ่งชูอีจนตายในระยะเวลาสิบสี่ปี หมิ่นฉือเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในชีวิตอันสั้นนี้
เพื่อที่จะได้ครอบครองพรสวรรค์ของนาง ในวัยสามสิบเขาก็ยังไม่แต่งงาน ยินดีที่จะไม่มีทายาท ทั้งสองคนประคับประคองซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนร่วมงานที่จับมือกันยิ้มมองสายลมฤดูใบไม้ผลิ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่คุยได้ทุกเรื่อง เป็นญาติสนิทที่พึ่งพาซึ่งกันและกันมาตลอดสิบสี่ปี เป็นคนรักที่เข้าใจซึ่งกันและกัน…
ซ่งชูอีโอบกระชับแขนที่กอดเจ้าอี่โหลวแน่นขึ้นเล็กน้อย นางไม่เคยเกิดความใคร่เวลาที่อยู่กับหมิ่นฉือ มีเพียงความกิริยาอันใกล้ชิดที่เป็นธรรมชาติมากก็เท่านั้น ไม่เหมือนกับเจ้าอี่โหลวที่ต้องการจะเอื้อมมือสัมผัสส่วนลับบนตัวเขาอยู่เสมอ
คิดว่าหมิ่นฉือก็คงจะเหมือนนางกระมัง…
ซ่งชูอีเอ่ยว่า “เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่หัวใจเจ้าแผนการของข้าได้จางหายไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่หลังจากประสบปัญหาบางอย่างจึงรู้สึกว่าต้องใช้ชีวิตอย่างจริงจัง และดำเนินชีวิตตามทุกสิ่งที่สวรรค์ประทานให้”
เจ้าอี่โหลวส่งเสียงหึ เอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าจริงจังเลย!”
“พูดจาให้มันดีๆ หน่อย!” ซ่งชูอียกมือขึ้นตีเขาทีหนึ่ง “ข้าอุตส่าห์คร่ำครวญทั้งที”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าคร่ำครวญไป” เจ้าอี่โหลวปล่อยมือ มองนางพลางเอ่ย
“ไอ้คนสารเลว!” ซ่งชูอีเตะเขาทีหนึ่ง
“อย่าขยับ” เจ้าอี่โหลวคว้าตัวนาง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้นาง “เลือดเปื้อนหน้าเต็มไปหมด ไว้กลับถึงเสียนหยางแล้ว ข้าจะลาออกไปตามหาเปี่ยนเชวี่ย เชิญให้เขารักษาเจ้าอย่างละเอียด”
“เจ้าจะลาออก? เกรงว่าฝ่าบาทไม่ยอมปล่อยเจ้าแน่” ซ่งชูอีเอ่ย
สำหรับอิ๋งซื่อแล้วไม่ว่าเจ้าอี่โหลวจะเป็นคนไร้สถานะหรือว่าขุนนาง ตราบใดที่อยู่ในรัฐฉิน ตราบใดที่มีใจให้ซ่งชูอีก็ล้วนใช้ประโยชน์ได้และสามารถใช้ได้ตามต้องการ แทนที่จะให้เขาอยู่มือเปล่าจะเป็นการดีกว่าที่จะให้กุมอำนาจทางทหารไว้บ้าง เมื่อถึงเวลาที่จักรพรรดิและขุนนางต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ ก็ยังมีอำนาจที่จะริเริ่มอะไรบางอย่างได้
ดวงตาของเจ้าอี่โหลวสั่นไหว เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “เขาหึงหวงเจ้า?”
ซ่งชูอีเลิกคิ้วมองเขา รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก “ที่รัก เจ้ายิ่งอ่อนไหวขึ้นทุกทีแล้ว มันเป็นเพียงการป้องกันไว้เท่านั้น บัดนี้ข้าอยู่ในรัฐฉิน ข้อหนึ่งข้าไร้รากฐานอันเข้มแข็ง ข้อสองเพื่อควบคุมอำนาจชีวิต คนอื่นจะมีเหตุผลใดมาหึงหวงข้าเล่า? แต่เจ้าต้องรู้ไว้ว่าข้าไม่เหมือนกับจางอี๋ หากข้าต้องการทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ ลำพังกำลังของข้าเพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถทำได้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในอนาคตรากฐานของข้าในรัฐฉินจะหยั่งลึกลงเรื่อยๆ และอำนาจในมือก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที หากชาตินี้ไม่เจอเจ้าก็ช่างประไร ต่อให้ประสบความสำเร็จแม้ตัวตายข้าจะไปกลัวอะไรเล่า? แต่ตอนนี้…ต้องมีทางเลือกสำรองเพื่อป้องการสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
ครั้นได้ยินดังนี้ เจ้าอี่โหลวก็ไม่สนใจคำเรียกว่า “ที่รัก” แต่เอ่ยด้วยความดีใจว่า “ข้าล้วนเชื่อฟังเจ้า”
ตามปกติแล้ว ไม่ว่าซ่งชูอีมีแผนการใดก็จะไม่บอกกับเขาอย่างชัดเจน แม้เขาอาจจะช่วยอะไรไม่ได้ทว่าก็อยากเข้าใจเป็นอย่างมาก…นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี
“ท่านแม่ทัพ! กั๋วเว่ย!” ราวกับมีเสียงฟ้าคำรามอยู่ด้านนอก
เจ้าอี่โหลวพูดเสียงดัง “ว่ามา!”
“หานหู่ขอพบขอรับ!”
“เจ้าร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปพบเขา” เจ้าอี่โหลวกำลังจะออกไปแต่กลับถูกซ่งชูอีคว้าตัวไว้
เขาหันกลับมาและได้ยินซ่งชูอีกล่าวว่า “แม่ทัพหานเชิญท่านไปรอในห้องโถงหลักสักครู่”
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้วจ้องนาง
ซ่งชูอีลุกขึ้นจัดกระชับเสื้อผ้า หยิบเสื้อคลุมมาสวม เอ่ยเย้าว่า “ในแง่ของยศข้าสูงกว่าเจ้าสองขั้น ในแง่ของตำแหน่งข้าสูงกว่าเจ้าสองขั้น ในแง่ความรู้สึก เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตัดสินใจจะเชื่อฟังข้าทุกอย่าง ฉะนั้น ได้โปรดแม่ทัพเจ้าฟังคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข อย่าเป็นเยี่ยงไอ้สารเลวที่ผิดคำพูดคนนั้น”
เจ้าอี่โหลวเห็นซ่งชูอีก้าวออกไป กัดฟันกำหมัดชกเตียงไม้ไผ่ ทันทีที่ซัดหมัดลงไปก็ได้ยินเพียงเสียงโครมครามของเตียงไม้ไผ่ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เจ้าอี่โหลวตกใจ ใช้เท้าเขี่ยท่อนไม้ไผ่มากองรวมกัน ดึงผ้ามาคลุมปิดจากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไป
ขณะที่เขามาถึงห้องโถงหลังก็ได้ยินเสียงซ่งชูอีเอ่ยว่า “บัดนี้อาวุธอ่อนแอเกินไป กองทัพเว่ยมีหนึ่งแสนสามหมื่นนาย บวกกันกองทัพของรัฐเว่ยแล้ว หากพวกเขารวมกำลังกันโจมตี เกรงว่าจะยื้อไม่ได้แม้แต่วันเดียว”
“รัฐเจ้าจะยอมรับการชักจูงของรัฐเว่ยเพื่อโจมตีเมืองจริงหรือ?” หานหู่เอ่ยถาม
“เป็นไปได้เก้าส่วน” ซ่งชูอีเอ่ย “เมื่อไม่กี่เดือนก่อน รัฐเจ้าถูกรัฐฉีและเว่ยตัดแบ่งที่ดินไปถึงหกร้อยลี้ หกร้อยลี้ใหญ่เพียงใด? เกือบจะหนึ่งในสามของดินแดนรัฐเจ้าเลยทีเดียว ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง รัฐเว่ยใช้การคืนดินแดนสามร้อยลี้เป็นเหยื่อล่อ มีหรือที่รัฐเจ้าจะไม่ตกลง? อีกทั้งข้าให้คนไปสืบอย่างลับๆ แล้ว รัฐเจ้าออกทัพในครั้งนี้ล้วนมีรัฐเยียน หานและเว่ยสนับสนุนการเงินทางทหารด้วย”
หานหู่สบถด่า “มารดามันเถอะ มองดูความครึกครื้นแล้วยังมิวายทำเรื่องให้ใหญ่โต!”
ในฐานะรัฐพันธมิตร การให้เงินช่วยเหลือด้านเสบียงนั้นสมเหตุสมผล ทว่าทั้งสามรัฐมิได้มีจุดประสงค์ดี นั่งอยู่บนภูเขาเฝ้ามองเสือสู้กัน เพิ่มพลังให้กับฝ่ายที่อ่อนแอกว่าเพื่อให้การต่อสู้ยาวนานขึ้นและรอให้เสืออีกสองตัวบาดเจ็บ เรื่องน่าสนุกเช่นนี้เหตุใดจะไม่ทำเล่า?
“แม่ทัพเจ้าคิดว่าจะจัดวางกำลังป้องกันอย่างไร?” หานหู่มิได้ทำเกินอำนาจของตน
เจ้าอี่โหลวก้มหน้ามองดูแผนการจัดวางกำลังป้องกันของหานหู่ จมอยู่ในความคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “การจัดการกำลังป้องกันของแม่ทัพหานเข้มงวดมาก เพียงเติมกำลังอีกเท่าตัวเป็นพอ”
สีหน้าของหานหู่ผ่อนคลายเล็กน้อยราวกับว่าโล่งใจ ชื่นชมเจ้าอี่โหลวมากกว่าเดิมในใจแล้วเอ่ยทันทีว่า “ข้าน้อยจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”
ไม่ว่ากองกำลังของรัฐเจ้าและเว่ยมีมากเพียงใด ครั้นถูกจำกัดด้วยภูมิประเทศก็ไม่สามารถรวมกลุ่มมากดดันได้ และหากกองรักษาการณ์ที่หลีสือมีมากก็จะสามารถรั้งกองกำลังไว้อย่างง่ายดาย เพิ่มอีกเท่าตัวนั้นไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
หานหู่เป็นทหารที่มีประสบการณ์ มีเขาคอยเหลือเจ้าอี่โหลวจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เมื่อซ่งชูอีอธิบายผลดีผลเสียอย่างชัดเจนแล้วก็จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีกต่อไป
หานหู่ลุกขึ้นยืน ลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยความกังวลใจออกมา “กั๋วเว่ย กองกำลังของรัฐเจ้าและรัฐเว่ยมีมากเพียงนี้ กองหลังของข้านอกเหนือจากกองทัพเหอซีแล้วก็ไม่มีกองหนุนอื่นอีก หากพวกเขายังคงโจมตีหลีสือต่อไป…”
แม้จะรู้ว่ากองทัพเจ้าและเว่ยบริโภคเสบียงพัสดุทางการทหารเป็นจำนวนมาก ด้วยกำลังของทั้งสองรัฐ โดยเฉพาะรัฐเจ้านั้นไม่สามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานาน ทว่าก็ยังอดห่วงไม่ได้ เมื่อครู่ได้ซ่งชูอีกล่าวว่าพันธมิตรรัฐอื่นๆ ให้ทุนอาหารและค่าจ้างแก่รัฐเจ้า ความกังวลนี้ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
“สงครามนี้จะยุติลงเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินงานของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้ว” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความเด็ดขาด “ท่านแม่ทัพหานวางใจเถิด ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายสามารถทำลายกลยุทธ์เหอจ้งได้แน่นอน!”
“ขอรับ” หานหู่รู้เพียงวิธีนำทัพเข้าสงคราม ใส่ใจเรื่องการเคลื่อนไหวของเหล่านักวิชาการน้อยมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่เข้าใจว่าจางอี๋มีความสามารถมากเพียงใด ทว่าครั้นเห็นท่าทีที่สงบนิ่งและมั่นใจในชัยชนะของซ่งชูอีแล้ว ก็อดที่จะคลายคิ้วโล่งใจมิได้ คำนับนางและเจ้าอี่โหลว “ข้าน้อยขอลา”
ฝนตกโปรยปราย
ตะเกียงถูกจุดขึ้นในลาน ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
ซ่งชูอียกถ้วยยาที่มีขนาดประมาณใบหน้าของตนและดื่มรวดเดียวจนหมด หลังจากนางรับถ้วยชามาจากมือของทหารอารักขาเพื่อบ้วนปากแล้ว ก็ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป หันหน้าเหม่อมองเอกสารไผ่อยู่คนเดียวเป็นเวลานานก่อนที่จะลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง สายลมเย็นพัดเข้ามา หลังจากแสงไฟวูบไหวมันก็ดับลง ในห้องจมดิ่งสู่ความมืดฉับพลัน
นางต้องการจะอ้าปาก ทันใดนั้นหูก็จับเสียงแหวกว่ายผ่านอากาศได้เลือนราง มันทั้งรวดเร็วและเฉียบคม
ช่วงที่นางสูญเสียการมองเห็นก็ได้ฝึกประสาทการได้ยินจนชำนาญ ในเวลานั้นนางก้มตัวลงทันควันโดยไม่คิดมาก
ด้านหลังมีเสียงปังดังขึ้นเหมือนดาบที่เฉือนลงบนโครงหน้าต่าง
“กู่จิง!” ซ่งชูอีถือโอกาสคำรามเสียงดัง
จากนั้นมีแสงเย็นวูบวาบอยู่ข้างหลัง ดาบได้พุ่งมายังเสื้อกั๊กของซ่งชูอีแล้ว