บทที่ 292 ทำเรื่องนี้ได้แย่มาก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ดาบเล่มนั้นสัมผัสกับเสื้อคลุมของซ่งชูอีแล้วทว่ากลับถูกดาบขนาดมหึมาปัดทิ้งฉับพลัน ผู้ที่เข้ามาฉวยจังหวะก้าวเข้ามาคว้าคอเสื้อของคนชุดดำไว้ พลิกข้อมือแล้วกระแทกด้วยด้ามดาบเสียงดังอู้อี้ ซ่งชูอีสามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงแตกของกระดูกร้าว

การเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเดียวผู้บุกรุกก็ถูกควบคุมไว้ได้แล้ว

“หวยจิน เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”

แต่กลับเป็นเจ้าอี่โหลว

“ไม่เป็นไร” ซ่งชูอีกล่าว

บัดนี้ประตูถูกระแทกเปิดออก กู่จิงนำสิบกว่าคนพุ่งเข้ามา

“ท่านแม่ทัพ?” ในความมืดมองเห็นไม่ชัด ทว่าใช่ว่าทุกคนจะสามารถเคลื่อนไหวดาบมหึมาเช่นจวี้ชางได้

เจ้าอี่โหลวบันดาลโทสะกะทันหัน “พวกเจ้ามันเฮงซวย หูหนวกกันรึไง! เป็นถึงทหารอารักขาลับ แม้แต่กั๋วเว่ยก็ยังปกป้องไม่ได้ ต่อให้ขอขมาด้วยความตายก็น่าละอายนัก!”

ทุกคนล้วนเคยชินกับการที่เจ้าอี่โหลวแปลกแยกไม่สนใจผู้คน ด้วยโทสะที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง

ตะเกียงค่อยๆ สว่างขึ้น

ซ่งชูอีดับตะบันไฟ ต่อว่าเขา “ดึกๆ ดื่นๆ โวยวายอะไรกัน ข้าดูหน่อยว่าเป็นมือสังหารจากที่ใด”

ภายใต้แสงสลัวนั้นสามารถเห็นเพียงคนชุดดำรูปร่างบอบบางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

เจ้าอี่โหลวสงบสติอารมณ์ ใช้ดาบเขี่ยผ้าคลุมหน้าของผู้นั้นออก “เป็นผู้หญิง”

ซ่งชูอีหยุดจับชีพจรของนาง ยังสามารถรู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจเลือนราง “ไปเรียกท่านหมอมาช่วยชีวิตนาง”

“ขอรับ!” ผู้อารักขาลับคนหนึ่งรับคำแล้วออกไป

“กู่จิง เจ้ารู้สึกว่ารูปร่างของผู้หญิงคนนี้คุ้นตาหรือไม่?” ซ่งชูอีรู้สึกว่าวิธีการลอบทำร้ายในวันนี้เหมือนกับการซุ่มโจมตีในรัฐปามาก และเลือกลงมือหลังจากที่ดับไฟในคืนฝนตกเหมือนกัน มือสังหารที่มีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนระดับนี้หายากยิ่ง

ซ่งชูอีมองไม่เห็นใบหน้าของมือสังหารในรัฐปา เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

“คือว่า…” กู่จิงเพิ่งจะถูกเจ้าอี่โหลวตำหนิชุดใหญ่ จึงไม่กล้ากล่าวว่าตนไม่เห็นว่าส่วนเว้าส่วนโค้งของผู้หญิงนั้นแตกต่างกันตรงไหน

ความสามารถในการแยกแยะผู้หญิงของเขามีเพียงอายุ ส่วนสูงและความอ้วนผอมเท่านั้น

ซ่งชูอีเห็นว่าเขามีสีหน้าลำบากใจ ถอนหายใจเอ่ย “ช่างเถิด รอให้ฟื้นแล้วค่อยสืบสวนอย่างละเอียด”

“ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ เว่ยกั๋วได้โปรดลงโทษ!” กู่จิงคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

ผู้อารักขามืดที่อยู่ด้านหลังเขาคุกเข่าตามทันที

ซ่งชูอีนั่งลง หมุนๆ ไส้ตะเกียง “มีความผิดนั้นถูกต้อง จำไว้ก่อนเถิด แล้วไปรับโทษด้วยตัวเองที่เสียนหยาง”

กู่จิงแอบมองซ่งชูอี นางดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากราวกับไม่โมโห ทว่าการจัดวางเช่นนี้ไร้ความเมตตาโดยสิ้นเชิง การไปรับโทษที่ฝ่ายอารักขาลับนั้น การลงโทษรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมิใช่เป็นเพียงการโบยธรรมดา แต่เป็นการลงโทษประเภทที่ทรมานยิ่งทว่าไม่เจ็บทางกาย

“ขอรับ!” กู่จิงตอบรับ

ผู้อารักขาลับที่อยู่ในหน้าที่คืนนี้ล้วนหนีไม่พ้นแม้แต่คนเดียว ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “ขอรับ!”

ท่านหมอรีบเข้ามารักษามือสังหารที่นอนอยู่บนพื้น

ซ่งชูอีดูอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าเจ้าอี่โหลวยังอยู่ อดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่ยุ่งรึ?”

“เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวข้าไม่วางใจ” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

กู่จิงทนไม่ไหวแทบจะขุดหลุมฝังตัวเอง รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาทำผิดเพียงครั้งเดียวก็ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว!

ซ่งชูอีเอ่ย “เจ้าไปทำงานเถิด ทหารที่ประจำอยู่รอบทิศปล่อยให้คนเข้าออกได้อย่างไร? มือสังหารหญิงผู้นี้เข้ามาได้เพราะว่าการคุ้มกันไม่ดีไม่ใช่รึ!”

เจ้าอี่โหลวพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าดูแลตัวเองให้ดี รีบพักผ่อนเสีย”

กู่จิงเห็นว่าเจ้าอี่โหลวออกไปแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก ครั้นคิดดูอีกทีแล้ว ตนเป็นผู้ชายที่เข้าสู่วัยฉกรรจ์กลับต้องมากลัวเด็กที่ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทันใดนั้นก็ดูถูกตัวเองอยู่ในใจเล็กน้อย

“เจ้าอี่โหลวพูดจาโผงผาง อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่จิงกล่าวด้วยความชื่นชม “กั๋วเว่ยสมกับเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง มักจะทายถูกอยู่เสมอว่าข้าน้อยกำลังคิดอะไร”

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “มันเขียนอยู่บนหน้าเจ้าไม่ใช่รึไง?”

“กั๋วเว่ย” ในเวลานี้ท่านหมอลุกขึ้นยืน “แม่นางผู้นี้ได้รับบาดเจ็บรุนแรง กระดูกสองท่อนใต้อกซ้ายหักซึ่งเป็นจุดสำคัญพอดี คาดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน”

ซ่งชูอีมองใบหน้าเรียวเล็กและซีดขาวของเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างละเอียด “จิ๊ ลงมือแรงเกินไป ไม่รู้จักทะนุถนอมหยกงามบ้างเลย”

คำพูดนี้แน่นอนว่าเป็นการประชดประชัน เจ้าอี่โหลวมีดาบในมือทว่ากลับใช้หมัด เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าต้องให้มือสังหารผู้นี้มีชีวิตอยู่เพื่อบีบคำสารภาพ แต่เพราะความเกลียดชังที่เกือบจะลอบสังหารซ่งชูอีได้สำเร็จ การลงมือจึงหนักหน่วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“สามารถทำให้ฟื้นได้หรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

“ทำได้แค่ลองดู” ท่านหมอค้อมตัวเอ่ย

ซ่งชูอียกมือน้อยๆ เชิญให้เขาเริ่ม

“เป็นเด็กผู้หญิงดีๆ มาเป็นมือสังหารทำไมกัน ช่างแปลกคนเหลือเกิน” กู่จิงพึมพำ

“ในอดีตสงครามที่อู๋เยวี่ยก็มีมือสังหารหญิงแล้ว นี่มันประหลาดตรงไหน” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่จิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “มือสังหารหญิงที่กั๋วเว่ยพูดถึงคือใคร? ข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อน?”

ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ซีซือ”

“นางไม่เคยสังหารใคร!” กู่จิงกล่าวอย่างไม่เข้าใจ

“หญิงงามที่ใช้ความสวยดังดอกไม้และดวงจันทร์เป็นดาบ ลอบสังหารรัฐอู๋ นับว่าเป็นมือสังหารหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กู่จิงพยักหน้า “ไม่ใช่เพียงมือสังหาร ทั้งยังเป็นมือสังหารผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดเปรียบอีกด้วย”

แม้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่กฎเกณฑ์ทางสังคมได้รับความเสียหายอย่างหนัก ก็จะมีน้อยคนมากที่ยอมเป็นมือสังหาร ทว่ามีมือสังหารประเภทหนึ่งที่ยังคงรับใช้บ้านเมือง ไม่ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการลอบสังหารแต่เหมือนทหารเดนตายเด็กผู้หญิงคนนี้แม้จะถูกเจ้าอี่โหลวจู่โจมกะทันหัน ทว่าการที่นางสามารถปะปนเข้ามาในนครภายใต้กฎอัยการศึกของหลีสือได้อีกทั้งหาที่อยู่ของซ่งชูอีจนเจอนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นางเชี่ยวชาญมิใช่การสังหาร แต่เป็นการสืบข่าวเช่นเดียวกับกู่หาน

เพียงแต่…เหตุใดสายลับที่มาสืบข่าวเพียงคนเดียวถึงลงมือกับนางได้?

ซ่งชูอีคิดถึงเหตุผลไม่ออก จึงพักมันไว้ก่อน หยิบเอกสารไผ่ขึ้นมาอ่าน

ภายใต้การช่วยเหลือของท่านหมอ เด็กผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

กู่จิงเห็นว่านางลืมตาจึงรีบเอ่ยขึ้น “กั๋วเว่ย ตื่นแล้วขอรับ”

ซ่งชูอีวางเอกสารลง ลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างๆ เด็กผู้หญิงคนนั้น

ทันทีที่เด็กหญิงเห็นซ่งชูอี ดวงตาแดงก่ำก็จ้องนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับต้องการกลืนกินนางทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น

“สายลับของรัฐเว่ย?” ซ่งชูอีคุกเข่าลง ไล่นิ้วอยู่บนใบหน้าของนางแผ่วเบา

“เก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!” เด็กหญิงเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ น้ำเสียงอ่อนแอทว่าเยือกเย็นยิ่ง

ซ่งชูอีกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เอ่ยด้วยความนิ่งเฉยและอ่อนโยน “หากเจ้าไม่กลัวความตายแล้วข้าจะขู่เจ้าด้วยความตายไปใย? ฆ่าเจ้านั้นจำเป็นอยู่แล้ว ทว่าข้ารู้สึกว่าเจ้าเกลียดชังข้าเหลือเกิน ดังนั้นจึงให้ท่านหมอช่วยให้ฟื้นขึ้นมา คิดว่าแม้เจ้าจะฆ่าข้าไม่ตายทว่าหากได้ด่าข้าสักคำสองคำบางทีอาจจะสามารถจากไปได้อย่างสงบบ้าง…ข้าก็เป็นคนจิตใจดีเช่นนี้เสมอ ไม่ต้องซาบซึ้งหรอก”

เด็กสาวราวกับว่าถูกกระตุ้นด้วยท่าทางสงบนิ่งของนาง ทั้งดูเหมือนเกลียดชังคำพูดของนางเป็นอย่างยิ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกพี่ชายของข้าก็คงไม่สละชีวิตเปล่า! คนเลือดเย็นเยี่ยงเจ้าไม่มีทางลงเอยได้ดีแน่! ข้าจะจับตา ข้าจะคอยจับตาดูว่าเจ้าจะไม่ได้ตายดี!”

“ทหารเดนตายมีศีรษะห้อยอยู่บนเข็มขัด เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ ยากยิ่งที่จะมีความวู่วามเยี่ยงเจ้า” ซ่งชูอีหัวเราะ นั่งลงบนพื้นข้างๆ นาง ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเอ่ยว่า “ให้ข้าทายแล้วกัน หรือว่ามีคนจากรัฐเว่ยส่งให้เจ้ามาสืบข่าว แต่ผลสุดท้ายเจ้าก็ลงมือฆ่าข้าเพราะความแค้นส่วนตัว?”

ซ่งชูอีส่ายศีรษะด้วยสีหน้าโศกเศร้า “โธ่เอ๋ย เจ้าทำเรื่องนี้ได้แย่มากจริงๆ หากเจ้าสามารถสืบข่าวดีๆ กลับไปได้จริงๆ ทำให้กองทัพเจ้าเว่ยโจมตีหลีสือ ข้าก็ต้องสังเวยชีวิตคนในสนามรบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าว่าการที่เจ้านอนอยู่ที่นี่ตอนนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าโชคดีแค่ไหน!”