บทที่ 293 พบสหายเก่าโดยบังเอิญ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

มือสังหารหญิงนั้นใบหน้าซีดขาว สีสันในดวงตาค่อยๆ หายไป

ซ่งชูอีเห็นท่าทางของนางเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าตนเองทายถูก หากรัฐเว่ยส่งคนมือสังหารมาฆ่านางจริงจะรีบร้อนอย่างนี้ได้อย่างไร? ดังนั้นนางจึงคาดเดาว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการแก้แค้นส่วนตัว

“ลำพังเจ้าเพียงคนเดียวคงไม่สามารถลักลอบเข้ามาในหลีสือได้ ยังมีผู้ช่วยกระมัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถามอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

มือสังหารหญิงบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังถูกความเกรี้ยวกราดจู่โจมเพราะคำพูดของนาง แม้จะเม้มริมฝีปากแน่น ทว่าก็ยังคงมีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก

ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อก้มหน้ามองนาง ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น “หากเจ้าสามารถเดินได้ ก็จากไปเถิด”

“ถุย!” มือสังหารหญิงพ่นเลือดออกมา เอ่ยด้วยความเย็นชา “อย่าหวังว่าจะให้ข้าหลุดข่าวใดๆ ออกมา ข้าไร้ความสามารถ จะฆ่าจะแกงก็ตามสบาย”

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ในเมื่อเป็นมือสังหารแห่งรัฐเว่ย ข้าสงสัยว่าก็เป็นชุดเดียวกับที่ติดตามหมิ่นฉือในตอนนั้น เจ้าเกลียดที่ข้าฆ่ามือสังหารคนอื่นๆ ชุดเดียวกับเจ้า แก้แค้นแทนพวกเขาเช่นนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่าเจ้าให้ความสำคัญต่อคุณธรรมมากกว่าชีวิต น่านับถือยิ่งนัก เจ้าชื่อว่าอะไร?”

มือสังหารหญิงมองดูใบหน้าที่ดูธรรมดาและเฉยเมยของนาง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้รู้!”

ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน ดึงดาบออกมาจากกู่จิง จ่อไปที่คอขาวละเอียดของมือสังหารหญิง น้ำเสียงที่สงบนั้นยากที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความจริงใจ “ข้าจะทำให้เจ้าได้สมหวัง”

มือสังหารหญิงหลับตาลงรอความตาย ขนตางอนงามเปี่ยมไปด้วยความชุ่มชื้น

ดาบนี้ไร้ความกังวลใด ไม่รู้ว่าเหตุใดครั้นกู่จิงเห็นสีหน้าไร้รอยยิ้มของซ่งชูอีกับสีหน้าซีดขาวกับเด็กสาวคนนั้นแล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

ดาบนั้นคมกริบไร้ที่เปรียบ แสงดาบเย็นวูบปลิดชีวิตหนึ่งเงียบๆ โดยปราศจากความลังเล

ซ่งชูอีหมุนตัวส่งดาบให้กู่จิง กล่าวด้วยน้ำเสียงล้ำลึก “ฝังศพให้ดี”

“ขอรับ!” กู่จิงสั่งให้คนนำศพออกไปจัดการ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเลือดบนดาบจนสะอาด

“เดี๋ยวก่อน!” ซ่งชูอียืนอยู่ที่หน้าประตู เห็นทหารอารักขาลับสองนายกำลังจะยกศพออกไปก็เอ่ยกำชับว่า “ฝังศพอย่างลับๆ”

“ขอรับ!”

“กู่จิง!” ซ่งชูอีหมุนตัวมา

กู่จิงรีบเก็บดาบ เดินหน้าไปรับคำสั่ง

ซ่งชูอีเอ่ยเสียงต่ำ “ปล่อยข่าวออกไปว่ามีมือสังหารหญิงผู้หนึ่งจะสังหารกั๋วเว่ย บัดนี้ถูกจับเป็นแล้ว หาหทารอารักขาที่รูปร่างผอมบาง สวมเสื้อผ้าของมือสังหารหญิงแล้วคุมขังเอาไว้ ซุ่มโจมตีผู้สมรู้ร่วมคิดของนาง อีกด้านให้กู่หานพาผู้อารักขาลับไปสืบเรื่องการเตรียมการแนวป้องกัน”

“ขอรับ!” กู่จิงรับคำสั่งแล้วออกไป

ซ่งชูอีพิงอยู่บนลายฉลุบนหน้าต่างพร้อมมองดูสายฝนยามค่ำคืน ผู้อารักขาลับคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดรอยเลือดอยู่ด้านหลัง

อารมณ์ของนางไม่ใคร่ดีนักนับตั้งแต่ฝันเกี่ยวกับหมิ่นฉือ ถึงกระนั้นอารมณ์ของนางก็ไม่เคยสับสนวุ่นวาย เป้าหมายก็ไม่เคยไหวเอนแม้แต่น้อย เพียงแต่ความรู้สึกสิบสี่ปี เจอกันทุกเช้าเย็น เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นมากกว่ากับจวงจื่อเสียอีก นางจะสามารถกำจัดออกไปจากใจได้อย่างหมดจดได้อย่างไร?

“กั๋วเว่ย” กู่หานเข้ามา

ซ่งชูอีพยักหน้า เห็นว่าเนื้อตัวของเขาเปียกปอนเล็กน้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง “กองทัพเว่ยโจมตีแล้วรึ?”

กู่หานเอ่ยว่า “ยังขอรับ แต่พบกว่ามีนายทหารร้อยนายบนหอคอยถูกลอบสังหาร คิดว่าผู้ที่ลักลอบกข้าหลีสือมาต้องมีไม่น้อย”

“ด้วยแนวการป้องกันของหลีสือเช่นนี้ เจ้าคิดว่าต้องมีกี่คนจึงจะสามารถลอบสังหารทหารร้อยนายอย่างเงียบๆ เช่นนี้ได้” ซ่งชูอีเอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม

กู่หานเอ่ย “อย่างน้อยก็ยอดฝีมือสิบห้าคน เมื่อครู่ข้าน้อยตรวจสอบศพแล้ว เวลาการตายนั้นไม่นาน ประมาณครึ่งชั่ว

ซ่งชูอีไม่แปลกใจเลย มือสังหารหญิงไม่อาจต่อกรกับเจ้าอี่โหลวได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำ จะเข้าลับลอกเข้าสือหลีที่มีแนวป้องกันแน่นหนาตามลำพังได้อย่างไรกัน?

นางได้รับข่าวทั้งหมดที่ได้รับจากตัวมือสังหารหญิงแล้ว

“คราวก่อนข้าไม่ได้สังเกตว่าหมิ่นฉือสูญเสียผู้อารักขาไปเท่าไร ปาอ๋องใช้ทหารกองทัพเพื่อรักษาการณ์นคร คาดว่าคนกลุ่มนั้นคงเหลือไม่เท่าไร” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่หานเอ่ยว่า “ขอรับ บาดแผลบนตัวศพคราวนี้ล้วนเป็นรอยเชือดครั้งเดียวที่คอ ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไม่มีทางเทียบได้กับมือสังหารธรรมดา ดูแล้วน่าจะเป็นมือสังหารเพื่อการเลี้ยงชีพ”

“เว่ยอ๋องอันธพาลเฒ่าผู้นั้น หากจะเลี้ยงมือสังหารจำนวนหนึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ แม่ทัพเจ้ากับแม่ทัพหานรู้เรื่องแล้วกระมัง?” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่หานเอ่ย “แม่ทัพทั้งสองกำลังปรับแนวป้องกัน ส่งหน่วยสอดแนมเพื่อติดตามตัวฆาตกร ทว่า…ข้าน้อยคิดว่าการติดตามนั้นไร้ประโยชน์”

มือสังหารที่ฆ่าคนเพื่อเลี้ยงชีพไม่เพียงเก่งกาจในการลอบสังหาร ทั้งยังเก่งกาจในการอำพรางเบาะแสอีกด้วย สายสืบทั่วไปนั้นไม่มีประโยชน์เลย

ซ่งชูอีเข้สใจความหมายของกู่หาน “ส่งสายลับผู้อารักขามืดสิบคนไปช่วยเหลือ”

“ขอรับ!” กู่หานรอคำพูดนี้อยู่พอดี ผู้อารักขาลับถูกควบคุมโดยตรงโดยองค์จวิน กั๋วเว่ยมีหน้าที่จัดหาการปฏิบัติงานของผู้อารักขาลับและสามารถระดมพลได้บางส่วน นอกเหนือจากนี้ผู้อื่นที่ไม่มีราชโองการจากองค์จวินไม่สามารถใช้งานผู้อารักขาลับได้ ส่วนผู้อารักขาลับเองก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่งเดช

สายฝนค่ำคืนโปรยปราย นครหลีสือเงียบสงบเหมือนทุกครั้ง มีเพียงกองทัพลาดตระเวนที่มากกว่าปกติถึงสองเท่า

กู่หานสลับเวรยามกับกู่จิง ให้เขากลับไปปกป้องข้างกายซ่งชูอี

ราตรีนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเป็นพิเศษ ซ่งชูอีนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงครู่ใหญ่ก่อนผล็อยหลับไป

ความฝันเข้าโจมตีอีกครั้ง

ราตรีนั้นเอง บนกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยหิมะ นางดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย หมิ่นฉืออยู่ในเสื้อคลุมสีเทาควันบุหรี่และเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ คิ้วตาชัดเจนยิ่งท่ามกลางไฟสงคราม ราวกับเพียงเอื้อมมือไปก็สามารถสัมผัสถึง

ซ่งชูอีฝันว่าตนใช้กำลังทั้งหมดแทงเขา ทั้งสองคนสิ้นใจท่ามกลางเปลวเพลิงบนท้องฟ้า

“กั๋วเว่ย!” ข้างนอก กู่จิงเคาะประตูด้วยความร้อนใจ

ซ่งชูอีตื่นขึ้น เอ่ยช้าๆ “เข้ามา”

กู่จิงผลักประตูก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา ยืนประสานมือเอ่ยอยู่หน้าฉากกั้น “กองทัพเว่ยโจมตีนครแล้วขอรับ!”

“อ่อ” ซ่งชูอีลุกลงจากเตียงเชื่องช้า คว้าเสื้อมาคลุมไว้บนตัว มัดผมเป็นมวยลวกๆ เลิกผ้าม่านออกไป

กู่จิงเห็นว่านางยังคงมีท่าทางสะลึมสะลือ เอ่ยเสียงดัง “กองทัพเว่ยโจมตีนครแล้วขอรับ!”

มือที่กำลังเทน้ำของซ่งชูอีสั่น ทำให้น้ำหกกระเซ็นเต็มโต๊ะ นางวางถ้วยลงบนโต๊ะเสียงดัง “ปัง” พลางเช็ดมือบนเสื้อคลุมพลางเอียงศีรษะจ้องเขาเอ่ยว่า “นั่ง!”

กู่จิงนั่งคุกเข่าลงบนที่นั่งด้วยความเขินอาย

“เรื่องเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งชูอีเทน้ำใหม่อีกครั้ง

“เมื่อคืนทั้งคืน ไม่มีใครมาช่วยนางเลย” กู่จิงเอ่ย

หลังจากซ่งชูอีบ้วนปากแล้วก็สั่งให้คนยกชาร้อนเข้ามา ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เฝ้าต่อไป พยายามจับเป็นมาให้ได้”

“เหตุใดกั๋วเว่ยจึงมั่นใจว่ากลุ่มนั้นยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่น? ในเมื่อตอนนั้นสู่อ๋องก็ใช้กำลังหลายหมื่นนาย ไม่แน่ว่าคนที่อารักขาหมิ่นจื๋อห่วนต่างถูกฝังไว้ในดินแดนรัฐสู่แล้ว” กู่จิงคิดแทนผู้อื่น หากผู้อารักขาลับสี่สิบคนถูกกองทัพใหญ่ล้อมโจมตี การที่จะนำคนผู้อารักขาทั้งหมดออกมาได้อย่างปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งแล้ว

“ก็แค่คาดเดา มือสังหารหญิงผู้นี้ดูเหมือนสายลับมากกว่า นอกเหนือจากวิชาการต่อสู้ไม่เพียงพอที่จะอารักขาหมิ่นฉือหนีออกมาจากรัฐสู่ได้อย่างปลอดภัยแล้วยังทำงานด้วยอารมณ์ ใจร้อน อีกทั้งเกลียดข้าเข้ากระดูก ต่อให้เป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟก็เป็นการลงแรงไปมาก หากไม่มีคนยับยั้งนางไว้ ตอนที่อยู่ในรัฐสู่เกรงว่านางก็คงเสี่ยงอันตรายมาฆ่าข้าแล้ว” ซ่งชูอีจิบน้ำคำหนึ่ง เอ่ยต่อ “คนกลุ่มนั้นก็ดูไม่เหมือนผู้อารักขาที่หมิ่นฉือเลี้ยงไว้ข้างกาย ดังนั้นข้าพิจารณาดูแล้ว นอกเหนือจากหมิ่นฉือกับมือสังหารหญิงผู้นี้ อย่างน้อยก็มีคนผู้รอดชีวิตอีกคน”

ใบหน้าของกู่จิงเปี่ยมด้วยความชื่นชม “กั๋วเว่ยเทพจริงๆ”

ซ่งชูอีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ต่อให้ข้าทายถูกก็ไม่สามารถล่อให้พวกเขามาได้ คนโง่เช่นนางมีไม่มากหรอกนะ!”

แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าในน้ำเสียงของนางไม่มีความดูถูกเลยแม้แต่น้อย นางใจเย็นเสมอมา ต่อให้แก้แค้นก็จะไม่เลือกวิธีที่รนหาที่ตาย ทว่านางกลับเคารพคนเช่นนี้

เด็กหญิงคนนี้สามารถเป็นมือสังหารหรือสายสืบได้ แสดงว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ แล้วเหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นวิธีที่โง่ที่สุด? การบุกเข้ามาฆ่าอย่างโผงผางเช่นนี้ เป็นเพราะอุปนิสัยล้วนๆ!

“จับตาดูสงครามไว้ มีการเปลี่ยนแปลงให้รีบมารายงาน!” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ!” กู่จิงรับคำสั่ง

เวลายังเช้าเกินไป ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุม พาผู้อารักขาลับสองคนเดินไปรอบๆ ลาน

ท้องฟ้าส่องสว่างรำไร รอบตัวว่างเปล่าไร้ผู้คน นางเดินไปตามถนนหิน สองข้างทางมีพุ่มไม้เตี้ยๆ หรือไม่ก็ต้นไป๋ฮว่าสูงตระหง่าน ต้นบ๊วยสองสามต้นโดดเด่นท่ามกลางหมู่ไม้

ซ่งชูอีเดินเข้าไปใกล้ มองดูบ๊วยเขียวแห้งที่ห้อยกระจัดกระจายอยู่บนต้นไม้ไม่กี่ต้น เอื้อมมือเด็ดสองสามลูก

“ต้นบ๊วยนี้เปรี้ยวที่สุดแล้ว ถ้าเจ้าหนูชอบกิน ข้าผู้อาวุโสรู้ว่าต้นไหนอร่อย”

ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายชราดังขึ้นในพุ่มไม้

ผู้อารักขาลับด้านหลังซ่งชูอีเตรียมวาดดาบ

“ท่านลุง?” ซ่งชูอีเรียก

บุคคลหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ที่ส่งเสียงสวบสาบ เขาสวมเสื้อผ้าใยกัญชง เคราสีขาวรยาวเลยหน้าอก คิ้วยาวห้อยเกือบจะกลืนไปกับเครา เห็นได้ชัดว่าแก่ชรามาก หากไม่ใช่เพราะเนื้อตัวยุ่งเหยิงก็ดูเหมือนกับเทพเซียนองค์หนึ่ง!

ซ่งชูอียังเห็นหน้าของเขาไม่ชัด ก็รีบคำนับเอ่ย “คารวะท่านผู้อาวุโส”

เคารพผู้ใหญ่เอ็นดูผู้น้อย ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงเพียงใด หรือแม้แต่องค์จวินของรัฐ หากได้เห็นผู้อาวุโสเช่นนี้ล้วนต้องทำความเคารพ

“ไม่ต้องมากพิธีๆ” ชายชราหัวเราะหึหึพร้อมเอ่ย

ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น หลังจากเห็นหน้าของเขาอย่างชัดเจนแล้วก็อดที่จะตกตะลึงมิได้ “ท่านผู้อาวุโสกุ่ยกู๋จื่อ!”

“เอ๋ เจ้าหนูคนนี้รู้จักข้าด้วยรึ?” กุ่ยกู่จื่อยื่นหน้าเข้าไปสำรวจซ่งชูอีอย่างละเอียด คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่าข้ายิ่งแก่ยิ่งไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ?”

“ท่านผู้อาวุโสมีความจำเป็นเลิศ ผู้น้อยเพียงแต่พบท่านเป็นครั้งคราวเท่านั้น ท่านไม่รู้จักผู้น้อย ผู้น้อยซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน” ซ่งชูอีคำนับอีกครั้ง ในอดีตนางก็ชอยชายชราผู้นี้มาก ในเวลานี้การได้พบเขาโดยบังเอิญขจัดความเศร้าหมองในใจของนางไปจนสิ้น

กุ่ยกู๋จื่อรู้จักวิชาลึกลับ ครั้นเห็นหน้าตาซ่งชูอีไม่สามัญ จึงต้องการที่จะศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งถูกใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางดึงดูดความสนใจ ท่าทางสดใสและอบอุ่นนั้นทำให้หัวใจของเขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง “ไม่ต้องชมข้ามากดอก ตอนนี้ข้าแม้แต่ศิษย์ของตัวเองก็จำได้ไม่หมด”

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ผู้อาวุโสมีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองราวกับลูกท้อ ใครจะไปแยกออกว่าลูกท้อไหนเป็นลูกท้อไหนเล่า!”

“ฉลาดพูดเหลือเกิน ตรงใจของข้าอาวุโสพอดี” กุ่ยกู๋จื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “นึกออกแล้ว เจ้าก็คือศิษย์ของจวงจื่อ!”

“ท่านผู้อาวุโสความจำดีเลิศ” ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย นางจำได้ว่าชายชราผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความจำแย่ มิฉะนั้นคนไม่มีผู้คนมากมายเพียงนั้นที่อ้างตัวว่าเป็นศิษย์ของของเขาอย่างเปิดเผย

กุ่ยกู๋จื่อหัวเราะอย่างมีความสุข “ระยะหลังนี้ข้าผู้อาวุโสก็รับศิษย์มาคนหนึ่ง เพิ่งจะอายุสิบกว่า ชื่อว่าซูฉิน หน้าตาดีกว่าเจ้า”

ซ่งชูอีเบะปาก “หายากที่ท่านยังจำได้ว่าตัวเองรับศิษย์มา”

“พวกเราสำนักกุ๋ยกู่ ทุกคนล้วนดูดีกว่าสำนักของพวกเจ้า” กุ่ยกู๋จื่อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ที่กุ่ยกู๋จื่อกล่าวว่า “ดูดี” นั้นไม่ได้หมายถึงหน้าตาหล่อเหลาเพียงอย่างเดียว แต่คือลักษณะเฉพาะที่มีอยู่บนใบหน้า

ซ่งชูอีกล่าวด้วยความภูมิใจ “ผู้น้อยหน้าตาธรรมดา ทว่าภรรยาของผู้น้อยหน้าตาดี ทั้งฉลาด ใต้หล้านี้หาที่สองไม่ได้แล้ว”

“เช่นนั้นหากผู้อาวุโสมีเวลาจะต้องดูให้ได้” กุ่ยกู๋จื่อพูดพลางดูดริมฝีปากแห้งเหี่ยวแล้วเอ่ยว่า “ไปๆๆ ข้าผู้อาวูโสรู้ว่าแถวนี้ต้นบ๊วยต้นไหนออกลูกใหญ่ ในเมื่อเป็นคนรู้จักกัน ข้าจะให้เจ้ายืมสุราดื่ม ไว้เจ้ากลับมาคืนให้ลูกศิษย์คนไหนของข้าก็ได้”

กุ่ยกู๋จื่อชราภาพมากแล้ว ทว่าก้าวเดินกระฉับกระเฉงยิ่ง

ซ่งชูอีรีบตามมา “ท่านผู้อาวุโส ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? กำลังจะไปที่ใด?”