บทที่ 28 มันจะเกินไปแล้ว!

ชายชุดดำออกแรงต่อสู้กับซูหวานหว่านอย่างสุดความสามารถ เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีต่อกรกับนางอย่างไม่ลดละ ทว่าเด็กสาวก็สามารถหยุดยั้งการโจมตีของชายชุดดำได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางเสียเหลือเกิน

ดูเผิน ๆ แล้วเหมือนกับว่าซูหวานหว่านกำลังเล่นต่อสู้กับชายคนนี้เท่านั้น

“เอาสิฆ่าข้าเลย ฆ่าข้าซะสิ! ข้ายอมถูกฆ่าเยี่ยงนักรบเสียจะดีกว่าที่ต้องมาเสียเกียรติให้กับคนอย่างเจ้า!” ชายชุดดำล้มลงและฝืนพูดออกมาโดยที่ระหว่างพูดเลือดก็กระอักไหลออกมาจากปาก ทว่าเด็กสาวไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด นางนั่งลงเพื่อพักเหนื่อยและต่อปากต่อคำกับชายผู้นั้นต่อ “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรนะ ไหนลองพูดใหม่อีกทีสิ!”

นี่นางกำลังสบประมาทเขาอยู่งั้นหรือ?

ชายชุดดำกัดฟันกรอดจ้องไปยังซูหวานหว่านด้วยความเคียดแค้น ทันใดเขาบังเอิญไปกัดโดนยาเม็ดเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในปากจนแตก สักพักหนึ่งกลิ่นขมของมันที่ดูเหมือนจะเป็นยาพิษก็ลอยโชยแตะจมูก

ชายชุดดำเกิดอาการตื่นตระหนกเมื่อต้องพบเจอกับความตายเข้าจริง ๆ อันที่จริงเขาอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายเสียก่อน ทว่าก็ทำได้แค่คิดเพราะครู่ต่อมาเขาก็ล้มลงนอนน้ำลายฟูมปากอยู่ที่พื้น

อะไรกัน…สุดท้ายเขาก็ตายแบบโง่ ๆ ด้วยฝีมือตัวเองอย่างงั้นหรือ…

“น่าเบื่อจริง ๆ” ซูหวานหว่านบ่นด้วยท่าทางเบื่อหน่ายเมื่อคิดว่าการฝึกต่อสู้ของนางในวันนี้ต้องจบลงเพียงเพราะคู่ต่อสู้โง่กัดยาพิษในปากของตัวเองแล้วตายไปเฉย ๆ

ซูหวานหว่านหยิบตะกร้าที่แขวนไว้บนต้นไม้และเดินหันหลังจากไปโดยไม่สนใจชายชุดดำที่นอนตายอยู่เลยแม้แต่น้อย

หลังจากเดินมาได้สักพัก ซูหวานหว่านก็สังเกตเห็นหยดเลือดที่หยดอยู่ตามพื้น เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าหยดเลือดที่ค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ซูหวานหว่านรู้ได้ทันทีเลยว่าเลือดนั่นต้องเป็นของฉีเฉิงเฟิงแน่ ๆ เขาคงกำลังจะซ่อนตัวจากการไล่ล่าของชายชุดดำเมื่อครู่ ซูหวานหว่านไม่แน่ใจว่าจะมีนักฆ่าคนอื่นอยู่ในป่านี้อีกหรือไม่ ทว่าที่นางแน่ใจคือฉีเฉิงเฟิงคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย หรือเขาอาจจะโดนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว!

ซูหวานหว่านคิดไม่ตก นางควรจะช่วยฉีเฉิงเฟิงหรือไม่…

“เฮ้อ ใครขอให้ก่อนหน้านี้เขามีบุญคุณกับข้าเล่า”

ซูหวานหว่านถอนหายใจ ในที่สุดนางก็ตัดสินใจที่จะช่วยฉีเฉิงเฟิง

นางเดินตามรอยเลือดมาเรื่อย ๆ เป็นเวลากว่าหนึ่งก้านธูป ในที่สุดนางมาหยุดอยู่หน้าชายหนุ่มชุดดำที่เดินลึกเข้ามาในป่า

ชายหนุ่มตรงหน้าหรี่ตามองมาที่นางอย่างยากลำบาก สติของเขาเลือนรางลงเต็มที ใบหน้าของชายหนุ่มขาวซีด และดวงตาที่จ้องมองมาคล้ายกับดวงตาของลูกกวางที่กำลังหวาดกลัว

ซูหวานหว่านไม่เคยเห็นฉีเฉิงเฟิงอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้มาก่อนเลย นางไล่สายตาสำรวจตามร่างกายของเขาเพื่อหาบาดแผล

บางทีเขาอาจจะเป็นคุณชายที่เกิดในตระกูลร่ำรวย ด้วยแม้ว่าตอนนี้สภาพของอีกฝ่ายจะสะบักสะบอมเพียงใด มันก็ไม่อาจปิดบังรัศมีของความเป็นผู้ดีเอาไว้ได้เลย

เมื่อฉีเฉิงเฟิงเห็นว่าบุคคลตรงหน้าคือซูหวานหว่านเขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เจ้า! เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่! ที่นี่อันตรายมาก เจ้าควรจะกลับบ้านไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!”

ซูหวานหว่านไม่รู้ว่าที่ฉีเฉิงเฟิงไล่นางเป็นเพราะเขากลัวว่านางจะทำให้เขาถูกชายชุดดำพบ หรือเป็นเพราะห่วงความปลอดภัยของนาง กลัวว่านางจะเป็นอันตรายกันแน่

ซึ่งในใจซูหวานหว่านหวังให้เป็นอย่างหลังมากกว่า

“ยังไงข้าก็ต้องกลับไปอยู่ดี หากข้ากลับไปช้าหน่อยจะเป็นอะไรไป?” ซูหวานหว่านเดินตรงเข้าไปหาฉีเฉิงเฟิง

ฉีเฉิงเฟิงที่เห็นนางเดินเข้ามาใกล้ก็เอามือปิดบาดแผลไว้และพยายามถอยห่าง ทว่าร่างกายของเขาไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว จึงทำให้ชายหนุ่มตอบกลับนางอย่างไม่พอใจ “อย่าเข้ามานะ!”

เขาจะรู้หรือไม่ว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขามันแย่เพียงใด?

“หากเจ้าไม่ห้ามเลือดตั้งแต่ตอนนี้เจ้าจะตายเอานะ” ซูหวานหว่านจ้องเขาอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเอาเศษใบไม้ที่ฉีเฉิงเฟิงใช้ปกปิดบาดแผลของตนออก ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วมองนางด้วยความสงสัย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าบาดเจ็บ?”

ซูหวานหว่านชี้ไปยังรอยเลือดที่เปรอะเปรื้อนอยู่ตามพื้นหญ้าและกลอกตาใส่ชายหนุ่ม “ข้าไม่ได้ตาบอดนะและจมูกข้าก็ยังใช้การได้ดีด้วย คิดว่าข้าจะไม่ได้กลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาหรือ?”

หลังจากซูหวานหว่านพูดจบ เด็กสาวไม่รอช้าย่อตัวลงไปนั่งยอง ๆ ก่อนจะนำแขนของฉีเฉิงเฟิงขึ้นมาพาดบ่าของตนเพื่อพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้น แต่กลายเป็นฉีเฉิงเฟิงที่รู้สึกเขินอาย ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อและผงะไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่เคยพบเจอหญิงสาวหน้าไม่อายอย่างเจ้ามาก่อน!” ดูจากคำพูดแล้ว เขาคงกล่าวเพื่อแก้เขินเท่านั้นแหละ

ซูหวานหว่านที่สังเกตเห็นหูแดง ๆ จากความเขินอายของเขา ที่ตอนนี้มันลามไปยังใบหน้าจนทำให้หน้าที่ซีดขาว เหมือนมีภาพวาดของดอกไม้สีแดงสวยแต่งแต้ม ซูหวานหว่านเริ่มคาดเดาบางอย่างได้และอยากจะแกล้งชายหนุ่มขึ้นมา นางดึงมือของฉีเฉิงเฟิงขึ้นมาและใช้ขาของนางกดมืออีกข้างของชายหนุ่มเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาขยับไปไหนได้

การกระทำของเด็กสาวตรงหน้าทำให้หัวใจของฉีเฉิงเฟิงแทบจะหยุดเต้น จากนั้นหัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาก็ได้เริ่มเต้นรัวอีกครั้ง

“จะ..เจ้า เจ้าปล่อยมือนะ!” เสียงอันไพเราะราวกับเสียงดนตรีพูดขึ้นมาอย่างติดขัด

“ไม่! ข้าไม่ปล่อย!” ซูหวานหว่านไม่ยอมหยุดตามคำขอของเขา ทว่ากลับจับมือเขาไว้เหมือนเดิม

ซูหวานหว่านถกแขนเสื้อของฉีเฉิงเฟิงขึ้น เผยให้เห็นรอยบาดแผลที่แขนของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นรอยแผลจากการโดนดาบฟันสองสามแห่ง และลึกพอสมควรทั้งยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด…

เขาไม่คิดแม้แต่จะหาผ้ามาพันปิดบาดแผลของตัวเองเลยเหรอ!

ซูหวานหว่านมองบาดแผลของฉีเฉิงเฟิงอย่างทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่นางกำลังใช้ความคิดว่าต้องใช้ยาหรือสมุนไพรชนิดไหนรักษาบาดแผลของฉีเฉิงเฟิง ชายหนุ่มก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “จะ เจ้าเป็นผู้หญิงที่หน้าไม่อายเสียจริง เจ้าจะมองร่างกายของผู้ชายเช่นนี้ไม่ได้!!”

“อ้าว! ท่านว่าข้าไร้ยางอายอย่างงั้นหรือ? เหตุใดถึงมาว่าข้าเช่นนั้นกัน ร่างกายของพวกผู้ชายมันมีอะไรผิดแปลกเหรอข้าถึงมองไม่ได้?” ซูหวานหว่านตอบกลับไป

“เจ้า เจ้านี่มันไร้เหตุผลเสียจริง!!”

ซูหวานหว่านลอบมองใบหน้าที่แดงก่ำของฉีเฉิงเฟิงยิ้ม ๆ ก่อนจะยื่นหน้าของตัวเองเข้าใกล้กับใบหูของเขาและเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา

“หากไม่เช่นนั้นแล้ว…ข้าจะรับผิดชอบท่านเอง”

ลมหายใจของซูหวานหว่านพ่นรดใบหูของฉีเฉิงเฟิง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะถูกผู้หญิงหยอกล้อเช่นนี้ สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายกับที่เขาเคยเห็นในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่ชายหนุ่มกำลังเกี้ยวพาราสีหญิงสาว…

ทว่านี่…เขากำลังถูกหญิงสาวเกี้ยวพาราสี…

“เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบข้าหรอก…” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวในขณะที่สีหน้าของเขาเริ่มดูจริงจังมากขึ้น “พวกเราไม่ได้มีจุดยืนเหมือนกันเลยด้วยซ้ำ…”

ซูหวานหว่านไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการจะสื่ออะไร แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ได้อยากจะถามสิ่งใดต่อให้มากความ พลันใดสีหน้าของนางจึงเริ่มดูจริงจังมากขึ้นเช่นเดียวกัน “ข้าไม่สนใจท่านไม่ได้หรอกนะ ดูก็รู้ว่าท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า หากท่านรู้สึกละอายใจละก็เพียงแค่กลับไปเอาค่ารักษาของท่านมาให้ข้าก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อพูดจบนางมองซ้ายมองขวาและเดินไปดึงพืชต้นหนึ่งขึ้นมาจากดิน นางฉีกพืชต้นนั้นก่อนจะใช้มือบิดขยี้มันจนเริ่มมีน้ำไหลออกมาก จากนั้นเด็กสาวจึงนำมาทาบไว้บนบาดแผลของชายหนุ่ม ไม่นานนักเลือดบนบาดแผลของเขาก็หยุดไหล

ช่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ!

ผลลัพธ์ของพืชที่ซูหวานหว่านนำมาใช้เป็นที่น่าประหลาดใจเหลือเกินสำหรับฉีเฉิงเฟิง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพืชชนิดนี้สามารถห้ามเลือดจากบาดแผลได้?”

“คนที่เคยมีประสบการณ์ความเจ็บป่วยมาแล้วบ่อยครั้งย่อมรู้ดี” ซูหวานหว่านจ้องชายหนุ่มหลังจากพูดจบ ก่อนจะรีบกล่าวห้ามหลังจากสังเกตเห็นว่าเขากำลังจะขยับตัว “หยุดอยู่ตรงนั้นเสีย สภาพร่างกายของเจ้าในตอนนี้ข้าเกรงว่าวันนี้ท่านยังจะกลับบ้านไม่ได้”

นางก้มลงสำรวจบาดแผลตามร่างกายของชายหนุ่มว่ามีบาดแผลตรงไหนเพิ่มเติมอีกหรือไม่ แล้วก็พบว่ามีเลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจากต้นขาของเขา ซึ่งบริเวณนั้นน่าจะมีบาดแผลอยู่ด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้นซูหวานหว่านจึงจะลงมือฉีกชายกางเกงของเขาออกเพื่อดูบาดแผล ในขณะที่มือของนางได้เอื้อมไปแตะที่ขาของเขา ฉีเฉิงเฟิงก็พูดขัดขึ้นมาด้วยอย่างเขินอาย “เดี๋ยวก่อน เจ้าอย่าเพิ่ง…ตรงนั้นข้าจะ..ทะ..ทำเอง!”

เมื่อสังเกตเห็นว่าเขาเขินอายจนพูดไม่เป็นคำแล้ว ซูหวานหว่านก็ยอมทำตามคำขอของเขาแต่โดยดี เมื่อดูบาดแผลต่าง ๆ แล้ว เขาคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวในการหลบหนีชายชุดดำ

เด็กสาวเห็นท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของชายหนุ่มที่กำลังทำแผลให้ตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย นางใช้ขากันมือของเขาออกเพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำแผล ฉีเฉิงเฟิงมองใบหน้าหวานของซูหวานหว่าน เขาเหมือนจะต้องการให้นางแสดงสีหน้าอื่นออกมา ทว่ากลับไม่มีวี่แววว่าสีหน้าของนางจะเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวยังคงจดจ่อและใช้สมาธิอยู่กับการทำแผล ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่ฉีเฉิงเฟิงที่เห็นเช่นนั้นกลับรู้สึกผิดหวังกลาย ๆ

เมื่อเวลาผ่านไป ในตอนนี้ฟ้าก็มืดลงแล้ว ฉีเฉิงเฟิงไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน และท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องโครกครากด้วยความหิว ซูหวานหว่านจำได้ว่าไม่ไกลจากที่นี่เป็นที่ที่นางก่อไฟและย่างงูไว้ จึงตัดสินใจวิ่งไปนำเนื้องูที่เหลือจากตอนนั้นมาแบ่งให้ชายหนุ่มกิน

เนื้องูย่างถูกยัดใส่มือของชายหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนางที่บ่งบอกว่าของสิ่งนี้นั้นปลอดภัย “นี่เป็นของดี เจ้ารีบกินมันเสีย”

สิ่งนี้มันคืออะไร ชายหนุ่มมองสิ่งที่อยู่ภายในมือของตนที่มีสีเหลืองทองถูกย่างจนสุก กลิ่นของมันหอมมาก ฉีเฉิงเฟิงพิจารณาอยู่สักพักและกัดลงไปเต็มคำ เมื่อกินมันจนหมดลงเขาก็ถามออกมา “นี่คือสัตว์ชนิดใด”

“ก็แค่เนื้อ” ซูหวานหว่านตอบปัด ๆ

“เนื้ออะไร?”

นี่คือเนื้ออะไรทำไมถึงได้มีรสชาติอร่อยถึงเพียงนี้ เป็นเนื้อที่เขาไม่เคยกินมาก่อน!

“เจ้าจะถามจริง ๆ งั้นหรือ?” ซูหวานยิ้มออกมา “ข้าเกรงว่าหากเจ้ารู้แล้วเจ้าจะกินมันไม่ลง”

มันก็แน่อยู่แล้วไม่มีใครกล้ากินเนื้องูกันหรอก

“บอกข้าหน่อยเถิด” ลางสังหรณ์ไม่ดีที่ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกได้ คือตอนที่ได้ยินคำว่า ‘เนื้องู’ ออกมาจากปากของซูหวานหว่าน

สีหน้าของเขาแย่ลงพลันใด ถึงแม้เขาจะรู้สึกแย่ขนาดไหน แต่ตอนนี้เขาก็ทั้งหิวทั้งยังบาดเจ็บ และเนื้อในมือนั้นก็อร่อยเสียจนหยุดไม่ได้ ชายหนุ่มตัดสินใจกินเนื้องูในมือ และเริ่มสงสัยว่าซูหวานหว่านไปนำเนื้องูมาจากที่ใดกัน

เมื่อเห็นเหมือนว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังจะถามกับนาง เด็กสาวจึงพูดดักขึ้นก่อนว่า “มีบางอย่างที่ท่านไม่ควรถาม เพราะฉะนั้นอย่าถามเลยดีกว่า”

ฉีเฉิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ถามอะไรต่อ ซูหวานหว่านจึงถามกลับไป “ว่าแต่ เหตุใดท่านถึงต้องมาหนีตายอยู่ในที่ที่อันตรายเช่นนี้ล่ะ?”

“มีบางเรื่องที่เจ้าไม่ควรรู้ ดังนั้นอย่าถามเลยจะดีกว่า” ฉีเฉิงเฟิงย้อน

“เจ้า!”

ถึงแม้นางจะโกรธ ทว่านั่นก็สมเหตุสมผลแล้วเพราะนางไปแกล้งเขาก่อน ครู่ใหญ่ทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ด้วยอย่างไรก็ตามนางก็ยังคงไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของชายหนุ่มเสียเท่าไร

หลังจากที่อาการของฉีเฉิงเฟิงดีขึ้น ซูหวานหว่านก็ช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นยืน

ทันใดนั้นเสียงหอนของสุนัขก็ดังก้องไปทั่วทั้งป่า ดวงตาสีเขียวเรืองแสงปรากฏขึ้นผ่านพุ่มไม้หนาทึบ มองมายังทั้งสองในยามค่ำคืน

นั่นมันหมาป่านี่!