บทที่ 29 การต่อรอง

เมื่อซูหวานหว่านมั่นใจว่าคือหมาป่า นางก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เด็กสาวคิดไม่ออกเลยว่าจะพาฉีเฉิงเฟิงที่บาดเจ็บขนาดนี้หนีรอดจากพวกหมาป่าด้วยวิธีไหน!!

ซูหวานหว่านตัดสินใจพาฉีเฉิงเฟิงเดินไปยังต้นไม้สูงต้นหนึ่ง “เร็วเข้า มัวยืนงงอันใดอยู่ปีนขึ้นไปสิ เดี๋ยวข้าจะช่วยถ่วงเวลาให้!!” เด็กสาวกล่าวอย่างรีบร้อน

“แล้วเจ้าล่ะ?” ฉีเฉิงเฟิงตะโกนถามไปด้วยความกังวล กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง

“ข้าปีนต้นไม้เก่งมาก เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก! เจ้าปีนขึ้นไปก่อนเลย” ซูหวานหว่านที่พูดจบก็สังเกตว่าชายหนุ่มยังไม่ขยับไปไหน จึงตะโกนบอกด้วยความหงุดหงิด “มัวแต่ยืนทำอันใดเล่า!”

ฉีเฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย และตัดสินใจปีนขึ้นไป

ในขณะที่หมาป่ากำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แต่เป็นเพราะฉีเฉิงเฟิงได้รับเจ็บบาดอยู่จึงทำให้เขาปีนได้ช้า เกรงว่าหากปีนไปถึงครึ่งจะไหลลื่นตกลงมา ซูหวานหว่านเห็นดังนั้นจึงเกิดความกังวลขึ้น สุดท้ายนางจึงตัดสินใจดึงเขาลงมา

หมาป่าอยู่ห่างไปเพียงเล็กน้อย ต้องรีบปีนขึ้นไป!

“ปีนขึ้นมา!”

“เจ้าว่าอะไรนะ!?”

“ข้าจะแบกเจ้า!” ซูหวานหว่านไม่ต้องการอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ นางจับมือของเขาวางไว้ตรงที่ไหล่ของตนเองและพูดกำชับกับเขาว่า “เอาล่ะจับข้าไว้แน่น ๆ”

เมื่อซูหวานหว่านพูดจบก็ปีนต้นไม้สูงขึ้นไปพร้อมทั้งแบกฉีเฉิงเฟิงไว้บนหลัง

ในขณะที่ทั้งสองคนได้ปีนต้นไม้ขึ้นไปสูงมากพอแล้ว พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของหมาป่าใกล้เข้ามา พวกมันทั้งเห่าทั้งขู่พวกเขาอยู่ข้างล่าง

ซูหวานหว่านก้มลงมองไปด้านล่างอีกครั้ง พลันสังเกตเห็นหมาป่าตัวหนึ่งนอนหมอบลงเพื่อให้หมาป่าอีกตัวเหยียบ ก่อนที่หมาป่าตัวนั้นจะกระโจนขึ้นจากหลังของเพื่อนมาและกัดเข้าที่ชายเสื้อของฉีเฉิงเฟิง!

นี่มันอะไรกัน!

ซูหวานหว่านตกใจยิ่งกว่าเมื่อรู้สึกได้ว่าฉีเฉิงเฟิงปล่อยมือข้างหนึ่งจากไหล่ของนาง เด็กสาวไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องปล่อยมืออีกข้างที่ใช้เกาะต้นไม้มาจับตัวเขาเอาไว้

ฉีเฉิงเฟิงส่ายหัวให้กับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ซูหวานหว่าน …ข้าปวดหัวมากเลย… หัวของข้ามันหนักไปหมด ทรมานมาก…”

ขณะที่กำลังพูดอยู่ น้ำเสียงของเขาก็ค่อย ๆ เบาลง ทำให้ซูหวานหว่านตกใจเป็นอย่างมาก เกิดอะไรขึ้นกับฉีเฉิงเฟิง? อย่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาในตอนนี้ได้หรือไม่!

“นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาตายตรงนี้นะ ตื่นเดี๋ยวนี้!”

ซูหวานหว่านหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มที่เกาะหลังตนอยู่และเห็นว่าดวงตาของเขาปิดลงอย่างช้า ๆ

นางนึกอะไรบางอย่างออก ดูเหมือนร่างกายของเขายังไม่เหมาะกับการกินเนื้องู หากดูจากสภาพของเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้น่าจะแค่เป็นไข้และหมดสติไปเท่านั้น

“ฉีเฉิงเฟิง ตื่นเร็ว!” ซูหวานหว่านเขย่าแขนเขาอย่างแรง จนทำให้ชายหนุ่มตอนนี้เปรียบเหมือนใบไม้สีเหลือง ๆ ของฤดูใบไม้ผลิที่พร้อมจะร่วงลงจากต้นทุกเมื่อ

“…”

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเขาเลย

เจ้าหมาป่าตัวนั้นก็ยังคงกัดชายเสื้อคลุมของฉีเฉิงเฟิงอยู่เรื่อย ๆ มันฉีกเสื้อคลุมออกเป็นชิ้น ๆ อย่างรุนแรง ด้วยร่างกายอันหนักอึ้งของฉีเฉิงเฟิง รวมกับแรงกระชากจากหมาป่าตัวนั้นทำให้ซูหวานหว่านเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหว ไหลลื่นลงจากต้นไม้ แต่ก็กลับมาทรงตัวได้อย่างน่าหวาดเสียวครั้งแล้วครั้งเล่า

เด็กสาวมองกลับลงไปและยังคงพบกับสายตาสีเขียวจ้องกลับมาที่พวกนางอย่างหิวกระหาย

ไม่ดีแน่! หากตกลงไปจะต้องกลายเป็นอาหารหมาป่า!

นี่มันแย่ซะยิ่งกว่าแย่เสียอีก อุตส่าห์ได้เกิดใหม่ทั้งที ยังไม่ทันจะได้ใช้ชีวิตดี ๆ เลย สุดท้ายต้องมาตายอย่างอนาถอย่างนี้หรือ?

ไม่ได้

มันต้องมีทางสิ นางจะต้องออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย!

ซูหวานหว่านตัดสินใจไถลตัวลงมากับต้นไม้ ทำให้หมาป่าส่วนหนึ่งตกใจกับสิ่งที่เด็กสาวเพิ่งทำลง นี่มันคนโง่ชัด ๆ ที่กระโดดลงมาเป็นอาหารให้พวกมันถึงที่ หมาป่าเกือบทั้งฝูงรีบกรูกันเข้ามาหวังจะฉีกกระชากเนื้อพวกเขาเป็นอาหารมื้ออร่อย

ทว่าเมื่อกำลังจะเข้าใกล้ทั้งสองพวกมันก็ต้องตกใจหนักกว่าเดิม เพราะซูหวานหว่านสามารถพูดภาษาของพวกมันได้!

“เดี๋ยวก่อน! ข้ามีเรื่องใหญ่จะบอกกับพวกเจ้า!”

หมาป่าจำนวนหนึ่งหยุดแล้วหันหัวมองกันไปมา และพูดออกมาในภาษาของพวกมันว่า “เด็กสาวชาวมนุษย์นี่กำลังพูดกับเราหรือเปล่า?”

ซูหวานหว่านได้ยินและเข้าใจว่าพวกมันพูดอะไรออกมา จึงรีบตอบกลับไปในทันที “ใช่ ๆ ข้ากำลังพูดกับพวกเจ้า” หลังจากที่เด็กสาวพูด หมาป่าที่กำลังกัดชายเสื้อของฉีเฉิงเฟิงตัวนั้นก็สงบลง มันผละออกมาเพื่อฟังคำพูดของเด็กสาวชาวมนุษย์ ซูหวานหว่านเห็นดังนั้นจึงดึงฉีเฉิงเฟิงมากอดแน่น และกล่าวกับพวกมันอย่างใจเย็น “พวกข้ามาดี พวกข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกเจ้า และข้าอยากจะทำข้อตกลงระหว่างเรา…”

“ข้อตกลงแบบไหน” เสียงของหมาป่าผู้เป็นจ่าฝูงดังขึ้น

หมาป่าตัวอื่นที่ได้ยินหัวหน้าของมันตอบกลับเด็กสาวไปเช่นนั้นก็ไม่พอใจและเริ่มทำการประท้วงโต้แย้ง “ท่านหัวหน้า! พวกมนุษย์มันมีแต่คนไม่ดี อย่าไปฟังมันและรีบ ๆ กินมันซะดีกว่า!”

“ใช่แล้วท่าน! อาหารที่นี่ก็หายากเหลือเกิน กว่าครึ่งเดือนแล้วที่เรายังไม่ได้กินอะไรดีดี ช่างโชคดีเสียจริงที่เราเจอมนุษย์สองคนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอให้พวกเราได้กินกันทุกตัวแล้ว!”

“…”

“โบร๋ว!”

แสงในดวงตาของหมาป่าผู้เป็นจ่าฝูงเริ่มเปล่งประกาย มันหอนพลางทำน้ำลายที่มุมปากไหลราวกับว่าเขากำลังเห็นด้วยกับสิ่งที่หมาป่าตัวอื่น ๆ ในฝูงพูดขึ้น หมาป่าจ่าฝูงเดินนำหมาป่าตัวอื่นเข้ามาจ้องมองไปยังมนุษย์ทั้งสองเหมือนกับกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มกินใครตรงส่วนไหนก่อนดี

“เดี๋ยวก่อน!” ซูหวานหว่านร้องห้ามอย่างตกใจ ก่อนจะกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “หากพวกเจ้าปล่อยพวกเราทั้งสองไป พวกเราจะนำไก่ 20 ตัวมาส่งให้เจ้าในทุก ๆ เดือน ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าได้อดอยากกันอีกต่อไป!”

หมาป่าจ่าฝูงขยับตัวเล็กน้อย ในป่าแห่งนี้มีสัตว์ป่ามากมากมายนัก ไม่ว่าจะเสือและยังมีสัตว์ชนิดอื่นอีกมากมาย ซึ่งพวกหมาป่าก็มักจะถูกจับกินอยู่เรื่อย ๆ จากพวกสัตว์ดุร้ายเหล่านั้น จนทำให้พวกมันไม่กล้าออกไปหาอาหาร จนสุดท้ายลูกหมาป่าตัวน้อย ๆ หลาย ๆ ตัวก็ต้องมาตายเพราะความอดอยาก

“เจ้าทำได้จริง ๆ หรือ?” หมาป่าจ่าฝูงกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล หากมนุษย์ทั้งสองโกหกแล้วปล่อยพวกเขาไป พวกมันไม่เพียงแต่จะสูญเสียอาหารไปมื้อหนึ่ง ทว่าตัวมันจะเสียหน้าและศักดิ์ศรีในการเป็นจ่าฝูงอีกด้วย!

“ท่านหัวหน้า อย่าไปฟังพวกมันนะ! พวกมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โกหกเก่งที่สุด!” หมาป่าตัวหนึ่งในฝูงตะโกนบอกหัวหน้าเพราะไม่ไว้ใจในมนุษย์ทั้งสองตรงหน้าของพวกเขา

“ใช่แล้วท่าน! พวกมนุษย์ที่เราปล่อยให้รอดไปก่อนหน้านี้มันทำอะไรกับพวกเรา!”

“พวกมันกลับมาทำร้ายลูกหลานของเราเพียงเพราะอยากได้หนังของพวกเขา!”

“…”

“ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่และมีสัตว์มากมายหลากหลายชนิด และเช่นเดียวกัน มนุษย์นั้นก็มีหลากหลายประเภท ซึ่งข้าไม่ใช่คนประเภทนั้น” ซูหวานหว่านพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมทั้งจ้องเข้าไปในดวงตาของหมาป่าจ่าฝูงด้วยความหวัง ซูหวานหว่านรู้สึกว่านี่ก็เย็นมากแล้ว และคงเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้วที่ทั้งสองติดอยู่ที่ป่าหลังภูเขาแห่งนี้

“ข้าไม่เชื่อ!!” หมาป่าจ่าฝูงปฏิเสธพร้อมทั้งคำรามใส่

พวกมนุษย์นี่ช่างคิดเสียจริง! ออกอุบายมอบไก่ 20 ตัวให้ต่อเดือน แต่ต้องยอมรับว่านี่เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อย!

หมาป่าจ่าฝูงตัดสินใจใช้วิธีของตน พเยิดหน้าไปยังฉีเฉิงเฟิงในอ้อมแขนของเด็กสาว “ทิ้งเขาไว้ตรงนี้ แล้วนำไก่ที่เจ้าว่ามาให้กับข้า แล้วข้าจะปล่อยชายผู้นี้ให้เจ้าไปเมื่อข้าได้ของตามที่สัญญาไว้”

ข้าจะไปหาไก่มาได้จากที่ใดกันในตอนนี้!

นางรู้สึกสิ้นหวังและจมอยู่กับความคิดจนทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ตกอยู่ในความเงียบ

“ข้าทิ้งเขาไว้ที่นี่ไม่ได้…เขากำลังบาดเจ็บอยู่ ข้าจำเป็นต้องพาเขาออกไปก่อน”

เมื่อซูหวานหว่านมองไปยังบาดแผลของฉีเฉิงเฟิงนางก็คิดอะไรออก

“ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินเนื้อก่อนเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นข้าจะเอาไก่มาส่งให้กับพวกเจ้า”

นางยกยิ้มก่อนจะแบกฉีเฉิงเฟิงขึ้นหลังและออกเดินนำฝูงหมาป่าไป

“อย่าคิดจะโกหกข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ตายที่นี่แน่!”

“ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก…” ซูหวานหว่านยิ้มอย่างเย็นชาและเดินนำออกไป จนถึงที่ที่ชายชุดดำนอนตายอยู่ “ชายคนนี้ทั้งสูงและตัวใหญ่ ข้าว่าน่าจะเพียงพอให้กับพวกเจ้าได้กินในวันนี้”

เมื่อเห็นอาหารอันโอชะตรงหน้า ฝูงหมาป่าก็ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้ามาฉีกกระชากเนื้อของศพชายชุดดำในทันที กลิ่นคาวเลือดจากศพคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

เมื่อเห็นว่าพวกหมาป่ากำลังยุ่งอยู่กับการกินศพชายชุดดำ ซูหวานหว่านจึงจัดการแบกฉีเฉิงเฟิงขึ้นหลัง และค่อย ๆ ย่องพาเขาออกไป ทว่าหมาป่าจ่าฝูงยังเดินตามทั้งสองอยู่ ซูหวานหว่านพยายามไม่สนใจและยังคงเดินต่อไปเช่นนั้น จนเมื่อเด็กสาวเดินไปชนกับขนนิ่ม ๆ ของอะไรบางอย่างก็ขนลุกชันขึ้นด้วยความกลัวในทันที

“เจ้ามนุษย์ เจ้าจะไปที่ใด?” นางเดินชนหมาป่าที่เดินอ้อมมาตอนไหนไม่รู้!!

อะไรกัน! นี่เขายังไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดอีกเหรอ?

ซูหวานหว่านรู้สึกไม่พอใจ นางเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาหัวหน้าฝูงตัวนั้น พยายามค้นตัวฉีเฉิงเฟิงเผื่อจะเจอของมีค่าสำหรับมอบไว้เป็นหลักประกันให้กับเจ้าหมาป่าจ่าฝูงเพื่อรับรองว่านางจะทำตามที่พูดเอาไว้ ค้นอยู่สักพักนางก็เจอเพียงหยกก้อนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อหยิบหยกชิ้นนั้นออกมาพิจารณาดูดี ๆ ก็พบว่านี่ไม่ใช่หยกธรรมดาทั่วไปแน่ ๆ เนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อนและมีลักษณะโปร่ง สีเขียวสดคล้ายมรกตทั้งเวลาจับดูยังรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่น ๆ อีกด้วย เช่นนั้นแล้วหยกชิ้นนี้ต้องเป็นของที่หายากมาก ๆ การที่ฉีเฉิงเฟิงจะมีของชิ้นนี้อยู่กับตัวเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ตัวอักษรที่ถูกสลักลงบนหยกชิ้นนั้น หากเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นชื่อเขา หยกชิ้นนี้อาจจะเป็นเหมือนตราไม้ที่เป็นเครื่องหมายบางอย่างของฉีเฉิงเฟิง

นางควรจะฝากของชิ้นนี้ไว้กับพวกหมาป่าหรือเปล่า …หากมันแตกขึ้นมานางจะทำอย่างไร?

ซูหวานหว่านยังคงคลำหาไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่เจออะไร นางเงยหน้าขึ้นมาและสังเกตว่าเป้ากางเกงของเขาเหมือนจะเกิดปฏิกิริยาขึ้นมามาเล็กน้อย …แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

“เหอะ…เจ้าบ้านี่ไม่ได้สติอยู่แท้ ๆ แต่กลับมีปฏิกิริยาอีก!” ซูหวานหว่านเม้มปากแน่นด้วยความเขินอาย เด็กสาวคลำหาของมีค่าบนตัวอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใด นางจึงตัดสินวางหยกชิ้นนั้นลงกับพื้นตรงหน้าของหมาป่าจ่าฝูงตัวนั้นอย่างระมัดระวัง