บทที่ 30 เปิดเผยตัวตน

“นี่คือชิ้นส่วนของหยกบริสุทธิ์ ใช้เป็นเครื่องหมายบ่งบอกฐานะในหมู่ของมนุษย์ ทั้งยังเป็นของที่สำคัญมาก ๆ สำหรับมนุษย์อย่างพวกเรา อีกทั้งมันยังมีมูลค่าราคาสูง มีค่าขนาดที่ว่าซื้อไก่ได้เป็นพัน ๆ ตัว ข้าจะทิ้งมันไว้ให้พวกเจ้าก่อน ไว้ข้าจะนำไก่มาให้พวกเจ้าทีหลังเพื่อแลกกับสิ่งนั้นที่ข้าฝากพวกเจ้าไว้”

หมาป่าจ่าฝูงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นมันก็เอนหัวจ้องมองไปยังหยกชิ้นนั้น “ก้อนหินโง่ ๆ พวกนี้ข้าเห็นมาเยอะแล้ว เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก!”

เจ้าหมานั่นมันว่าอะไรนะ!?

มันเรียกหยกนี่เป็นก้อนหินโง่ ๆ อย่างงั้นหรือ?

โอ๊ย! อะไรกันพวกมันไม่เห็นของมีค่าเช่นนี้อยู่ในสายตาเลยหรือ? นี่รู้หรือไม่ว่ามีเงินมากแค่ไหนยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถซื้อมันได้เลยนะ!

ซูหวานหว่านหน่ายเน้นย้ำให้กับหมาป่าจ่าฝูงฟังอีกครั้งว่าหินโง่ ๆ ชิ้นนี้มีค่ามากเพียงใด ทว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถทำให้หมาป่าจ่าฝูงเชื่อในตัวนางได้เลย

“หากเจ้านำสิ่งนี้มาหลอกข้า ข้าจะทำให้เจ้าสองคนตายอยู่ที่นี่ เพราะพวกข้าไม่อยากได้สิ่งไร้ค่านี่ของเจ้า!!”

ซูหวานหว่านทำอะไรไม่ถูก จนอยากจะทุบหมาป่าจ่าฝูงที่บอกว่านี่เป็นเพียงหินโง่ ๆ ด้วยหากว่านางได้หยกอุ่นมาสักสองสามชิ้น นางคงจะร่ำรวยไปแล้ว!

ซูหวานหว่านรีบเอ่ยออกมาอย่าไม่รอช้า “เจ้าบอกว่าสิ่งนี้เป็นเพียงหินโง่ ๆ ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก! เช่นนั้นพวกเจ้าต้องพาข้าไปดู หากพบว่ามันมีจำนวนมากและหาได้ง่าย ๆ ข้าจะยอมรับว่าไอ้หินโง่ ๆ มันไร้ราคาไม่มีค่าอะไร แล้วข้าจะรับปากว่าจะเอาไก่มาส่งให้ห้าถึงหกร้อยตัวต่อเดือนด้วย!”

“เจ้าพูดเองนะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ!” หมาป่าจ่าฝูงพูดขู่ขึ้น

ไม่นานนัก ซูหวานหว่านก็แบกฉีเฉิงเฟิงขึ้นหลังอีกครั้งและออกเดินทางพร้อมฝูงหมาป่า นางจุดคบไฟขึ้นแล้วหักสมุนไพรข้างทางเพื่อนำมาวางไว้บนหน้าฝากของฉีเฉิงเฟิงเพื่อทำให้อุณหภูมิร่างกายของเขาเย็นลง

ด้วยนางยังไม่อยากให้เขาต้องมาเสียชีวิตเพราะเป็นไข้ในตอนที่ตามหาสมบัติมีค่า ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนั้นลงไป

เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วยาม ซูหวานหว่านที่ล้าจากการแบกชายตัวใหญ่มาเป็นเวลานานเริ่มรู้สึกว่าร่างกายฉีเฉิงเฟิงที่อยู่บนหลังหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนนางทนแบกเขาไม่ไหวอีกต่อไป ทว่าในที่สุดก็ถึงเสียที!

หมาป่าจ่าฝูงหันมาเอ่ยกับซูหวานหว่าน “นี่ไง”

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงวางฉีเฉิงเฟิงลงจากหลัง นางเดินไปดูตามที่พวกหมาป่านั่นบอก นี่มันแค่หินสีดำโง่ ๆ! มิใช่หยกเสียด้วยซ้ำ

นางเดินอยู่เป็นเวลานานสุดท้ายแล้วก็เจอเพียงหินโง่ ๆ งั้นหรือ!

ซูหวานหว่านที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ก็นึกขึ้นมาถึงความแตกต่างทางโครงสร้างของมนุษย์กับหมาป่า ดวงตาของคนกับสัตว์อาจจะเห็นภาพไม่เหมือนกัน ซูหวานหว่านนำหยกอุ่นออกมาเทียบกับหินที่หมาป่าบอกก่อนจะยื่นให้พวกมันดู

“ไม่ต่างกันเลย”

ซูหวานหว่านมองดูอีกครั้ง และมันก็ยังคงเป็นเพียงก้อนหินสีดำดังเดิม นางจึงหยิบมันขึ้นมาส่องผ่านคบไฟที่นางเพิ่งจุดขึ้นเมื่อครู่ ทันใดนั้นก็มีแสงสีเขียวเล็ดลอดออกมา

หมาป่าบางส่วนคาบหินมาให้นางเพิ่มอีก “ลองเคาะมันแรง ๆ ดูสิ”

นางหยิบก้อนหินก้อนนั้นขึ้นมาเคาะอย่างแรง พลันใดเปลือกของก้อนหินสีดำที่ถูกกระเทาะออกไปเผยให้เห็นสีเขียวดั้งเดิมของมัน

สิ่งที่นางเห็นทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก แม้ว่ามันจะไม่ใช่หยกหายาก ทว่ามันก็เป็นหยกซึ่งก็มีค่าเช่นกัน!

ทว่าอย่างไรก็ตาม นางยังคงหาทางอธิบายความแตกต่างระหว่างก้อนหยกอุ่นและหยกธรรมดาชิ้นนี้กับหมาป่าจ่าฝูงไม่ได้ จึงนำก้อนหยกอุ่นและหยกธรรมดาลองสลับกันวางไว้บนลิ้นของมันที่ละก้อน หมาป่าจ่าฝูงรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิก้อนหยกที่แตกต่างกัน จึงต้องยอมรับว่าพวกมันแตกต่างกันด้วยความไม่เต็มใจ

“อย่างไรของที่พวกเจ้านำทางมาให้ข้านั้นก็เป็นประโยชน์ต่อข้ามาก ๆ เช่นนั้นแล้วข้าจะส่งไก่มาให้เจ้าเพิ่มขึ้นอีกในทุก ๆ เดือนต่อจากนี้”

หลังจากที่นางพูดจบ นางรู้สึกถึงสายตากระหายเลือดของฝูงหมาป่าที่ได้มองมายังนางนั้นลดลงบ้างแล้ว

“โอ๊ย…” จู่ ๆ เสียงร้องใส ๆ ด้วยความเจ็บปวดของฉีเฉิงเฟิงก็ดังขึ้น นางรีบเข้าไปดูอาการของเขา และเอามือแตะไปที่หน้าฝากของอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ฉีเฉิงเฟิงเพิ่งกินสมุนไพรที่นางป้อนไปได้ไม่นาน แต่อาการก็ดีขึ้นบ้างแล้ว นั่นนับว่าดีมากเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่ได้ลืมตาขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีสติรับฟังเสียงรอบข้างทุกอย่างหรอกนะ

ซูหวานหว่านกลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา ทั้งไม่อยากให้ความลับของตนถูกเปิดเผย จึงรีบทำข้อตกลงกับหมาป่าจ่าฝูงก่อนที่จะแบกฉีเฉิงเฟิงขึ้นหลัง ในขณะที่เด็กสาวกำลังแบกเขาอยู่ความรู้สึกเจ็บจี๊ดก็แล่นขึ้นมาจากหัวไหล่โดยไม่ทราบสาเหตุ

“โอ๊ย” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของฉีเฉิงเฟิงดังขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงวางเขาลงกับพื้นอย่างแรงด้วยความโมโห “ข้าแบกเจ้าจนเจ็บหลังไปหมด นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ”

เมื่อเห็นหมาป่าฝูงนั้นแยกย้ายกลับกันไปจนเกือบหมดแล้ว ซูหวานหว่านจึงพยายามปลุกฉีเฉิงเฟิงขึ้นมาให้เดินกลับไปกับนาง เพราะว่านางแบกเขาไม่ไหวอีกต่อไป แต่เมื่อพบว่าไม่สามารถปลุกเขาขึ้นมาได้ จึงลากอีกฝ่ายเข้ามาซ่อนไว้ในพุ่มไม้แทนเพื่อที่จะเดินไปหายาสมุนไพรมาให้เขาเพิ่ม

เมื่อนางเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า ก็เพิ่งจะรับรู้ว่าพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว

พระอาทิตย์เหรอ!

ซูหวานหว่านรู้สึกเหนื่อยจนทิ้งตัวนอนลงบนพื้น นางหลับตาลงไม่นานนักนางก็ผล็อยหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัว…

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งฉีเฉิงเฟิงตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงเพราะสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นและลมชื้น ๆ พัดผ่าน เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เหนียวเหนอะอยู่บนหน้าผากของเขาในช่วงหว่างคิ้ว บางอย่างที่ทำให้รู้สึกเย็น เขาหมายเอื้อมมือไปสัมผัสและต้องการที่จะปัดมันออก ทว่ามือของเขากลับถูกทับไว้โดยใครบางคน

ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ตัวที่เต็มไปด้วยพื้นหญ้าสีเขียว ๆ ก่อนจะพบว่าบนท้องของเขาที่มีซูหวานหว่านนอนตะแคงพร้อมหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขอยู่ ทั้งคิ้วและดวงตาของนางช่างงดงาม เพียงแค่ชำเลืองมองอยู่เช่นนั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว

“แค่ก แค่ก!” จู่ ๆ เด็กสาวตรงหน้าที่กำลังหลับอยู่ก็ไอขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ขนตาที่เรียงสวยของนางสั่นไหวเล็กน้อยราวกับผีเสื้อกระพือปีก ก่อนที่ดวงตาของนางจะเปิดออกเผยให้เห็นดวงตากลมสวยน่าหลงใหล

ฉีเฉิงเฟิงรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่นางจะรู้ตัวว่าเขากำลังแอบมองนางอยู่ ทว่าหูของเขาก็ไม่สามารถเก็บอาการเขินอายนั้นได้

“ฉีเฉิงเฟิงเจ้าตื่นแล้วใช่หรือไม่!” นางลุกขึ้นและขมวดคิ้วต่อหน้าเขา ซึ่งตอนนี้นางดูเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่กำลังพองขนขู่ฟ่อใส่เขาอยู่

“ในที่สุดก็ตื่นสักที! เมื่อวานเจ้าทำให้ข้าลำบากมากเลยรู้หรือเปล่า ข้าต้องแบกเจ้ามาตลอดคืน”

อะไรนะ! นี่เขาโดนเด็กสาวเช่นนางแบกไว้ทั้งคืนเลยอย่างงั้นหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่ตอนตื่นมาเขายังคงได้กลิ่นของนางติดอยู่ที่ปลายจมูก ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกเขินอายเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วพวกหมาป่าที่มาโจมตีเราเมื่อวานล่ะ?”

“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ!” ซูหวานหว่านกลอกตามองไปยังชายหนุ่มแทนคำตอบ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าไข้ขึ้นกะทันหันแล้วล่ะก็ พวกเราคงไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายแบบเมื่อคืนนี้หรอก!!”

ที่จริงแล้วนางโกรธและอยากโวยวายมากกว่านี้อีก แต่เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ฝูงหมาป่าได้พานางมาเจอกับก้อนหยกโดยบังเอิญก็อารมณ์ดีขึ้น เด็กสาวจึงได้รีบชี้ไปยังหินสีดำก้อนหนึ่งข้าง ๆ และร้องสั่งให้ชายหนุ่มทำตามที่ตนสั่งทันที “เอาล่ะ เมื่อเจ้าตื่นแล้วก็ช่วยรีบเคาะมันให้แตกจนเห็นสีเขียวด้านใน หากเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอามาให้ข้าด้วย เมื่อวานข้าน่ะเหนื่อยแทบตายที่ต้องดูแลเจ้า ทำเสร็จแล้วเราจะได้กลับบ้านพร้อมกัน”

ไม่มีใครเคยสั่งข้าเช่นนี้มาก่อน!

ทว่าเมื่อเขาหันไปก็พบว่าซูหวานหว่านที่ออกคำสั่งเขาไปเมื่อครู่นั้นได้ผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยความเหนื่อยเรียบร้อยแล้ว เขาจึงจำใจยอมช่วยนาง

เดิมทีชายหนุ่มคิดว่าซูหวานหว่านแค่เพียงอยากแกล้งเท่านั้น แต่เมื่อเคาะหินสีดำจนแตกออกก็ได้เห็นก้อนหินสีดำอันไร้ค่ากลายเป็นก้อนหยกเขียวใสที่มีมูลค่า ทำให้ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกสงสัยในตัวซูหวานหว่านขึ้นมา

อะไรที่ทำให้เด็กสาวชาวบ้านธรรมดา ๆ รู้ว่าก้อนหินสีดำอันไร้ค่านี้เป็นก้อนหยก!

แล้วนางหาหยกนี่เจอได้อย่างไรในขณะที่แบกเขาเอาไว้?

ฉีเฉิงเฟิงจ้องไปที่ซูหวานหว่านที่กำลังหลับอยู่และรู้สึกได้ว่าเด็กสาวคนนี้ต้องไม่ใช่เด็กสาวธรรมดา ๆ

หลังจากที่ฉีเฉิงเฟิงจ้องซูหวานหว่านอยู่สักพัก นางก็ลืมตาขึ้นราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่

คงเป็นเพราะความเคยชินจากสัญชาตญาณแบบที่ซูหวานหว่านในโลกก่อนนั้นเคยเป็น

“เจ้าเป็นใครกันแน่” ฉีเฉิงเฟิงถามกับนางเป็นคำถามแรก

“จะเป็นใครไปได้” ซูหวานหว่านแปลกใจกับคำถามของชายหนุ่มและมองเขาอย่างสงสัย “ข้าเติบโตอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด ลองไปถามคนในหมู่บ้านนี้ดูสิว่ามีใครบ้างที่ไม่รู้จักข้า”

“…”

ฉีเฉิงเฟิงตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ เขาเคยเห็นซูหวานหว่านมาก่อนบ้างแล้ว ทว่านิสัยนางในตอนนั้นกลับไม่เหมือนกับซูหวานหว่านตรงหน้าเขาน่ะสิ นิสัยพวกนางดูแทบจะเป็นคนละคนเลยด้วยซ้ำ

จากการคาดเดาของฉีเฉิงเฟิง ดูเหมือนเขาจะมองบางอย่างออกแล้ว และด้วยสีหน้าของเขาที่มองซูหวานหว่าน มันก็ทำให้นางเกิดความกังวลขึ้นมา

เห็นท่าทางของนางเช่นนั้น เขาจึงลองเชิงถามนางแบบอ้อมค้อมดู

“เจ้ารู้เรื่องหยกนี่ได้อย่างไร?”

ซูหวานหว่านรู้ว่าเขากำลังจับผิดนางอยู่ แต่เด็กสาวฉลาดพอที่จะไม่ตอบกลับเขาแบบตรง ๆ นางตอบกลับด้วยสายตาอันเจ้าเล่ห์

“เอ…นั่นมันคือหยกหรือ? แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าหินนั่นคือหยก?”

“…”

ฉีเฉิงเฟิงตอบไม่ถูกและเงียบไปครู่หนึ่ง นางกำลังโกหก

ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของนาง เกี่ยวกับคำตอบที่เหมาะสมกับคำถามของชายหนุ่ม

“ข้าแค่คิดว่าหินสีเขียวนี่มันดูดีกว่าก้อนสีดำ ๆ โง่ ๆ เลยเก็บมันมาด้วยเพราะการมองดูมันทำให้ข้ามีความสุขมาก ๆ”

นี่นางแกล้งโง่หรืออย่างไรกัน!?

ฉีเฉิงเฟิงมองไปที่ซูหวานหว่านอย่างไม่เข้าใจ

ฉีเฉิงเฟิงก้าวเท้าเข้าไปใกล้นางมากขึ้น มากขึ้น และกดหน้าของตนเข้าใกล้กับใบหน้าของเด็กสาว จ้องมองไปยังดวงตาสีดำสนิทของนาง ชายหนุ่มวางมือข้างหนึ่งลงที่ท้ายทอยของนาง ต่อให้นางอยากจะหลบเพียงใด แต่นางก็ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ทั้งยังไม่สามารถขยับตัวได้ด้วย เด็กสาวทำได้เพียงจ้องหน้าเขากลับอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อสายตาทั้งสองประสานกัน ฉีเฉิงเฟิงจึงจ้องเข้าไปในดวงตากลมสวยของนางราวกับจะค้นหาคำตอบที่อยู่ในนั้น ริมฝีปากบางของเขาขยับและพูดออกมาด้วยความแน่วแน่

“บอกข้ามาเถอะ…แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”