บทที่ 31 ด้วยความปรารถนา

“เจ้าจะถามอีกทำไม?”

ซูหวานหว่านยิ้ม วางมือลงบนลำคอขาวของอีกฝ่าย “เอาล่ะ หากเจ้ายังยืนกรานที่จะถาม ข้าก็คงจะต้องเปิดเผยตัวตนให้เจ้ารับรู้เท่านั้นสินะ…”

“พูดมาเถอะ” สายตาของเขาจับจ้องเด็กสาวอย่างหาคำตอบ

“ที่จริงแล้ว… ข้าเป็นเทพธิดา”

หลังจากซูหวานหว่านพูดจบ ก็สังเกตได้ว่าสีหน้าของฉีเฉิงเฟิงนั้นทั้งงงทั้งตกใจ เหมือนจะไม่พอใจในคำตอบนั้นของนางเอามาก ๆ

“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก!” ฉีเฉิงเฟิงเริ่มอารมณ์เสีย ยังคงจ้องมองซูหวานหว่านเอาไว้อย่างไม่ให้คาดสายตา

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะบีบบังคับเอาคำตอบจากนางให้ได้เลยสินะ ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูหวานหว่านพลันหายไป เด็กสาวจ้องฉีเฉิงเฟิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก

“ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยบอกกับข้าไว้หรือ บางเรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าถามออกมา นี่เจ้ากลืนน้ำลายตัวเองหรืออย่างไร?”

ใช่แล้ว… เขาเคยพูดแบบนั้นกับนางเมื่อไม่นานมานี้

ฉีเฉิงเฟิงเสมองไปทางอื่นอย่างอารมณ์เสีย และดูเหมือนนางเองก็พยายามเฉไฉพูดเรื่องอื่นเพื่อกลบเกลื่อน

ซูหวานหว่านไม่รอให้เขาได้พูดอะไรอีก และพูดสวนออกมาว่า “แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเป็นใคร ซึ่งข้าก็เข้าใจ ว่ายิ่งรู้มากเท่าไรก็จะยิ่งเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าจงแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จะดีกว่า”

คำพูดของนางทำให้ฉีเฉิงเฟิงชะงักไปเล็กน้อย เขากล่าวขอโทษเด็กสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม สมกับเป็นเขาจริง ๆ ที่สามารถปรับตัวได้อย่างลื่นไหล ซูหวานหว่านเริ่มให้ความสนใจกับท่าทีว่าง่ายของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างอารมณ์เสียอยู่ในใจ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้กำลังบอกว่าซูหวานหว่านไม่ใช่คนดีอย่างที่เคยคิด นางไม่ใช่ทั้งสหาย ดีไม่ดี นางอาจจะเป็นศัตรูของเขาก็ได้

“เจ้ารีบเดินไปเถอะ เดี๋ยวข้าเดินตามไป” นางพยายามบ่ายเบี่ยง พร้อมมองไปที่เขาด้วยแววตาสงสารกับสภาพสะบักสะบอมของอีกฝ่าย

ฉีเฉิงเฟิงยังคงรู้สึกไม่พอใจซูหวานหว่านอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่รีรอที่จะเดินนำหน้าออกไป …เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินออกไปแล้วจึงได้โอกาส เด็กสาวหยิบหยกใส่ตระกร้าและปิดทับด้วยผักป่าที่หามาได้ ก่อนนางจะรอให้ฉีเฉิงเฟิงเดินล่วงหน้าไปครู่นึงแล้วจึงเดินตามไป

พวกเขาทั้งสองใช้เวลากว่า 1 ชั่วยามในการเดินออกจากป่าหลังภูเขาแห่งนี้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของฉีเฉิงเฟิง อีกทั้งบาดแผลของเขาก็ยังไม่ได้ดีขึ้นมากเพราะไม่ได้รับการรักษาที่ดีเท่าที่ควร เลยทำให้การเดินทางไปเป็นด้วยความยากลำบากยิ่ง

จนเวลาได้ล่วงเลยมาถึงยามที่พระอาทิตย์ส่องแสงอยู่กลางหัว อากาศร้อนแผดเผาจนซูหวานหว่านแทบอยากจะบ้าตาย

ซูหวานหว่านที่เดินทางมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เริ่มมีเหงื่อไหลชุ่มตามร่างกาย นางเช็ดเหงื่อที่ไหลลงบนใบหน้าออกและมองไปทางฉีเฉิงเฟิงที่มีสภาพไม่ต่างกัน ทว่าต่างกันตรงที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยใบไม้ขี้เถ้าและรอยเปื้อนเลอะเทอะเต็มไปหมด แม้ว่าจะดูมอมแมมแต่เด็กสาวกลับรู้สึกว่าเขาดูดีอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อเดินออกมาและเริ่มเข้าใกล้เขตหมู่บ้านขึ้นเรื่อย ๆ ซูหวานหว่านกลับหลบไปนั่งอยู่ข้างทาง เฝ้ามองแผ่นหลังของฉีเฉิงเฟิงเงียบ ๆ

ฉีเฉิงเฟิงที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินในตอนแรก หยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมองทันทีเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของซูหวานหว่าน

“เจ้ามัวนั่งทำสิ่งใดอยู่ตรงนั้น เดินเร็วเข้าจะได้กลับกันเสียที”

“ข้าไม่รีบเท่าไร ข้าว่าจะรอเจ้ากลับเดินกลับไปก่อนสักสองเค่อ อื้ม… น่าจะพอดี” ซูหวานหว่านตอบพร้อมยักไหล่อย่างไม่สนใจ

“…”

“ความจริงเจ้าเองก็น่าจะรู้ หากออกจากที่นี้ไปจะต้องเจอผู้คนมากมาย อีกอย่างคนที่นี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ทั้งยังขี้นินทาอีกต่างหาก หากพวกเขาเห็นว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันคงเอาไปนินทาใส่ไฟจนสนุกปากแน่ ๆ”

ซูหวานหว่านพูด นี่นางไม่ได้เป็นห่วงที่ตัวเองจะเรื่องโดนนินทา ทว่านางรำคาญหญิงน้อยหญิงใหญ่ที่มาชอบพอเขาต่างหาก เกรงว่าพวกนางคงตามรังควานตนไม่เลิกไม่ลาแน่ ๆ

ซูหวานหว่านไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ‘อุตส่าห์รอดตายจากอันตรายในป่ามาได้ จะให้นางมาเสี่ยงตายเพราะพิษรักแรงแค้นของสาว ๆ ที่ติดพันเขาอีกน่ะเหรอ… ไม่เอาด้วยหรอก นางแค่อยากใช้ชีวิตแบบปกติและร่ำรวยเงินทองเพียงเท่านั้นเอง!’

แม้ว่าตอนนี้นางจะมีเงินอยู่ 1,000 ตำลึงแล้วก็เถอะ ทว่ามันก็ไม่ใช่ของที่จะเอาออกมาใช้ได้ง่าย ๆ…

ทางที่ดีนางควรจะหาวิธีใช้มันอย่างระมัดระวังดีกว่า

“นี่เจ้ากลัวว่าพวกเราจะถูกเอาไปนินทาจริง ๆ งั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพูดเอาไว้ว่าเจ้าไม่สนเรื่องพวกนั้น ทั้งยังบอกด้วยว่าชื่อเสียงของเจ้ามันป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว? หากเช่นนั้นแล้วเจ้าจะกลัวไปอีกทำไม?” เขามีเรื่องที่จะเอ่ยกับซูหวานหว่านอีกมากมาย จึงต้องการให้นางออกไปพร้อมกัน เพื่อจะได้พูดคุยกับนางได้ระหว่างทาง

ซูหวานหว่านมองฉีเฉิงเฟิงด้วยความหงุดหงิด

เหตุใดเขาถึงพยายามขัดนางตลอดเวลาเลย! เด็กสาวกลอกตาและพูดออกด้วยความไม่พอใจ “ก็ตอนนี้ข้ากลัวแล้ว! เจ้ารีบ ๆ กลับไปเถอะ เร็วเข้า กลับไปเสีย”

ซูหวานหว่านโวยวายใส่ฉีเฉิงเฟิง ท่าทีของนางเหมือนกับแมวป่าตัวน้อยที่กำลังพองขนอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ภาพที่เห็นทำให้ฉีเฉิงเฟิงอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยอมเดินกลับไปคนเดียวแต่โดยดี

เมื่อเห็นว่าฉีเฉิงเฟิงยอมเดินกลับไปแล้ว นางจึงเอนตัวนอนลงเพื่อที่จะงีบสักเดี๋ยว เนื่องจากต้องรอให้ฉีเฉิงเฟิงเดินนำไปก่อนสักหนึ่งเค่อ …ในขณะที่นางกำลังหลับตาไปสักพักนั่นเอง เสียงฝีเท้าก็พลันดังก้องเข้ามาในหู

“หวานหว่านเจ้าอยู่ไหน! ออกมาหาแม่เถอะ!”

ซูหวานหว่านที่ได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา นางหยิบตะกร้าและยันตัวลุกขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางออกมาเสียก่อน

“เหอะ! เจิ้นซิวซิว…คิดหรือว่าเจ้าจะตามหานังเด็กนรกนั่นเจอ เด็กนั่นไม่สนใจคำเตือนของข้าและเดินเข้าไปในป่าเพียงลำพัง เมื่อคืนพวกเจ้าก็ได้ยินเสียงหอนของหมาป่ากันนี่ นางหายไปทั้งคืนแบบนี้นางไม่มีทางรอดกลับมาแน่”

เป็นเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกิน… เหมือนเสียที่เคยได้ยินแถวบ้านตระกูลซู

ซูหวานหว่านที่ได้ยินคำพูดร้าย ๆ ถึงกับอารมณ์เสีย นางจึงเริ่มคิดแผนเอาคืนคนที่พูดจาหยาบคายถึงนางลับหลัง

เมื่อผู้เป็นแม่อย่างเจิ้นซิวซิวได้ยินคำพูดที่ฟังดูแล้วไม่เป็นมงคลราวกับต้องการสาปแช่งลูกสาวตน นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเป็นกังวล …น้ำตาของผู้เป็นมารดาพลันไหลออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

แม่เจิ้นกล่าวออกไปทั้งน้ำตา “ท่านแม่… ท่านอย่าพูดอะไรเช่นนั้นสิ! หวานหว่านของข้าเป็นคนดี สวรรค์จะต้องคุ้มครองนางอย่างแน่นอน นางต้องไม่เป็นอะไร”

แม่เจิ้นกังวลและเป็นห่วงซูหวานหว่านมาก จะไม่ให้นางผู้เป็นแม่กังวลได้อย่างไรในเมื่อลูกสาวหายเข้าไปในป่าหลังภูเขาทั้งคืนเช่นนี้ อีกทั้งในป่าแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หมาป่าดุร้ายเท่านั้น ทว่ายังมีทั้งเสือและสิงโตที่อันตรายอาศัยอยู่อีก!

“นี่เจ้าจะหาว่าข้าพูดจาไร้สาระอย่างนั้นหรือ? ก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่านังซูหวานหว่านมันก่อกรรมทำบาปไว้มากมาย นางไม่เคารพผู้อาวุโสอย่างข้าไม่พอ ซ้ำยังกล้าทำร้ายข้าอีก สวรรค์จะคุ้มครองคนอย่างนางไปทำไมกัน! เพราะฉะนั้นคิดใหม่เสียเถอะ ตามหานางไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ เหตุใดไม่กลับบ้านไปอาบน้ำแล้วเข้านอนให้สบายใจเสีย”

อะไรกัน…

คำพูดโหดร้ายเหล่านั่น…

ป้าหลี่เดินตรงไปหาแม่เฒ่าซู หญิงวัยกลางคนจ้องเขม็งไปที่นางอย่างไม่ลดละ “พูดจาโหดเหี้ยมเสียจริง! นังแก่อำมหิต! คนอย่างเจ้าดีแต่สาปแช่งคนอื่นไปวัน ๆ ไม่ควรให้คนอื่นมาเคารพหรอก นี่นางเป็นหลานสาวเจ้านะ! เจ้ายังจะกล้าสาปแช่งนางถึงเพียงนี้! อีกอย่างเมื่อไม่นานมานี้ข้าเห็นคุณชายฉีเขาออกมาจากป่านั่นอย่างปลอดภัย เหตุใดซูหวานหว่านถึงจะออกมาอย่างปลอดภัยไม่ได้? ปากเจ้าเอาแต่แส่หาเรื่องไปวัน ๆ ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร! เอาเวลาสาปแช่งชาวบ้านเขาไปขอข้าวกินจะดีกว่า บางทีเจ้าอาจจะได้ข้าวกลับมากินบ้างซักมื้อก็ได้”

“นังหลี่! เจ้าไม่ต้องสะเออะมาสั่งสอนข้า เจ้าเองก็เหมือนกันนั่นแหละ… ที่เจ้าพูดมามันก็หยาบคายทั้งนั้นเลยนี่!” แม่เฒ่าซูทำท่าทางไม่พอใจและเริ่มลงไม้ลงมือกับป้าหลี่ โดยมีแม่เจิ้นคอยห้ามปรามเพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้น

ในที่สุดซูหวานหว่านก็เดินเข้ามา นางลากเจิ้นซิวซิวผู้เป็นแม่ออกจากสมรภูมิตบตีของแม่เฒ่าซูและป้าหลี่อย่างรวดเร็ว “ท่านแม่! ข้าอยู่นี่ ข้าสบายดี! เรากลับบ้านกันเถอะ”

“อะไรกัน!” ทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกันต่างตกใจกับเสียงที่ดังขึ้น เมื่อหันหน้ากลับมามองก็พบกับซูหวานหว่านยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางอ่อนเพลีย ผมเผ้ารุงรังและเต็มไปด้วยใบไม้แห้งติดเต็มไปหมด แม้กระทั่งตามร่างกายก็มีแต่รอยเปื้อน

“ฮึ้ย! เหตุใดเจ้าไม่ตาย ๆ ไปเสียทีนังเด็กเวรนี่!” แม่เฒ่าซูพูดอย่างไม่พอใจ “เมื่อวานข้าว่าข้าได้ยินเสียงหมาป่าหอนระงม พวกมันควรจะฉีกร่างของเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ และกินกันอย่างอิ่มหนำแล้วไม่ใช่หรือ!!”

ซูหวานหว่านไม่ได้สนใจในคำพูดหยาบคายของแม่เฒ่าซูสักเท่าไร แต่กลับมองไปที่ฟันหน้าของผู้เป็นย่าที่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว

ซูหวานหว่านมองเหยียดไปทางแม่เฒ่าซูและพูดด้วยท่าทางเย้ยหยัน “เมื่อวานข้าก็ได้ยินเสียงของท่านคร่ำครวญอยู่แถวสวนหลังบ้านว่า พวกท่านจะตายหากไม่มีข้าวกิน แต่ทำไมวันนี้ท่านยังยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ? ทำไมท่านถึงยังไม่ตายกัน?”

“เจ้า!!” แม่เฒ่าซูไม่พอใจรีบรุดเข้ามาหวังจะทำร้ายซูหวานหว่าน ทว่าครั้งนี้กลับโดนแม่เจิ้นขวางไว้ “ท่านแม่ เหตุใดถึงโมโหขึ้นมาในเมื่อท่านปากเสียใส่นางก่อน”

อะไรกัน! นังสะใภ้นอกคอกกล้าพูดว่าตนปากเสียอย่างงั้นหรือ มันเกินไปแล้วนะ! แม่เฒ่าซูไม่พอใจแม่เจิ้น หญิงชราตัดสินใจเงื้อมือขึ้นและจะตบไปที่ใบหน้าของแม่เจิ้น ทว่าเมื่อนางยกมือขึ้นกลับต้องชะงักเนื่องจากมีมือของชายหนุ่มมาขวางไว้

“ท่านย่า โปรดใจเย็นก่อน” ฉีเฉิงเฟิงเข้ามาห้ามและดึงมือของหญิงชราไว้เต็มแรง ทำให้แม่เฒ่าซูรู้สึกเจ็บขึ้นมา

แม่เฒ่าซูโกรธจนตัวสั่น นางชี้นิ้วไปที่ฉีเฉิงเฟิงอย่างเกรี้ยวกราด “คุณชายฉีอย่าบอกนะว่าเจ้ามีใจให้กับนังเด็กสารเลวซูหวานหว่านคนนี้! ที่แท้พวกเจ้าก็แอบพลอดรักกันที่ป่าหลังภูเขามาทั้งคืนใช่หรือไม่! ไร้ยางอายเสียจริง”

คำพูดของว่าร้ายใส่ของหญิงชรา ทำให้คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน พลันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

“ที่ข้าเรียกท่านว่าท่านย่า เพราะข้าให้เกียรติท่านที่อายุมากและเป็นผู้อาวุโส แต่หากท่านเป็นเพียงคนแก่อายุมากและไร้มายาทเช่นนี้ ข้าคงจะไม่จำเป็นต้องให้เกียรติเรียกท่านเช่นนั้นอีกต่อไป เรียกแค่ชื่อของท่านก็คงจะเพียงพอแล้ว”

“เหอะ! เอาเถอะ คิดว่ากลัวหรือไง ข้าไม่สนใจหรอก!” แม่เฒ่าซูที่โดยปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมาสั่งสอนเท่าไรเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อมีคนมาปฏิบัติตัวกับนางเช่นนี้

หญิงชราเท้าสะเอวยืนปะทะหน้ากับฉีเฉิงเฟิงอย่างไม่ลดละพร้อมกับส่งสายตาจ้องเขม็งไปยังเขาด้วย ทำให้ผู้คนรอบ ๆ ต่างมาล้อมวงดูเหตุการณ์อย่างสนใจ