ตอนที่149 เข้าเรียน
ไม่นานหลังจากที่จ้าวเฉียนออกมา เขาก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อเขาดังมาแต่ไกลจากข้างถนน พอเหลียวหลังเงยออกไปก็พบว่าเป็นจางหยางกับหวังเฉียงที่กำลังขับรถออกมาด้วยกันฃ
“จ้าวเฉียน ไม่ใช่ว่านายต้องอยู่ในบริษัทหัวโหย้วหรอกเหรอ? ทำไมถึงมาเที่ยวเล่นอยู่ที่พิพิภัณฑ์สัตว์น้ำได้?”
จางหยางเอ่ยถามพร้อมสีหน้ารังเกียจ
หวังเฉียงยิ้มและกล่าวเสริมต่อไปว่า
“ผู้จัดการจาง นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? เขาแอบออกมาเที่ยวเล่นโดยอ้างว่าทำงานนี่ไงครับ! ความผิดนี้ของนายเตรียมจบไม่สวยได้เลย! ไม่ว่าใครจะช่วยแก้ตัวยังไงหลักฐานก็คาหนังคาเขา! นายโดนไล่ออกแน่นอน!”
จ้าวเฉียนขี้เกียจมาเสวนากับคนพวกนี้ จึงตัดคำพูดอีกฝ่ายกล่าวสวนกลับไปว่า
“แล้วพวกคุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่ ออกมาเที่ยวอาบอบนวดโดยอ้างว่าอยู่ในระหว่างทำงานเหรอครับ?”
จ้าวเฉียนพูดติดตลกกลับไป
สีหน้าของจางหยางแดงก่ำขึ้นในทันใด เขาตำหนิออกไปทันทีว่า
“ระวังคำพูดของตัวเองหน่อย ฉันแต่งงานแล้ววนะ ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปจนถึงหูฟางนี่เข้า มีหวังความสัมพันธ์ระหว่างพวกฉันคงพังแหง! แล้วนายจะมีตราบาปติดตัวไปชั่วชีวิต!”
จ้าวเฉียนหัวเราะเอ่ยตอบไปว่า
“ฮ่าฮ่า….ผู้จัดการจางเป็นคนตลกดีนะครับ ผมรู้ว่าคุณคงไม่คิดเรื่องแบบนี้แน่นอน แต่ระหว่างอย่าให้รองผู้จัดหารหวังพาไปเสียคนก็แล้วกันนะครับ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ได้อาจเลวร้ายเกินคาดคิด”
หวังเฉียงตะคอกสวนตอบไปทันที
“จ้าวเฉียน! พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันห่ะ? ระวังคำพูดตัวเองให้ดีเถอะ ตัวนายนั้นแหละที่ควรระวังให้ดีจำไว้!!”
จ้าวเฉียนโบกมือปัดพลางหัวเราะอีกคราว และกล่าวต่อไปว่า
“เอาน่า เอาน่า ฉันแค่หยอกเล่นเฉยๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอก จะว่าไปแล้วขับรถออกมาทำอะไรกันครับ?”
หวังเฉียงเอ่ยตอบไปตามจริงว่า
“ผู้จัดการจางกับฉันกำลังจะไปดิลกับบริษัทอื่นน่ะ ตราบเท่าที่ดิลสำเร็จ ผลกำไรรอบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าบริษัทซิงหยวนที่นายไปดิลได้แน่นอน!”
“โอ้! งั้นขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ! ผมจะรอไปงานเลี้ยงฉลองเลย ฮ่าฮ่า…ทางผมเองก็จะพยายามเต็มที่ครับ”
จ้าวเฉียนกล่าวตอบกลับไปด้วยความจริงใจ
“ไม่ว่านายจะคิดยังไง แต่ครั้งนี้ฉันต้องชนะนายให้ได้! ฉันแค่ต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า บริษัทของฉันอยู่ได้โดยไม่มีนาย!”
จางหยางยืดอกกล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจ
จ้าวเฉียนได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาไม่เคยเห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตัวเขาเลย อวยพรต่อไปพวกเขาก็คงไม่รับฟังจริงไหม?
“โอเคครับ งั้นผมไม่รบกวนแล้ว”
จ้าวเฉียนโบกมือลาพวกเขาและเดินกลับที่จอดรถไป
จางหยางและหวังเฉียงแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีชัย
“ฮ่าฮ่า…คงตลกน่าดู เวลาตอนที่เห็นมันผิดหวัง!”
หวังเฉียงจ้องมองแผ่นหลังของจ้าวเฉียนที่ค่อยๆเคลื่อนออกไป
จางหยางเองก็หัวเราะเช่นกัน เขากล่าวเสริมว่า
“เขาหลงตัวเองมามากเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ทำให้เขาตื่นจากฝันสักที!”
“ฮ่าฮ่า…”
ทั้งสองระเบิดหัวเราะอย่างสนุกสนาน บรรยากาศกลิ่นอายภายในรถอบอวลไปด้วยความสุข
เหลียวเซียวหยนุที่เห็นจ้าวเฉียนหยุดคุยกับรถข้างทาง ด้วยความสงสัยเธอจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“เมื่อกี้นายไปคุยกับใครมา?”
“เจ้านายฉันน่ะ เขาเข้าใจผิดคิดว่าฉันแอบมาเที่ยวระหว่างทำงาน ก็เลยโดนดุยกใหญ่เลย พวกเรากลับกันเลยไหม?”
จ้าวเฉียนเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งสงบ
เหลียวเซียวหยุนรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด และรีบขอโทษไปว่า
“ฉันขอโทษ ที่ทำให้นนายโดนด่า แต่ไม่กังวลพรุ่งนี้มาเจอที่บริษัทเก้าโมงเช้า ฉันจะช่วยคุณให้ดิลผ่านได้แน่นอน!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า
“โอเค ผมเชื่อใจคุณนะ พรุ่งนี้พบกันที่บริษัทตอนเก้าโมงเช้า งั้นวันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”
เหลียวเซียวหยุนรีบหยุดเขาไว้ทันทีและกล่าวว่า
“อย่าเพิ่งไป…ไหนๆวันนี้พวกเราก็ออกมาด้วยกันแล้ว จะกลับไปทั้งแบบนี้ก็แปลกๆอยู่นะ อืม…อย่าเพิ่งกลับไปเลยได้ไหม?”
จ้าวเฉียนถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างจนใจและเอ่ยถามไปว่า
“แล้วจะไปไหนต่อ? ถ้าไปอยู่กับพวกนั้นอีก ผมไม่เอาแล้วนะ!”
เหลียวเซียวหยุนโบกมือปัดพลางส่ายหน้า
“ไม่ไม่ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่กับเจ้าพวกนั้นแล้วเหมือนกัน ฉันต้องกลับไปเรียนคาบบ่ายน่ะ ไปมหาลัยกับฉันที”
มหาลัยคงเป็นสถานที่ที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเช่นกัน
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบตกลงไป จากนั้นก็ตามเธอไปยังมหาวิทยาลัยตู๋ไห่
แต่อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนคิดง่ายเกินไป มหาลัยนี่แหละคือแหล่งแบ่งแยกชนชั้นอย่างดี รวมไปถึงสถานที่รวมปัญหาการดูถูกกลั่นแกล้งชั้นเยี่ยม
ภายในมหาวิทยาลัยมีการแบ่งแยกระหว่างนักเรียนจนกับรวยอย่างชัดเจน แต่การแต่งการของจ้าวเฉียนเองก็ดูเป็นเพียงพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป กล่าวได้ว่ามองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าจน เขากับเหลียวเซียวหยุนเดินเข้าไปในตัวอาคารด้วยกัน ซึ่งนี่ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันใด
“บัดซบ! เทพธิดาของฉันมีแฟนแล้วอย่างงั้นน่ะเหรอ! ฉันคงไม่มีโอกาสแล้ว?”
“ไม่มีโอกาสตั้งแต่แรกแล้วแกน่ะ! เธอหัวสูงซะขนาดนั้นจะไปมองนายเพื่ออะไร?”
“แล้วไอ้หมอนี่มันดีกว่าฉันตรงไหน?”
“เห้ออ…ไม่เคยดูเรื่อง Beauty and the Beast เหรอ? เจ้าหญิงผู้แสนงดงามคู่กับสัตว์ป่า! นางฟ้าของพวกเรากลับตกบ่อโคลนไปซะแล้ว…”
สุ้มเสียงสนทนาของบรรดานักศึกษา ดังแทงเข้าหูของจ้าวเฉียนเต็มๆ เขาสะกิดแขนเหลียวเซียวหยุนเล็กน้อยและเอ่ยกระซิบถามไปว่า
“นี่เธอเป็นดาวมหาลัยรึไงกัน! ทำไมนผู้ชายถึงได้สนใจเธอมากขนาดนี้?”
เหลียวเซียวหยุนกล่าวด้วยสีหน่ารังเกียจว่า
“โดยพื้นฐานมหาลัยแห่งนี้มีเด็กที่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดามากกว่า ดังนั้นเด็กที่มาจากตระกูลร่ำรวยอย่างฉันจึงเป็นจุดเด่นเป็นธรรมดา มีน้อยคนที่สามารถเดินเคียงข้างกับฉันแบบนี้ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสอบเข้ามหาลัยแห่งนี้ได้ ถ้าไม่รู้จักถ่วงดุล มันก็ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ที่คนรวยใช้รังแกคนจน!”
จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปพร้อมแววตาเจือรังเกียจเช่นกัน
เหลียวเซียวหยุนดูท่าจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา โดยเธอกล่าวตอบไปว่า
“คนรวยรังแกคนจน? นี่มันไม่ใช่นวนิยายนะ นายมองทุกอย่างโลกสวยขนาดนี้เลยรึเปล่า? สังคมในปัจจุบันมันได้หล่อหลอมผู้คนจนเคยชินไปแล้ว รวมไปถึงเรื่องคนรวยมีสิทธิ์พิเศษมากกว่าคนจน เรียกได้ว่าพบเห็นเป็นประจำจนชินตาไปแล้วล่ะ ชีวิตใครใครก็รัก ถ้าเป็นฉัน ฉันคงเลือกคบเพื่อนที่มีฐานะใกล้เคียงกันน่ะ”
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องสมุด จ้าวเฉียนปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีกต่อไป แจ่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมานั่งอ่าน
ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มประมาณสามถึงสี่คนเดินเข้ามา และหนึ่งในนั้นก็ดูเหมือนกับว่าจะเป็นทายาทเศรษฐีมีเงินไม่น้อยเช่นกัน และชายหนุ่มอีกสองสามคนที่อยู่ด้านหลัง น่าจะเป็นลูกน้องของเขา
“เสี่ยวหยุน ไอ้หมอนี่เป็นใคร?”
ฟู่เอ๋อร์ตวาดถาม
เหลียวเซียวหยุนไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองอีกฝ่าย และเอ่ยตอบเจือน้ำเสียงรำคาญไปว่า
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?”
“ฉันตามจีบเธอก็นานแล้วนะ แต่เธอไม่แลฉันเลยด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าไอ้เวรนี่คือแฟนเธอ?!”
ฟู่เอ๋อร์ตวาดซ้ำอีกระลอกด้วยความโกรธ
“ฟู่เอ๋อร์ นี่ฉันบอกนายไปหลายครั้งแล้วนะว่า ฉันไม่สนใจนาย! จะไปไหนก็ไป นี่แฟนใหม่ฉันเอง มีปัญหารึไง?”
เหลียวเซียวหยุนสวนตอบกลับไปอย่างไม่แยแส
ฟู่เอ๋อร์ชะงักค้างในทันใด และเอ่ยถามขึ้นว่า
“ถ้าจะมีอแฟนทั้งทีก็หาคนที่ดีกว่าฉันให้ได้สิ! ไม่ใช่เอาขอทานจากไหนไม่รู้มาควงแขน! เธอตาบอดไปแล้วรึไง!!”
จ้าวเฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดอันแสนน่ารังเกียจของอีกฝ่าย แต่อย่างไรเขาก็ยังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างไม่ได้สนใจอะไร
เหลียวเซียวหยุนตอบกลับไปว่า
“แล้วคนอย่างนายมีสิทธิ์อะไร? ตราบเท่าที่ฉันชอบ ต่อให้เขาเป็นขอทานจริงๆฉันก็ยังรักเขา ส่วนนายต่อให้ร่ำรวยแค่ไหน มันก็ไม่มีค่าให้ฉันเหลียวมองด้วยซ้ำ!”
เหลียวเซียวหยุนกล่าวน้ำเสียงเข้ม แต่ลึกๆแล้วเธอจงใจยั่วให้ฟู่เอ๋อร์มีเรื่องกับจ้าวเฉียน
เห็นเหลียวเซียวหยุนดูเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาแบบนี้ แต่ความจริงแล้วภายในใจเธอกลับเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมไม่ใช่น้อยเลย เธอขอให้จ้าวเฉียนมามหาลัย เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอคือ ต้องการยืมมือเขาจัดการกับหู่เอ๋อร์ที่ตามตื้อเธอมาโดยตลอด
แน่นอนว่าฟู่เอ๋อร์ไม่พอใจอย่างมากที่ถูกเหลียวเซียวหยุนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าไปที่จ้าวเฉียนทันที
“พี่ชาย ออกมาคุยกันหน่อย!”
ฟู่เอ๋อร์ทักจ้าวเฉียนน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง
จ้าวเฉียนเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือต่ออย่างเฉยเมย เขากล่าวตอบไปแค่ว่า
“ผมไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น มีอะไรก็พูดมาตรงนี้เลย”
“เหอะ เหอะ…กลัวผมลากไปกระทืบเหรอไงครับ?”
ฟู่เอ๋อร์เอ่ยถามเชิงยั่วยุ
จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุปากอย่างเย้ยหยัน และตอบไปว่า
“ผมกลัวว่าจะพลั้งมือกระทืบคุณจนสาหัสมากกว่า ขี้เกียจขึ้นโรงพักน่ะ เข้าใจพี่ด้วยนะไอ้หนู”
ฟู่เอ๋อร์พยักหน้าเจือหัวเราะเยาะคำหนึ่ง เขากล่าวขึ้นตามตรงไปว่า
“จะบอกเลิกเธอตรงนี้หรือจะให้เรื่องมันจบลงที่โรงพยาบาล?”
“พูดจริงเหรอ? มีปัญญาทำอะไรผมได้?”
สายตาของจ้าวเฉียนยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้า แต่น้ำเสียงที่เปล่งดังออกไปกลับเต็มไปด้วยความสมประมาท
ฟู่เอ๋อร์รู้สึกได้ทันที ตอนนี้มีหลายคนกำลังเฝ้ามองภาพฉากดังกล่าวอยู่ และถ้าเขาไม่เคลื่อนไหวอะไรตอบโต้กลับไป เขายังจะเหลือหน้าอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ได้อย่างไร?
“มึงตาย!”
ฟู่เอ๋อร์สบถเสียงดังสนั่น มือขวากระชับกำปั้นซัดไปที่จ้าวเฉียนสุดแรงเกิด