ตอนที่148 พบหน้า
คำถามของเจียงหลี่หลินทำเอาทุกคนหยุดหัวเราะในทันใด การขี่หลังวาฬแบบนั้นขอได้ยากกว่าการสัมผัสตัววาฬไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
แล้ว…จ้าวเฉียนทำได้ยังไงกัน?
ในเวลานั้นเอง หยางหมิงคลี่ยิ้มบางกล่าวขึ้นว่า
“เธอเข้าใจเขาผิดไปนิดหน่อยน่ะ ที่จริงแล้วเจ้านั่นไม่ได้ยากจนอะไรขนาดนั้นหรอก แถมยังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ก็เลยนำเงินมาลงกับบริษัทที่ตัวเองทำงานเพื่อขึ้นเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ก็เลยพอมีเงินก้อนติดตัวบ้าง ที่ครั้งนี้สามารถทำให้เหลียวเซียวหยุนขึ้นขี่วาฬได้คงใช้เงินจำนวนไม่น้อย ส่วนครูฝึกคนนั้นคงได้เงินไปเยอะพอตัว ไม่อย่างนั้นคงปล่อยให้เธอขี่วาฬไม่ได้แน่นอน”
เมื่อรับฟังสิ่งที่หยางหมิงกล่าวออกไป ทัศนคติของทุกคนที่มีต่อจ้าวเฉียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน ในทางตรงข้าม มันยิ่งทำให้พวกเขามองจ้าวเฉียนในแง่ลบ มีเงินเพิ่มขึ้นนิดหน่อยก็ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอ ทั้งอวดเบ่งและหยิ่งผยองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กังวลว่า ถ้าจ้าวเฉียนยัดเงินให้พวกเจ้าหน้าที่กับครูฝึกจริงๆ แสดงว่าทุกคนอาจไม่มีโอกาสได้สัมผัสวาฬแล้ว?
อวู่เฉียนเขย่าแขนหยางหมิงและกล่าวตื้อว่า
“หยางหมิง คุณลองไปถามเจ้าหน้าที่อีกรอบที สุดท้ายเราจะได้สัมผัสวาฬเบลูก้าจริงๆใช่ไหม?”
หยางหมิงพยักหน้าและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วง สิบนาทีต่อมทาเขาเดินกลับมาพร้อมความผิดหวังทั่วทั้งใบหน้า
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ทั้งหมดพลันขนลุกซูวในทันใด
“เป็นยังไงบ้าง? พวกนั้นบอกว่าอะไร?”
หยางหมิงจับจ้องไปทางอวู่เฉียนด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเบนสายตากวาดไปทางคนอื่นๆพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอบไปว่า
“พวกเขาบอกว่าไม่สะดวกที่จะให้พวกเราออกไปสัมผัสกับวาฬในเวลานี้ คราวหน้าเดี๋ยวผมขอให้ใหม่แล้วกัน”
“อะไรนะ!?”
ทุกคนต่างอุทานลั่น
อวู่เฉียนโกรธจัด เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“คราวหน้า? นี่มันหมายความว่ายังไง?! ฉันอยากจับมันวันนี้ ไม่ใช่ครั้งหน้า บอกกพวกนั้นไปว่า ฉันต้องได้สัมผัสมันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งให้พ่อทุบที่นี่ทิ้งไปซะ! หมอนั่นมันให้เท่าไหร่ ฉันจ่ายให้ได้มากกว่า!”
หยางหมิงกล่าวว่าอวู่เฉียนจะสติแตกหนักไปกว่านี้ เขาจึงเข้าโอบกอดเธอทันทีและพยายามปลอบโยนขึ้นว่า
“ใจเย็นๆก่อนนะ ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งหน้าเดี๋ยวผมพาเธอมาสองต่อสองเองเนอะ? ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ออกไปทานอาหารกลางวันกันดีกว่า พวกเจ้าหน้าที่กับครูฝึกเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน ไม่งั้นหลังกินข้าวเสร็จ เดี๋ยวผมไปคุยให้ใหม่ดีไหม?”
“ไม่! ฉันจะจับมันตอนนี้และเดี๋ยวนี้!! ไม่อย่างนั้นเหลียวเซียวหยุนที่รออยู่ข้างนอก ต้องหัวเราะเยาะฉันแน่นอน!!”
อวู่เฉียนแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น
คราวนี้เป็นคนอื่นๆที่รีบเข้ามาปลอบเธอเช่นกัน ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว พวกเขาเริ่มหิวกันเต็มแก่
“แต่ถ้าเหลียวเซียวหยุนรู้ว่า ฉันไม่ได้สัมผัสวาฬ เธอต้องหัวเราะเยาะฉันจนตาย! ฉันไม่มีทางปล่อยให้เธอหัวเราะเยาะฉันได้! ฉันไม่ยอม!”
หยางหมิงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้และลากอวู่เฉียนออกไปทั้งแบบนั้น และเสี้ยวจังหวะทีเผลอนั้นเอง เธอก็สะบัดมืออย่างแรงและวิ่งตรงออกไปเพื่อจับวาฬตัวนั้น
“เห้ย! คุณจะทำอะไร!? จะออกไปดีๆหรือต้องให้ผมเรียกรปภ.!!”
ครูฝึกที่กำลังเก็บข้าวเก็บข้าวตวาดขู่ทันที
หยางหมิงไม่พูดไม่จา วิ่งออกไปฉุดร่างของอวู่เฉียนออกมาราวกับผู้ปกครองห้ามเด็ก ก่อนจะลากออกไปตรงประตูทางออก
“ได้สัมผัสมันแล้ว เธอพอใจรึยัง?”
หยางหมิงเอ่ยกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิด
อวู่เฉียนเองก็สัมผัสได้เช่นกันว่าหยางหมิงในตอนนี้ไม่พอใจเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอยังคงกล่าวตอบอย่างดื้อรั้นว่า
“ไม่! ฉันไม่พอใจ! แต่อย่างน้อยเหลียวเซียวหยุนก็หัวเราะเยาะฉันไม่ได้แล้ว!”
หยางหมิงถอนหายใจเล็กน้อยเอ่ยถามไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราออกไปทานข้าวได้รึยัง?”
“อืม ไปกินข้าวกันเถอะ”
หลังจากอวู่เฉียนพูดจบเธอก็คลี่ยิ้มกว้างราวกับยกหินออกจากอก และกอดแขนหยางหมิงเดินตรงออกไป
คนอื่นๆล้วนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรและติดตามเธอออกไป
เมื่อพวกเขาออกจากเวทีแสดงโชว์สัตว์น้ำ อวู่เฉียนก็โทรหาเหลียวเซียวหยุนทันทีและเอ่ยถามขึ้นว่า
“เธออยู่ไหน?”
“กำลังกิน”
เหลียวเซียวหยุนตอบสวนกลับไปอย่างไม่แยแส พร้อมเสียงเคี้ยวดัง
“มันจะตายให้ได้เลยใช่ไหม กับแค่รอกินพร้อมพวกเรา? นั่งกินอยู่แถวไหน?”
อวู่เฉียนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ฟาสต์ฟู้ดแถวๆโซนการแสดงนั้นแหละ เรากินกันใกล้เสร็จพอดี พวกเธอนั้นแหละอยู่ไหน เดี๋ยวออกไปหา”
“ทางเข้าเวทีการแสดง รีบมาเลย!”
“โอเค!”
“แล้วก็…! เดี๋ยวก่อน!”
เหลียวเซียวหยุนตัดสายทิ้งในทันใด และนั่งดื่มเมล่อนโซดากับจ้าวเฉียนเพื่อเติมความสดชื่น ก่อนจะออกไปพบกับพวกอวู่เฉียนและคนอื่นๆ
เนื่องจากนี่เป็นเวลาเที่ยงตรง อากาศจึงค่อนข้างอบอ้าวและร้อนมาก อวู่เฉียนและคนอื่นๆยืนรอทั้งคู่จนเหงื่อแตก ทันทีที่เห็นเหลียวเซียวหยุนกับจ้าวเฉียนเดินเคียงคู่กันอย่างไม่รีบไม่ร้อนพร้อมกับเมล่อนโซดาแก้วเย็นในมือ ทุกคนต่างหัวเสียในทันใด
“นี่มันหมายความว่ายังไง? แล้วซื้ออะไรมาฝากพวกเราบ้าง?”
“เกินไปแล้วนะ แยกตัวออกไปทานข้าวก่อนคนอื่นเขา ทำไมไม่มากันส่วนตัวเลยล่ะ?”
“คราวหน้าฉันไม่ออกมากับเธอแล้ว!”
….
เหลียวเซียวหยุนแสร้งอุทานจอมปลอม และกล่าวตอบไปอย่างไร้เดียงสาว่า
“นี่เป็นเครื่องดื่มที่ทางร้านฟาสต์ฟู้ดให้มาน่ะ ฉันรู้ว่าพวกเธอทุกคนมีรสนิยมที่สูงขนาดไหน คงกินของจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชั้นต่ำไม่ได้หรอกจริงไหม? แล้วเป็นยังไงบ้าง? ได้สัมผัสวาฬเบลูก้ารึยัง?”
คนอื่นๆรู้สึกละอายใจและกระดากปากเกินจะตอบ มีเพียงอวู่เฉียนที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและตอบกลับไปว่า
“ไร้สาระ! คิดว่าคนอย่างฉันน่ะเหรอจะไม่มีปัญญาลงไปสัมผัสมัน? หยางหมิงพาฉันลงไปสัมผัสกับตัว ไม่เชื่อถามพวกเขาสิ! จริงไหม!!”
ทุกคนต่างคลี่ยิ้มแห้งอย่างเชื่องช้า พร้อมพยักหน้าตอบอย่างจนใจ
เหลียวเซียวหยุนหันไปจ้องจ้าวเฉียนด้วยสายตาราวกับมีไฟถาโถมท่วมออกมา
“ไม่ใช่ว่านายบอกว่า เธอจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันแล้วไม่ใช่เหรอ? นายโกหกฉัน!”
จ้าวเฉียนหันไปจ้องอวู่เฉียนเขม็งพร้อมเอ่ยถามอย่างแช่มช้าว่า
“คุณได้สัมผัสมันจริงๆงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณแอบวิ่งไปจับมันโดยพละการ เพราะผมคุยกับเจ้าของที่นี่แล้ว เขารับปากว่าไม่อนุญาตห้ามพวกคุณแตะต้องมันเด็ดขาด”
อวู่เฉียนตื่นตระหนกอย่างยิ่งภายในใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียหย้า เธอจำต้องแสร้งปั้นสีหน้าสงบและกล่าวตอบไปว่า
“ตลกชะมัด! นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ทำไมคนอื่นต้องเชื่อฟังนาย? หยางหมิงเป็นถึงทายาทเฟยอวี่ กรุ๊ป คำพูดของเขาย่อมมีน้ำหนักมากกว่านายจริงไหม? หัดสำเนียกซะบ้าง!”
เดินทีจ้าวเฉียนไม่คิดที่จะสนใจอวู่เฉียนอยู่แล้ว แต่เธอล้ำเส้นเขามากเกินไปแล้ว ในเมื่อเธอหาญกล้าและมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ เขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่า หลังจากนี้เธอยังจะหยิ่งผยองได้แบบนี้อีกไหม
จ้าวเฉียนหยิบมือโทรศัพท์มือถือโทรออกไปหาเจ้าของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ทันที เพื่อขอให้อีกฝ่ายออกมาพบเขาโดยด่วน
ห้านาทีต่อมา เจ้าของพิพิธภัณฑ์ก็ถึงกับวิ่งออกมาหาด้วยตัวเอง
จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความโกรธว่า
“มีอะไรจะบอกกับผมไหม? ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า ห้ามให้ใครก็ตามสัมผัสวาฦเบลูก้าเด็ดขาด แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?”
“ไม่นะครับ! ผมแจ้งเรื่องนี้ให้กับเจ้าหน้าที่และครูฝึกทราบแล้ว พวกเขาไม่มีทางขัดคำสั่งแน่นอน! เพื่อคาวมสบายใจของคุณชายจ้าว ผมจะรีบโทรถามพวกเขาโดยด่วนครับ!”
เจ้าของพิพิธภัณฑ์เอ่ยตอบด้วยความเคารพ
สามสิบนาทีต่อมา บรรดาครูฝึกและเจ้าหน้าที่ดูแลในส่วนนั้นก็วิ่งกรูกันเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
เจ้าของพิพิธภัณฑ์บ่นตำหนิทันทีว่า
“มีอะไรจะสารภาพไหม! ที่ผมสั่งไปมันเหมือนสั่งขี้มูกรึไง! ผมกำชับไปแล้วว่า ห้ามให้ใครแตะต้องวาฬตัวนั้นไม่ใช่เหรอ!!”
“เจ้านายครับ พวกเราห้ามไม่ให้คนพวกนั้นสัมผัสแล้วจริงๆ แต่เธอคนนี้กลับใช้จังหวะทีเผลอ แอบวิ่งไปสัมผัสมันครับ”
“ใช่ครับ! เรากำลังเก็บข้าวเก็บของกันอยู่ แต่จู่ๆเธอคนนี้ก็วิ่งผ่านด้านหลัง ฉวยโอกาสนั้นแตะตัววาฬ ถึงพวกเราอยากจะหยุดเธอ แต่ก็สายเกินไปแล้ว ก็เลยตะโกนขู่ไปว่าจะเรียกรปภ.ให้มาลากตัวออกไป”
ทั้งจ้าวเฉียนและเหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะลั่นออกมาในทันใด
จ้าวเฉียนโบกมือปัดและบอกไปว่า ครั้งนี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ดังนั้นเขาจะไม่เอาผิดใดๆ และปล่อยให้เจ้าของและบรรดาครูฝึกกลับไปพักผ่อนตามสะดวก
ทั่วทั้งใบหน้าของอวู่เฉียนในขณะนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างยิ่ง เธอแทบอยากจะดำดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตั้งแต่เด็กจนโต เธอไม่เคยพบเจอเรื่องน่าอับอายขนาดนี้มาก่อน!
เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน และหันมาพูดกับอวู่เฉียนว่า
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง เสแสร้งทำตัวหัวสูง แต่สุดท้ายกิริยามารยาทกลับต่ำทรามสิ้นดี ฮ่าฮ่าๆๆ…ฉันหัวเราะจนจะตายแล้วเนี่ย! ขอโทษนะที่เคยคิดว่าเธอจะมาเป็นคู่แข่งฉันได้ สุดท้ายก็พวกคุณหนูกำมะลอ สันดานเสียคนหนึ่งเท่านั้น จ้าวเฉียน ฉันเบื่อที่จะอยู่กับพวกโง่เหล่านี้แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ ฮ่าฮ่าๆๆ…”
เหลียวเซียวหยุนควงแขนจ้าวเฉียนและจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ
อวู่เฉียนกรี๊ดลั่นดังสนั่น เธอกระทืบเท้าอย่างแรงซ้ำๆไปมาด้วยความโกรธจัด แต่ไม่ว่ายังไงเธอกลับไม่สามารถหาที่ระบายออกไปได้เลย ส่วนคนอื่นๆเองก็ไม่มีอารมณ์กินข้าวกับเธอแล้วเช่นกัน เพราะอายเกินกว่าจะแบกหน้ามองคนอื่นไหว แต่ละคนจึงหาข้อแก้ตัวและขอตัวกลับในทันที
อวู่เฉียนสวมกอดหยางหมิงแน่น เธอระเบิดน้ำตาออกมาทันที ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก ทางด้านหยางหมิงก็ลูบหลังเธออย่างแผ่วเบาและกล่าวปลอบโยนไปว่า
“อย่าร้องไห้ไปเลย อย่าร้องไห้เลย…นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย หากในอนาคตบริษัทของผมเติบโตขึ้นไปกว่านี้ ในวันนั้นผมจะล้างแค้นให้คุณเอง”
“แล้วจะทำยังไงให้บริษัทคุณเติบโตขึ้นล่ะ?”
อวู่เฉียนเอ่ยถามอย่างโง่เขลา
“แน่นอน ถ้าผมมีเงินทุนมากกว่านี้เพื่อขยายขอบเขตของบริษัท ทุกอย่างจะต้องเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขอเพียงมีธนาคารสักแห่งให้กู้ตราสารเท่านั้น เธอคิดเห็นว่ายังไง”
อวู่เฉียนไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอสามารถแยกแยะได้ทันทีว่า สิ่งที่หยางหมิงพูดในขณะนี้มันหมายความว่าอย่างไร
“ได้เลย! ทันทีที่กลับไป ฉันจะขอร้องให้พ่อปล่อยเงินกู้ให้คุณในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด! คุณต้องตั้งใจทำงานให้หนักและกลับไปค้างแค้นมัน เอาให้พวกมันทั้งคู่กลายมาเป็นขอทานข้างถนนไปเลย!!”
อวู่เฉียนกรนด่าสาปแช่งด้วยแววตาแสนเหี้ยมโหด
ในที่สุดกลอุบายของหยางหมิงก็บรรลุผล เขาตบอกตัวเองด้วยความมั่นใจและเอ่ยปากสัญญาว่า
“ไม่มีปัญหา ผมสาบานเลยว่า ตราบเท่าที่ผมมีเงินมากพอ ถึงเวลานั้นผมจะต้อนให้มันไม่เหลืออนาคตเลย!”
อวู่เฉียนยิ้มแย้มออกมาได้ในทันที เธอกระโดดกอดหยางหมิงอีกครั้ง
หยางหมิงแอบแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีชัย หลังจากเขากลายมาเป็นมหาเศรษฐีได้เมื่อไหร่ เขาจะเหยียบจ้าวเฉียนให้จมดิน!