ตอนที่ 105 อัจฉริยะหรือจะสู้คนมีความสามารถ (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 105 อัจฉริยะหรือจะสู้คนมีความสามารถ (1)

หอพักบุคคลากรโซนหนึ่ง

ถึงจะกล่าวว่าหอพัก แต่ความจริงกลับเป็นบ้านพักหรูหรา!

บ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่เรียงราย แทบจะไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหอพักโดยสิ้นเชิง

บ้านพักหลังที่แปด

ตอนที่ฟางผิงเคาะประตู หลู่เฟิ่งโหรวก็มาเปิดให้ด้วยตัวเอง

หรือจะพูดอีกอย่างว่าบ้านพักทั้งหลังนี้มีหลู่เฟิ่งโหรวอาศัยแค่คนเดียว

หลู่เฟิ่งโหรวเห็นฟางผิงกลับไม่ได้ตกใจอะไร เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “มาแล้วสินะ”

“ครับ อาจารย์ ผมอยากจะ…”

“ทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์?”

หลู่เฟิ่งโหรวตัดบทเขา หมุนกายว่า “เข้ามาเถอะ”

ระหว่างที่พูดไม่คิดจะสนใจฟางผิงสักนิด เดินตัวปลิวเข้าไปในห้องรับแขก ก่อนจะหย่อนตัวพิงโซฟาดูทีวีต่อ

ฟางผิงยืนอยู่หน้าประตูทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง อยากจะถอดรองเท้า กลับพบว่าไม่มีรองเท้าสำหรับใช้ในบ้านให้เปลี่ยนสักคู่!

หลู่โหรวเฟิ่งหมายความว่าอะไรกัน?

หรือไม่ได้คิดจะต้อนรับแขก?

“เข้ามา ไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้า”

หลู่เฟิ่งโหรวเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังหาอะไรอยู่ จึงตะโกนบอกตรงๆ

ฟางผิงทำได้เพียงเดินเข้ามาในห้อง

“ปราณหยุดเพิ่มแล้ว?”

“หลังจากถึงขีดจำกัดของการหลอมกระดูกครั้งที่สาม ก็หยุดที่สองร้อยเก้าแคลมาตลอด”

“ไม่ต่างจากที่ฉันคิดไว้เท่าไหร่ สามารถสั่งสมปราณถึงสองร้อยเก้าแคลในขณะที่ยังเป็นคนธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเรื่องโอกาสด้วย แต่มันก็เท่านั้น ต่อให้จะแข็งแกร่งแค่ไหนยังเป็นเพียงคนธรรมดา ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายมาสักคน นายคงไม่อาจรับมือได้ ฉันหมายถึงผู้ฝึกยุทธ์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ อย่าได้มองคนที่อยู่ในสังคมข้างนอกเป็นผู้ฝึกยุทธ์เชียว แค่พวกไร้ค่าที่มีดีแต่ปราณเท่านั้น!”

หลู่เฟิ่งโหรวดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมข้างนอกอย่างยิ่ง เห็นฟางผิงยืนอยู่เลยเอ่ยว่า “นั่งสิ”

ฟางผิงมองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งลงโซฟาด้านข้างเธอ

“เลือกทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์เป็นตัวเลือกที่ถูกแล้ว”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยนิ่งๆ “ว่าอย่างนี้แล้วกัน กระดูกในร่างกายของคนธรรมดา การหลอมกระดูกหนึ่งครั้งเท่ากับเพิ่มความแข็งแรงไปหนึ่งส่วน หลอมสามครั้งเท่ากับเพิ่มความแข็งแรงไปสามส่วน นี่หมายถึงทั่วทั้งร่างกาย หลอมกระดูกสามส่วนทั่วร่างยากขนาดไหน นายคงกระจ่างใจดี อยากจะหลอมต่อให้ถึงสี่ส่วน…แทบเป็นไปไม่ได้ แม้จะทำได้ ก็สิ้นเปลืองเวลาเกินไป!”

“แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นหนึ่งคงไม่เหมือนกันแล้ว สามารถเลือกได้ว่าจะเจาะจงส่วนไหน หลอมต่อไปได้ถึงเก้าส่วน! ตอนนี้นายหลอมกระดูกสามส่วนแล้ว หลังจากทะลวงขั้นหนึ่ง จะง่ายกว่าคนอื่นมาก ขอแค่หลอมต่อไปสักหกส่วนก็เพียงพอแล้ว”

ฟางผิงเห็นหลู่เฟิ่งโหรวพูดด้วยสีหน้าจริงจังเลยลังเลเล็กน้อย “ไม่ใช่หลอมให้ครบทุกส่วนหรอกเหรอครับ?”

“พูดตลกอะไรกัน!”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “การหลอมกระดูกมนุษย์มันง่ายขนาดนั้นที่ไหน? นายสามารถหลอมไขกระดูกตอนนี้ได้หรือไง? ผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสามลงไป หลอมแค่กระดูกชั้นนอกเท่านั้น เก้าส่วนถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว รอหลอมกระดูกทั้งหมดเสร็จแล้ว ถึงจะสามารถเปลี่ยนกระดูกได้ กระดูกส่วนสุดท้ายไม่ได้จำเป็นต้องหลอม เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงกระดูกโดยอัตโนมัติ! แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องของปรมาจารย์”

ฟางผิงคิดว่าตัวเองได้รับความรู้ไม่น้อย คำพูดลวกๆ ของผู้ฝึกยุทธ์กลับทำให้คนได้รับข้อมูลเป็นประโยชน์มากมาย

คนธรรมดาหลอมกระดูกหนึ่งครั้งเท่ากับหลอมกระดูกทั้งร่างไปหนึ่งส่วน

สามครั้งเท่ากับสามส่วน!

ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสาม เลือกหลอมกระดูกแขนหรือขา อย่างมากสุดหลอมได้ถึงเก้าส่วน จึงจะนับว่าหลอมกระดูกเสร็จสิ้นแล้ว

ส่วนการหลอมไขกระดูกต้องรอถึงระดับปรมาจารย์แล้ว ค่อยจะสามารถเปลี่ยนแปลงกระดูกได้

“นายหลอมกระดูกสามครั้ง ในอนาคตการฝึกวิชาในระดับต่ำกว่าขั้นสามจะพัฒนาได้ไว ทั้งความจริงไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับการหลอมกระดูกสามครั้งได้ อย่าเชื่อที่คนพวกนั้นบอกว่า ถ้ายอมสิ้นเปลืองทรัพยากร ก็สามารถบ่มเพาะจนหลอมกระดูกสามครั้งได้ เรื่องนี่ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน หากทำได้ง่ายๆ ขนาดนั้น แม้ทุกคนจะต้องเสียเวลาไปบ้าง คงเลือกหลอมกระดูกสามครั้งเพื่อประหยัดเวลาในอนาคตอยู่ดี”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นต้องพูดว่า อันที่จริงนายถือเป็นอัจฉริยะเหมือนกัน นายเคยคิดว่าฉันคล้ายจะละเลยอัจฉริยะอยู่บ้างหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ”

ฟางผิงส่ายหน้า “ฝึกวิชานั้นขึ้นอยู่กับตัวเอง อาจารย์เป็นแค่คนชี้แนะเท่านั้น ไม่ใช่พ่อแม่ของผม ผมคิดว่าไม่ได้มีอะไรไม่เหมาะสม”

“ฮ่าๆ คำพูดนี้ถือว่าถูกและไม่ถูกเช่นเดียวกัน”

หลู่เฟิ่งโหรวเอนตัวพิงโซฟาอย่างสบายๆ หยิบรีโมทขึ้นมาเปลี่ยนช่อง “หลายครั้งฉันคิดว่า การเป็นอัจฉริยะใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป อัจฉริยะมีหลายสิ่งที่ต้องการ ความกล้าต้องมากตาม ท่าทางมั่นใจค้ำฟ้านั้น คนประเภทนี้ส่วนมากจะมีจุดจบที่ตายไว! เป็นคนธรรมดาหน่อยจะดีกว่า ได้แก่ตาย ป่วยตาย สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่คนอัจฉริยะล่ะ? คนอื่นอยู่ขั้นหนึ่ง เขาอยู่ขั้นสาม คนอื่นยังกำลังเสวยสุขกับการใช้ชีวิต เขาต้องฝ่าฟันกับอันตรายแล้ว ทุกคนต่างอยู่ในช่วงวัยเยาว์ ไม่เคยเสวยสุข ไม่เคยใช้ชีวิตได้ดั่งใจ กลับมาตายลงแบบนี้ บางครั้งยังรู้สึกเสียดายแทนพวกเขา ส่วนฉัน ที่จริงไม่ใช่อัจฉริยะอะไร แต่ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย ไม่รับศิษย์มีพรสวรรค์ไว้สักหน่อย คงไปอวดใครที่ไหนไม่ได้ รู้หรืเปล่าทำไมศิษย์ของฉันถึงตายไว?”

ฟางผิงส่ายหัว ถึงจะรู้เขาคงไม่พูดอยู่ดี

“ฮ่าๆ เพราะพวกเขาเป็นอัจฉริยะไง! บางเรื่องฉันไม่ได้โกหกพวกนายจริงๆ อยู่กับฉัน มียาบำรุงให้พวกนายใช้ มีภารกิจเยอะแยะ ทั้งการพัฒนาที่ก้าวกระโดด ดังนั้นศิษย์ของฉันเลยทะลวงขั้นได้เร็วกว่า จึงกลายเป็นว่า คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่ไร้เทียมทาน ทำได้ทุกเรื่อง ภารกิจที่คนอื่นไม่กล้ารับ พวกเขาอาสา! ภารกิจที่คนอื่นไม่กล้าเสี่ยงอันตราย พวกเขายินดีไป! ท้ายที่สุดก็ตาย! แต่จำต้องยอมรับจุดนี้ ในหมู่ลูกศิษย์ของฉัน มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามมากที่สุด หลายปีมานี้ นอกจากนายและจ้าวเสวี่ยเหมย ฉันรับศิษย์ไปสิบสองคน สิบเอ็ดคนในนั้นอยู่ขั้นสาม…ยังมีอีกคนที่อยู่ขั้นสี่! ตอนนี้ขั้นสี่ตายไปแล้ว ขั้นสามตายไปอีกสามคน ยังมีสามคนที่ได้รับบาดเจ็บหนัก”

“ฉันให้พวกเขาลาออกไปใช้ชีวิตอย่างสบายๆ พวกเขาก็ไม่ยินยอม ยังคิดจะสู้ต่อ ฉันเลยไม่สนใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ ตอนนี้ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งหมดห้าคน ไม่นับรวมพวกนายอีกสองคน ห้าคนอยู่ในขั้นสาม สี่คนกำลังพรางตัวอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีคนตายหรือเปล่า ยังมีอีกคนอยู่ในมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาหญิง ภายหลังนายมีปัญหา ถ้าฉันไม่อยู่ นายไปขอให้เธอช่วยสอนได้ มีความรับผิดยิ่งกว่าอาจารย์บางคนซะอีก เดี๋ยวฉันจะเอาเบอร์ให้นาย นายติดต่อเธอเองแล้วกัน”

หลู่เฟิ่งโหรวไม่คิดปิดบัง ทั้งไม่มีอะไรต้องปิดบัง เล่าเรื่องราวลูกศิษย์ของตัวเองให้ฟางผิงฟังทั้งหมด

ก่อนจะเอ่ยว่า “หากนายอยากมีชีวิตยืนยาวหน่อย ก็ตัดสินด้วยตัวเองเถอะ ฉันไม่ใช่แม่นาย ตักเตือนนั้นได้ แต่จะให้ฉันขัดขวางนาย คงเป็นไปไม่ได้ อย่างมากนายตายแล้ว ฉันช่วยได้แค่แย่งชิงผลประโยชน์และเงินชดเชยให้ครอบครัวนายเท่านั้น แต่ละคนต่างคิดว่าตัวเองเก่งกาจเป็นอัจฉริยะ ยกยอไม่กี่คำก็เชื่อตัวลอยแล้ว”

“แต่ฉันว่านายเหมือนจะกลัวตายไม่ยอก เมื่อวานตอนแบ่งสาขา สุดท้ายยังขอยกธงยอมแพ้ ที่จริงน่าสนใจไม่น้อย”

หลู่เฟิ่งโหรวเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก “ผู้ที่เข้าใจสถานการณ์คือคนฉลาด คำพูดนี้บางครั้งก็มีประโยชน์ แน่นอนว่าไม่ใช่ให้นายขี้ขลาดตาขาว แต่ต้องมองภาพรวมให้กระจ่าง เวลาที่ควรแย่งชิง ต้องแย่งชิง เหมือนก่อนหน้านี้นายแย่งชิงถึงได้คะแนนกลับมามากมาย! เวลาที่ไม่ควรสู้ สุดท้ายต้องสู้จนตายกันไปข้าง นั่นมีความหมายหรือไง?”

ฟางผิงพยักหน้า ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ ผมได้ยินว่า…”

“พูดมา!”

“ผมได้ยินว่าเพราะรุ่นพี่หวังจินหยาง…”

——————