บทที่ 313: เพื่อหาความจริง
หลินฮั่นคว้าตัวฉินเย่เอาไว้ เกิดอะไรขึ้น ? นี่อีกฝ่ายจะเป็นลมจริง ๆ น่ะเหรอ ? เขาคงจะตื่นเต้นมากแน่ ๆ …เอาล่ะ ทีนี้อีกฝ่ายจะได้เรียนรู้เสียทีว่ามีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่พยายามแทบตายเพื่อให้ได้เป็นเพื่อนกับเขา ดังนั้นมันถูกแล้วที่ฉินเย่จะมีปฏิกิริยาแบบนี้
“ผมเป็นใคร…” ฉินเย่พยายามลืมตาขึ้น เลือดของเขาเย็นเฉียบขณะที่มือยังคงจับคอของหลินฮั่นแน่นและพึมพำออกมาอย่างเหม่อลอย “นี่ผมอยู่ที่ไหน…”
เพี้ยะ ! เพี้ยะ ! หลินฮั่นตบแก้มฉินเย่ไปสองครั้ง “เป็นไง ?”
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็เปลี่ยนจากลูกสุนัขที่แสนไร้เดียงสาเป็นสุนัขที่ดุร้าย เขาจับคอของหลินฮั่นแน่นกว่าเดิมก่อนจะกระแทกเข่าไปที่หว่างอกของอีกฝ่ายก่อนจะผลักคนร่างใหญ่ติดผนัง หลินฮั่นสบถออกมาเสียงเบา “ทำบ้าอะไรเนี่ย…”
เขางอตัวทันที ใบหน้าเข้มขึ้นและมองฉินเย่ด้วยสายตาราวกับต้องการจะต่อว่า
“เปลี่ยนมันกลับเป็นเหมือนเดิมซะ !!” ฉินเย่กัดฟันกรอดขณะที่เขายังคงเขย่าคอของหลินฮั่นอย่างดุร้าย “ไปเปลี่ยนมันกลับเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้ !”
หลินฮั่นกำลังจะนวดช่วงล่างของตนเพื่อบรรเทาความเจ็บเมื่อหางตาของเขาสังเกตเห็นว่าฉินเย่เตรียมจะตีเข่าเข้ามาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงรีบยกมือขึ้นเพื่อป้องกันทันที “หยุดนะ ! …ผมก็แค่หาทางช่วย มันไม่เป็นไรหากคุณจะไม่ขอบคุณกัน แต่คุณจะลงมือกับหลานชายตัวเองแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?!”
“หลานชาย ?!” ฉินเย่ก้มตามอง เพียงเพื่อที่จะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกัน เพราะฉะนั้นลูกชายของฉันก็เหมือนหลานชายของนาย ถ้านายทำข้างล่างของฉันพิการ นายก็จะไม่มีหลานชายอีกต่อไป…
สมเหตุสมผลมาก !
“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม… แต่ถ้าคุณไม่รีบไปเปลี่ยนมันกลับเป็นเหมือนเดิม ผมจะทำลายโอกาสของการมีหลานสาวด้วย !”
หลินฮั่นกระแอมออกมาเบา ๆ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น… หัวหน้าโจวได้เซ็นอนุมัติไปแล้ว…”
ฉินเย่คลายมือของตนออกในที่สุด
จากนั้นเขาก็เดินไปตามทางเดินอย่างไรชีวิตชีวาราวกับวิญญาณ เงยหน้ามองเพดานอย่างหมดหวัง “โอ้ สวรรค์… เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้กับข้า ? ทำไมข้าถึงถูกรายล้อมด้วยพวกโง่นี่…”
หลินฮั่นที่สัมผัสได้ว่าฉินเย่กำลังใกล้จะระเบิดเต็มทีก็รีบเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังก่อนจะกระซิบเสียงเบา “นี่ ทำไมไม่ลองคิดอีกแบบล่ะ การออกไปข้างนอกก็ไม่ต่างอะไรกับการไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ มันยังเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างครูศิษย์ด้วย ! ถ้าเป็นคนอื่นมาขออะไรแบบนี้ ผมไม่ให้หรอกนะ…”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอให้คุณเปลี่ยนมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม ?”
“ไม่”
ทันทีที่เอ่ยออกไป หลินฮั่นก็รีบถอยห่างออกมาจากเด็กหนุ่มสามเมตร “นอกจากนี้ หัวหน้าโจวบอกให้คุณไปที่ห้องทำงานของเขาหลังจากสอนเสร็จเพื่อพูดเกี่ยวกับการฝึกฝนต่อสู้จริงด้วย เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนละกันนะ บาย…”
สิ้นสุดเสียงพูด คนร่างใหญ่ก็พุ่งออกไปราวกับสายฟ้า และไม่ถึงเสี้ยววินาที เอกสารประกอบการสอนของฉินเย่ก็พุ่งตามร่างของอีกฝ่ายไปราวกับปังตอ ฝังเข้าในกำแพงที่หลินฮั่นเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้
เด็กหนุ่มทำการสอนของตนต่อด้วยสีหน้าจืดชืด เขาอ่านตามที่ตนได้เตรียมมา และมันก็คงไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่านี้อีกแล้ว
ตลอดทั้งคาบ เขามัวแต่คิดว่าตัวเองควรจะหั่นร่างของหลินฮั่นและขายมันให้กับเจ้าของร้านเป็ดอย่างไร แต่… นั่นก็ไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดอะไรพวกนี้ ! มณฑลคังเว่ย ! มันอยู่ห่างจากสามมณฑลทางตะวันออกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ! นี่มันไม่ต่างอะไรกับการจูบกับราชาผีพวกนั้นโดยมีแผ่นกระจกกั้นเลยสักนิด ! หลินฮั่นได้ฆ่าเขาจริง ๆ!!
เขาเดินเล่นหลังจากสอนเสร็จอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ห้องทำงานของโจวเซียนหลง
“มาแล้วหรือ ?” นี่คือห้องทำงานของโจวเซียนหลงไม่ผิดแน่ แต่มันกลับมีชายที่ดูธรรมดา ๆ อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามของโจวเซียนหลง ดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังหารืออะไรบางอย่างกันอยู่ ทันทีที่ฉินเย่เดินเข้าไปในห้อง ชายคนนั้นก็ส่งยิ้มให้เขาและพยักหน้าให้เล็กน้อย
อีกฝ่ายดูธรรมดา ธรรมดามากจนยากที่จะอธิบาย ลักษณะของเขาเองก็ไม่น่าจดจำ เขามีความสูงราว ๆ 1.75 เมตร และพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างก็อยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณเท่านั้น
“นั่งสิ” โจวเซียนหลงชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าของตน หลังจากที่ฉินเย่นั่งลง เขาก็เอ่ยอย่างตรงประเด็น “ผลการสอนของคุณช่วงนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ…”
“ทุกอย่างยังเรียบร้อยดีครับ ผมคิดว่าจะเพิ่มเนื้อหาบางส่วนเข้าไป แต่ยังหาตัวอย่างที่เหมาะสมไม่ได้ คาดว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้นหลังจากที่ผมหาทางออกได้แล้ว” ฉินเย่ตอบคำตอบที่เขาเตรียมเอาไว้สำหรับคำถามเหล่านี้ออกไป เพราะอย่างไรแล้วมันก็ไม่สำคัญว่าเทอมนี้เขาจะทำได้แย่เพียงใด ด้วยการตีพิมพ์เล่มวิจัยในเทอมที่แล้ว ทางสถาบันไม่มีทางไล่เขาออกอย่างแน่นอน
โจวเซียนหลงพยักหน้า “ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับการค้นหามุมมองที่ถูกต้อง แต่คุณก็ควรให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพวกนักเรียนด้วยเช่นกัน อาจารย์หลินทำได้ดีมากในเรื่องนี้ ตามผลตอบรับที่เราได้มา ดูเหมือนว่าช่วงนี้การสอนของคุณจะค่อนข้างแข็งทื่อ ดังนั้นนี่น่าจะเป็นโอกาสที่คุณอาจต้องการ”
เขาผลักกองเอกสารไปตรงหน้าของฉินเย่ “อย่างที่ผมเคยพูดก่อนหน้านี้ ที่สามมณฑลทางตะวันออกเกิดการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น และผู้อพยพจำนวนมากก็อพยพถิ่นฐานไปยังเมืองโดยรอบ มณฑลคังเว่ยเองก็เช่นกัน เมืองเยียนจิงและนครเทียนจินนั้นได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาจากสำนักงานใหญ่ของหน่วยสอบสวนพิเศษ ดังนั้นเราจึงไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับส่วนนั้น แต่มณฑลคังเว่ย ในอีกด้านหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบ และจำนวนการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติตลอดที่ผ่านมาก็ต่ำกว่ามาก อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้าไปอย่างกระทันหัน จำนวนการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติของที่นั่นจึงพุ่งสูงขึ้นในทันที ทางรัฐบาลท้องถิ่นได้ส่งคำร้องมายังหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้นผมจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสดีในการฝึกฝนทักษะของเหล่านักเรียนของเรา”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา หยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาและไล่ดูเนื้อหาทั้งหมด
เอกสารตรงหน้าแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าพลังหยินในมณฑลคังเว่ย ดัชนีค่าพลังหยินในบริเวณใกล้เคียงเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 19% เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติในพื้นที่โดยรอบถูกเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดาย มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
“หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ผมได้ตัดสินใจแต่งตั้งให้คุณเป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบในการฝึกฝนต่อสู้จริงครั้งแรก” โจวเซียนหลงเอ่ยต่อ “ความแข็งแกร่งของคุณนั้นสูงกว่าของหลินฮั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนที่ได้รับคำขอแลกของเขา ผมคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าคุณคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคนแรกสำหรับเรื่องนี้ วัตถุประสงค์และประวัติของนักเรียนที่จะถูกส่งไปยังการฝึกฝนแรกนี้ทั้งหมดรวมอยู่ในเอกสารชุดนี้ ศึกษามันให้ดี เราจะออกเดินทางกันอาทิตย์หน้า 5 โมงเย็น มีคำถามอะไรไหม ?”
“ครับ…” ฉินเย่กระแอมออกมาแห้งๆและมองโจวเซียนหลงด้วยสายตาคาดหวัง “เกี่ยวกับเรื่องนั้น… จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะบอกว่าผมอาจจะไม่สบายในช่วงนั้น…”
โจวเซียนหลงมองกลับด้วยสีหน้าที่ราวกับต้องการจะสื่อว่า คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ ? ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฉินเย่จะยอมแพ้และพยักหน้าอย่างจำยอม
และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเห็นประกายไฟแห่งความโกรธในแววตาของอีกฝ่าย
ให้ตายเถอะ… การฝึกฝนต่อสู้จริงจะเริ่มขึ้นในอาทิตย์หน้าแล้ว แต่คุณกำลังบอกผมว่าตัวเองอาจจะไม่สบายนะหรือ ? นี่คุณไม่เต็มใจรับภารกิจที่ถูกมอบหมายให้โดยรัฐและผมขนาดนี้เชียวหรือ ? นี่คุณกำลังไม่พอใจผม หรือไม่พอใจทางสำนักกันแน่ ?
ทำไมคุณถึงพยายามปัดความรับผิดชอบแบบนั้น ?
“อีกเรื่องหนึ่ง” โจวเซียนหลงชี้ไปยังชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่ “นี่หลี่จีสี่ ศาสตราจารย์พิเศษของสำนักฝึกตนแห่งแรก เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกครั้งนี้”
ฉินเย่มองชายข้างตนด้วยความประหลาดใจ คนที่ดูธรรมดาขนาดนี้กลายเป็นศาสตราจารย์พิเศษได้อย่างไรกัน ? แล้ว… เขาจะต้องโด่งดังและมีชื่อเสียงขนาดไหนกันถึงได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ทั้ง ๆ ที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ ?
แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถาม แต่ฉินเย่ก็ยังยื่นมือออกไปและแย้มยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย “ฉินเย่ อาจารย์ผู้สอนของสำนักฝึกตนแห่งแรกครับ หวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากคุณนะครับ”
“ที่จริงมันควรจะเป็น ‘อาจารย์ดีเด่น’” โจวเซียนหลงเอ่ยแทรกขึ้น “คะแนนการสอนสะสมของคุณในภาคการศึกษาที่ผ่านมาทำให้คุณมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้รับตำแหน่งอาจารย์ดีเด่น พวกเราส่งเอกสารในนามของคุณไปแล้ว และมันก็น่าจะได้รับอนุมัติภายในหนึ่งเดือน”
หลี่จีสี่ยิ้มตอบและจับมือฉินเย่ “หลี่จีสี่ เจ้าหน้าที่สอบสวนจากหน่วยสอบส่วนพิเศษสาขาสำนักงานใหญ่ ยินดีที่ได้รู้จัก”
การทักทายของพวกเขาสั้นและกระชับ
ฉินเย่หยิบเอกสารและจากไปอย่างรวดเร็ว ในเมื่อมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่จะมาถึง อาร์ทิสเคยบอกว่าเขาสามารถเรียนรู้ศาสตร์แห่งนรกบางศาสตร์ได้โดยที่ไม่ต้องหยิบยืมพลังจากยมโลกแห่งเก่า
ห้องทำงานถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันที
โจวเซียนหลงรินชาและส่งมันให้กับหลี่จีสี่ ผู้ที่รับมันไปด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ก่อนที่เขาจะได้จิบมัน โจวเซียนหลงก็ขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น”
“หากมันไม่ใช่เขาจริง ๆ และข่าวเกี่ยวกับการสืบสวนนี้แพร่งพรายออกไป… ผมเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะเอาใบหน้าเหี่ยว ๆ นี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน”
หลี่จีสี่เผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งขณะที่เหลือบไปมองที่ประตู “เขามีอะไรมากกว่าที่เห็น”
“แน่นอน ทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง แต่… เอกสารประจำตัวของเขา…” เขาชี้ขึ้นด้านบนและแววตาของโจวเซียนหลงก็ไหววูบเล็กน้อย หลี่จีสี่เอ่ยต่อ “ถูกจัดเตรียมขึ้นโดยใครสักคนจากเบื้องบน ใครบางคนจากระดับสูง และชายผู้นั้นก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของระดับสูง แต่สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยที่สุดก็คือเขาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวมานานขนาดนี้ได้อย่างไร ? หากเขามีใครบางคนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง เขาก็น่าจะเข้าร่วมกับหน่วยสอบสวนพิเศษไปตั้งนานแล้วสิ”
โจวเซียนหลงไม่เอ่ยอะไรออกมา
หลี่จีสี่เอ่ยต่ออย่างช้า ๆ แต่ชัดเจน “และต่อให้นี่ไม่มีความหมายอะไร มันก็ยังมีคำถามอยู่อีกว่าทำไมมันถึงไม่มีร่องรอยของเขาอยู่ในตงไห่ในขณะที่เหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะเกิดขึ้น ?”
โจวเซียนหลงเอ่ยตอบออกมาในที่สุด “ข้อสงสัยของคุณนั้นไม่ต่างอะไรกับการเดาสุ่ม คุณไม่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางโรงแรมเลยหรือ ? เขารู็สึกไม่สบายในช่วงนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ออกไปไหนเลย”
“แต่เขาบอกอาจารย์หลินและอาจารย์ซู่ว่าเขามีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ !” ใบหน้าของหลี่จีสี่ในเวลานี้เต็มไปด้วยความจริงจังและเด็ดเดี่ยว ค่อนข้างแตกต่างกับสีหน้าเบื่อหน่ายของเขาอย่างสิ้นเชิง “คุณโจว ทางอัลบาทรอสไม่มีทางสงสัยมนุษย์โดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ พวกเราได้เทียบรูปถ่ายใบนี้กับระบบจดจำใบหน้าและยืนยันว่ามีคนเพียง 82 คนจากทั้งประเทศเท่านั้นที่มีความใกล้เคียงมากก่า 90% หากเราตัดผู้ที่ไม่สามารถไปอยู่บริเวณที่เกิดเหตุได้ในเวลานั้น รวมถึงผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนออกไป เขาเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยคนเดียวที่เราเหลืออยู่ !”
โจวเซียนหลงถอนหายใจออกมา “ในฐานะของเพื่อนร่วมงาน มันคงไม่เหมาะนักที่ผมจะแสดงความเห็นอะไรออกไป อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่คุณเกาะติดเขาราวกับว่าเขาคือความหวังสุดท้ายของคุณก็คือสิ่งที่ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกไม่เห็นด้วย”
หลี่จีสี่ถอนหายใจออกมาและแย้มยิ้มขมขื่นขณะที่จิบชาในถ้วยของตัวเอง “พูดกันตามตรง พวกเราเองก็หมดปัญญาแล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของเราก็ด้วย ผมเกรงมันคงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ปีถึงผลของธูปลบความทรงจำได้ พวกเราได้ลองเข้าไปในระบบของโรงประมูลเจียเต๋อ แต่เราก็ไม่พบบัญชีไหนที่เป็นชื่อของอาจารย์ฉินเลยสักบัญชี แต่มีบัญชีที่ได้หยุดใช้งานไปชั่วคราวบัญชีหนึ่งที่ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง น่าเสียดายที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะตรวจสอบคุณสมบัติสำหรับการประมูลถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีที่กำลังจะถูกจัดขึ้น ทางโรงประมูลเจียเต๋อจึงไม่ได้ขอรายละเอียดทั้งหมดของเขา แต่…”
เขามองคนตรงหน้านิ่ง “คุณโจว คุณรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นบัญชีของใคร ?”
โจวเซียนหลงส่ายหน้า
“ท่านกู่ชิง” หลี่จีสี่ถอนหายใจออกมา “เขาชื่นชอบภาพวาดและโบราณวัตถุของจีน และเขาก็มีเงินมากมายให้ใช้ ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในแขกประจำของโรงประมูลเจียเต๋อ บัญชีของเขามีการเปิดใช้งานใหม่อีกครั้งหนึ่งในเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งกว่านั้น…”
เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำ “คำขอเปิดใช้งานใหม่นั้นมาจากเมืองเป่าอัน !”
สีหน้าของโจวเซียนหลงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที
ไม่ว่าจะเวลา สถานที่ หรือลักษณะ ทุกอย่างดูเหมือนจะตรงกัน แม้แต่โจวเซียนหลงเองก็เริ่มที่จะสงสัยในตัวของฉินเย่
“แต่นั่นก็ยังไม่ได้พิสูจน์อะไร เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็อยู่ภายในห้องของโรงแรมตลอดระยะเวลาที่เกิดเหตุขึ้นที่ช่องแคบสึชิมะ” ท้ายที่สุด โจวเซียนหลงก็ยังกลับมาที่ปริศนาเดิมที่สร้างความสงสัยให้กับทุกคน มันเป็นเรื่องที่ที่ฉินเย่ได้เตรียมมาตรการป้องกันที่จำเป็นก่อนหน้านี้ และแม้กระทั่งบอกให้อาร์ทิสติดตั้งอาณาเขตเวทขึ้นภายในห้องเพื่อสร้างข้อแก้ต่างที่สมบูรณ์แบบให้กับตัวเอง ไม่เช่นนั้น… ตัวตนของเขาคงถูกเปิดเผยไปนานแล้วภายใต้อำนาจของรัฐ
..อย่าคิดจะดูถูกความสามารถของหน่วยอัลบาทรอส การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องของหน่วยงานลับอย่างพวกเขามีความหมายเพียงอย่างเดียว มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ความจริงจะปรากฏออกมา !
เสียงที่เอ่ยออกมาของหลี่จีสี่เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “มันมีวิชาบางวิชา …ที่สามารถทำให้เขาหลุดพ้นจากการตรวจจับไปได้ แต่น่าเสียดาย วิชาเหล่านี้ได้สูญหายไปนานแล้ว แต่คุณเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาสตร์และวิชาที่เขาฝึกฝนเลยไม่ใช่หรือ ?”
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงจะต้องมาสังเกตพฤติกรรมของเขาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ผมคิดที่จะหาดูพวกนักเรียนที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้…”
เขาลุกขึ้นยืนและจิบชาในถ้วยก่อนจะวางมันลง “ผมจะอยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรกจนกว่าเขาจะหลุดจากข้อสงสัยทั้งหมด”
“ลาก่อน หัวหน้าโจว ขอบคุณสำหรับชา มันอร่อยมาก”