บทที่ 314: ความฝันและความเป็นจริง (1)
เครื่องบินลำใหญ่บินข้ามท้องฟ้าในวิถีโค้งที่สวยงาม มุ่งหน้าตรงจากเมืองเป่าอันไปยังมณฑลคังเว่ย
“อาจารย์ฉิน สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างของฉินเย่ และเมื่อหันหน้าไปมอง เขาก็พบว่าอีกฝ่ายคือหลี่จีสี่
ฉินเย่ขยับตัวเพื่อเว้นระยะห่างออกจากอีกฝ่ายเล็กน้อย ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมานานของเขาสอนให้เขาอ่านความหมายจากรายละเอียดเล็กน้อย ถึงแม้ว่าบทสนทนาของศาสตราจารย์หลี่จะดูธรรมดา แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเข้าใกล้ตัวเอง
“คุณอยากดื่มกาแฟเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณหน่อยไหมครับ ?” หลี่จีสี่ถามอย่างเป็นห่วง เที่ยวบินที่พวกเขานั่งเป็นแบบเช่าเหมาลำ และพวกเขาสามารถเรียกใช้บริการจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องได้ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าได้พักก็น่าจะดีขึ้น” ฉินเย่แย้มยิ้มบางและหลับตาลง เขาเองก็ไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรมากกว่านี้เช่นกัน
ใครก็ตามที่ใช้เวลาทั้งอาทิตย์ในการเรียนรู้วิชาใหม่โดยที่ไม่ได้นอนพักเลยย่อมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหมือนฉินเย่
โชคดีที่ความพยายามของเขาไม่ได้สูญเปล่า หลังจากผ่านอาทิตย์ที่แสนทรหด ในที่สุดเขาก็สามารถใช้ศาสตร์แห่งนรกศาสตร์แรกอย่างเคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณได้
ชื่อของทักษะนั้นธรรมดาและพื้นฐานมาก อันที่จริง มันค่อนข้างคล้ายกับคาถาอัญเชิญวิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้า ข้อแตกต่างแรกก็คือวิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้าจำเป็นต้องใช้วิญญาณอุปถัมภ์ และการผิดพลาดจะทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการได้รับผลสะท้อนกลับจากตัววิชา เพราะอย่างไรแล้ว วิญญาณส่วนใหญ่ล้วนกระหายในเลือดเนื้อพอ ๆ กับที่มนุษย์ต้องการอาหารและน้ำดื่ม การผลักดันวิญญาณมากจนเกินไปอาจทำให้วิญญาณหันกลับมาโจมตีผู้ใช้ได้
ข้อแตกต่างที่สองคือข้อเท็จจริงที่ว่าวิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้าจะได้รับคำสั่งเดียวเท่านั้น และมันก็คือการมอบความมั่งคั่งให้กับผู้ใช้ ในอีกด้านหนึ่ง การใช้เคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณนั้นไม่มีผลสะท้อนกลับ ในฐานะของยมทูต วิญญาณจะไม่มีทางหันกลับมาโจมตีเขา นอกจากนี้… พันธะห้าวิญญาณจะมีสตินึกคิด แทบจะเหมือนกับตัวตนกึ่งวิญญาณ ตราบใดที่พวกเขายังทำสัญญากับฉินเย่ พวกเขาจะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนเด็ดขาด
และในเมื่อวิญญาณพวกนี้มีสติปัญญา พวกเขาก็สามารถรับคำสั่งได้มากมาย
สุดท้าย วิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้านั้นมีประสิทธิภาพอย่างมากในการเรียกโชคลาภ ชื่อของมันอาจจะฟังดูเจ๋ง แต่ความเป็นจริงก็คือพวกเขาสามารถเรียกเงินให้คุณได้วันละร้อยหยวนเท่านั้น นอกจากนี้ พวกเขาไม่สามารถขโมยเงินจากผู้อื่นได้ เพราะนั่นหมายถึงการเข้าไปยุ่งกับการหยิบเงินที่เปลี่ยนมือหลายครั้ง ซึ่งมีพลังหยางแฝงอยู่ ทำให้วิญญาณจะสลายไปทันทีที่สัมผัสมัน
วิญญาณอุปถัมภ์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลามากกว่าสิบปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในแต่ละเดือนกลับไม่เกิน 3000 หยวนเนี่ยนะ ?
จำนวนเงินเข้ากับเงินออกไม่สมส่วนกันเลยสักนิด…
สิ่งแรกที่เขาต้องทำเมื่อถึงที่เมืองคังเว่ยก็คือเลือกวิญญาณห้าตน ฉินเย่คิดกับตัวเอง
จากนั้น หลังจากที่หลี่จีสี่เงียบไปประมาณสิบนาที เด็กหนุ่มก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและเริ่มอ่านข้อมูลทั้งหมดที่ตนได้มา
“จุดหมายปลายทางคือเมืองซินคังใหม่ หนึ่งในพื้นที่ที่มีการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบ่อยที่สุด จำนวนผู้อพยพรองลงมาจากเมืองหลวงของมณฑล เป้าหมายของเราในครั้งนี้ก็คือการจัดการเขตไล่ล่า 12 เขต ตั้งแต่ D-72 ไปจนถึง D-84 รวมถึงปัดเป่าวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง” เขาปรับแว่นสายตาของตัวเองและอ่านออกมาเบา ๆ “นักเรียนที่มาด้วย… หวังเฉิงห่าว เย่ซิงเฉิน ? เจ้าเด็กพวกนี้มาทำไมที่นี่ ?”
“เราไม่รู้จักคนอื่น ๆ…”
เมื่อเห็นว่าฉินเย่กำลังหมกมุ่นอยู่กับงานของตน หลี่จีสี่ก็ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ห้องน้ำและปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ต้องการใช้ห้องน้ำแต่อย่างใด ทันทีที่เขาปิดประตูลง เขาก็หยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กออกมาและจดบางอย่างลงไป
“ระมัดระวังตัวสูงมาก” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริมว่า “จับตาดูหวังเฉิงห่าว เขาอาจจะเป็นกุญแจในการปลดล็อกข้อสงสัยนี้”
“แปลก… จากเอกสาร ดูเหมือนว่าหวังเฉิงห่าวจะเป็นคนแรกที่ได้พบกับอาจารย์ฉิน นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้อาจารย์ฉินจะเพิ่งมาเปิดกิจการร้านขายโลงศพขึ้นที่เมืองชิงซี ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากที่ไหน นอกจากนี้ มันยังไม่มีบันทึกการขึ้นรถไฟหรือเครื่องบินของเขาในตอนที่เดินทางมาถึงเมืองเป่าอันเลยสักนิด สันนิษฐานส่วนตัว: การซื้อตั๋วสำหรับนั่งรถไฟหรือเครื่องบินจำเป็นจะต้องใช้การยืนยันตัวตน นี่เขา… ตั้งใจจะปกปิดร่องรอยของตัวเองอย่างนั้นหรือ ?”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งและพิจารณาสิ่งที่ตนได้เขียนลงไป จากนั้นจึงขีดฆ่าประโยคที่ว่า ‘หวังเฉิงห่าวคือคนแรกที่ได้พบกับอาจารย์ฉิน’ และเปลี่ยนเป็น ‘คนแรกที่มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ฉิน’ จากนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเอง “โดยทั่วไปแล้ว คนธรรมดามักจะทำทุกอย่างอย่างรวดเร็วและประหยัด แต่อาจารย์ฉินกลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามทั้งหมด มันคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเขาเลยจนกระทั่ง ‘การเปิดตัว’ ของเขาในเมืองชิงซี เขาจะต้องตั้งใจที่หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ทั้งหมดที่อาจทิ้งร่องรอยของตนไว้แน่ ข้อเท็จจริงที่เขาสามารถทำตัวไร้ประวัติแบบนี้ได้บอกเราว่าเขาไม่ใช่แค่เด็กวัยรุ่นอายุ 18 ธรรมดา ๆ ทั่วไป…”
“ยิ่งคิดเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว คุณดูแตกต่างจากภาพที่คุณแสดงออกมามากจริง ๆ…”
………
ฟึ่บ ! หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอด ฉินเย่และหลี่จีสี่เป็นคนแรกที่เดินลงมาจากเครื่อง ตามมาด้วยนักเรียนทั้งสิบคนที่แต่งการด้วยชุดเครื่องแบบลายพราง
หลังจากที่ขึ้นรถบัส ฉินเย่ก็กวาดตามองนักเรียนทั้งหมดด้วยแววตาคมกริบ “ขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ต้องการให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรับการโจมตีทั้งหมดแทนพวกคุณ ทางสำนักตั้งใจที่จะทำให้พวกคุณเข้าใจ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนนั้นถูกสร้างขึ้นจากการหลั่งเลือด เมื่อเราไปถึงที่เมืองซินคังใหม่ ผู้ที่ขัดคำสั่งของศาสตราจารย์หลี่หรือผมจะถูกส่งกลับไปที่เมืองเป่าอันทันที เข้าใจไหม ?”
“เข้าใจครับ !!” นักเรียนทั้งสิบตะโกนตอบด้วยความตื่นเต้น
เพราะอย่างไรแล้ว จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไรในเมื่อนี่เป็นภารกิจแรกที่พวกเขาได้รับอย่างเป็นทางการ ?
ฉินเย่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อสังเกตพื้นที่โดยรอบ
สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือบรรยากาศที่ตึงเครียด
พวกเขาใช้เส้นทางพิเศษที่นำพวกเขาตรงจากสนามบินไปยังจุดที่มีรถเช่ากำลังรอพวกตนอยู่ ตอนนี้คนทั้งหมดอยู่ที่เมืองหลวงของมณฑลคังเว่ย เมืองซูบู้ต๋า ในขณะที่จุดหมายปลายทางของพวกเขา เมืองซินคังนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกของมณฑลคังเว่ย เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ที่ได้รับคำสั่งให้มาสนับสนุนที่มณฑลคังเว่ยต่างต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นรถมากมายจอดรออยู่ และมันยังมีทหารอีกจำนวนมากที่เดินทางเข้าออกจากเส้นทางพิเศษที่พวกเขาใช้ก่อนหน้านี้
การเปลี่ยนกะเพียงหนึ่งครั้งสามารถเห็นการสับเปลี่ยนของเจ้าหน้าที่หลายสิบคน นี่แสดงให้เห็นสถานการณ์ที่นี่ย่ำแย่เพียงใด
หากพูดกันตามความจริง ฉินเย่เห็นว่าเจ้าหน้าส่วนใหญ่ที่ใช้เส้นทางเหล่านี้ต่างมีสัญลักษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษและแม้แต่ตราศูนย์วิจัย SRC ไว้บนอก มันมีแม้กระทั่งพวกที่ใส่ชุดปฏิบัติการที่มีสัญลักษณ์ที่เขาไม่รู้จักอีกด้วย
จำนวนของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ พวกเขาคิดเป็น 20% ของผู้ฝึกตนทั้งหมด แต่พลังปราณในเขตนี้เบาบางมาก เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในที่นี้ยังไม่บรรลุเป็นขั้นยมเทพด้วยซ้ำ ดังนั้นระดับพลังของหลี่จีสี่และเขาจึงนับว่าสูงสุดในหมู่คนทั้งหมด และพวกเขาก็ดึงดูดสายตาคนจำนวนมากทันทีที่ก้าวลงมาจากเครื่องบิน
“นั่นคือกรมสหการแพทย์ครับ เป็นหน่วยที่เพิ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่” หลี่จีสี่อธิบายด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า “เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้าชะตากรรมของผู้ที่ถูกวิญญาณเข้าสิงนั้นทำได้เพียงรอความตาย แต่ตั้งแต่นั้นมา ด้วยการช่วยเหลือจากวิจัยต่าง ๆ พวกเราค้นพบว่าวิญญาณร้ายจะสามารถสิงสู่ร่างของมนุษย์ได้โดยการดับตะเกียงไฟทั้งสามด้วยการทำให้กลัวหรือข่มขู่ แต่ตราบใดที่ตะเกียงไฟทั้งสามยังจุดครบ วิญญาณก็จะไม่สามารถเข้าสิงได้”
เขาหมุนกระจกรถลงและมองออกไปด้านนอก “จุดประสงค์ของกรมสหการแพทย์ก็คือการจุดตะเกียงไฟทั้งสามขึ้นมาใหม่ด้วยการใช้จิตวิทยา มันอาจจะฟังดูแปลก แต่วิธีการนี้ใช้ได้ผลจริง มันถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากเปิดสำนักฝึกตนแห่งแรกไม่นาน และมุ่งเน้นไปที่สาขาจิตวิทยาเป็นหลัก หลังจากที่ก่อตั้งขึ้น โรงเรียนหลายแห่งได้ใส่วิชาจิตวิทยาเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรของพวกเขา และพวกระดับสูงของรัฐบาลเองก็ออกนโยบายในการสนับสนุนสิ่งเหล่านี้”
เขาหมุนกระจกรถกลับเป็นเหมือนเดิมก่อนจะหันไปหาฉินเย่และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ฉินไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยหรือครับ ? ในฐานะของผู้ฝึกตน มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะติดตามข่าวสารโดยรอบนะครับ”
ฉินเย่ยิ้มตอบ จากนั้นจึงหลับตาลงราวกับต้องการจะพักผ่อน
ถามหยั่งเชิงอย่างนั้นหรือ ?
นี่อีกฝ่ายกำลังจะบอกว่าผู้ฝึกตนทุกคนมักจะสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโดยรอบ และมันผิดปกติที่เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ?
โจวเซียนหลงควรจะเป็นคนที่มาที่นี่ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงเป็นหลี่จีสี่ไปได้ ? นี่เขาคิดมากไปเองหรือเปล่า ? หรือว่าอีกฝ่ายต้องการจะเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเขาจริง ๆ?
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกตลอดการเดินทาง เส้นทางที่พวกเขาใช้ไม่ได้ตรงเข้าเมืองโดยตรง แต่ขึ้นทางหลวงแทน มณฑลคังเว่ยเต็มไปด้วยทุ่งหญ้ามากมาย เนินเขาและทุ่งหญ้าทำให้คนทั้งหมดสบายใจ หากพูดกันตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่านักเรียนได้เห็นทุ่งหญ้าที่กว้างขนาดนี้ และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาถึงที่เมืองซินคัง และมันก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่คนทั้งหมดจะมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ตอนนี้เป็นเวลา 19.00 น.
ท้องฟ้าทางตอนเหนือของจีนจะมืดลงเร็วกว่าปกติ และมันก็ไม่มีผู้คนให้เห็นบนท้องถนนที่มีแสงสลัวเลยสักนิด
พวกเขาไม่เห็นป้ายไฟนีออนอย่างที่เมืองอื่น ๆ มี หากพูดกันตามตรง แม้แต่ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ และห้องสรรพสินค้าที่เคยคึกคักในเวลากลางวันต่างเงียบสนิท
แม้แต่สถานที่สำคัญและห้องสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็สว่างไสวด้วยแสงสลัวจากไฟถนนที่อยู่โดยรอบเท่านั้น หากมองจากไกล ๆ ตึกอาคารพวกนี้ดูไม่ต่างอะไรกับโลงศพเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีมนุษย์สักคนให้เห็น และหากตั้งใจฟังดี ๆ พวกเขาก็จะได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมแห่งความโศกเศร้าที่พัดผ่านพื้นที่ ราวกับมันกำลังร้องไห้อยู่
มีเพียงย่านที่อยู่อาศัยภายในเมืองเท่านั้นที่ยังคงมีไฟติดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ร้านค้าต่าง ๆ แถวนั้นก็ล้วนปิดสนิท ในขณะที่ประตูบ้านของที่พักแต่ละหลังต่างถูกตกแต่งด้วยสิ่งที่ใช้ปัดเป่าวิญญาณร้าย
และมันยังมีคำประกาศที่พวกเขามักจะได้ยินดังในช่วงนี้ดังวนอยู่เรื่อย ๆ…
จนถึงตอนนี้ พวกเขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ในทุก ๆ เมืองที่เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นจะมีคำประกาศพวกนี้เปิดวนไม่หยุด และในกรณีนี้ เมืองภายในจีนมากกว่า 85% ก็กำลังได้ยินคำประกาศเดียวกัน
ใครก็ตามที่เดินทางเข้าเมืองเหล่านี้ในตอนกลางคืนจะต้องรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก มันแทบจะเหมือนกับว่าความมืดกำลังคลืบคลานมาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ฝึกตนทุกคนต่างสังเกตเห็นสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในความมืดได้ในทันที หรือต่อให้พวกเขาไม่เห็น พวกเขาก็ต้องสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ราวกับมีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง
รอบด้านถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
มันไม่ต่างอะไรกับสุสานที่เงียบสงัด
หากไม่รู้มาก่อน พวกเขาคงไม่รู้เลยว่าที่นี่เป็นเมืองที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งแสนคน
รถของพวกเขาเลี้ยวเข้าโค้งอีกครั้ง บางครั้ง พวกเขาก็จะเห็นกลุ่มผู้ฝึกตนห้าคนเดินลาดตระเวนไปตามถนน คนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาความปลอดภัยเหนือธรรมชาติที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยสอบสวนพิเศษของทุกเมือง และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะเดินไปมาตามถนนของเมืองทันทีที่ประกาศเหนือธรรมชาติดังขึ้น อย่างไรก็ตาม การวางกองกำลังทหารที่เบาบางนี้ไม่เพียงพอที่จะรักษาความสงบภายในเมืองที่มีพื้นที่ 145 ตารางกิโลเมตรได้
การมีอยู่ของพวกเขาเป็นเพียงการปลอบขวัญเท่านั้น
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของฉินเย่รู้สึกเหมือนถูกบีบอย่างแรง เขาไม่คิดเลยว่าระยะเวลาเพียงหกเดือนของเขาในสำนักฝึกตนแห่งแรกจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น… ล้วนเป็นผลทางอ้อมที่เกิดจากการล่มสลายของนรก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากยมโลกยังอยู่ เมืองซินคังก็คงจะคึกคักไปด้วยเสียงเพลงและการเต้นรำ ร้านอาหารคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ในขณะที่เหล่าเด็กนักเรียนก็คงไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน แม้แต่โรงเรียนเองก็คงจะเปิดไฟอยู่ตลอดทั้งคืน และเต็มไปด้วยนักเรียนที่ทบทวนบทเรียนและทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนของตน
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงัด
“เห้อ~…” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ก่อนจะหลับตาลง
เขาไม่ต้องการจะเห็นภาพพวกนี้อีกแล้ว
คิดว่าเขาไม่อยากให้ยมโลกขยายตัวจนมีขนาดเท่าทั้งประเทศและแก้ปัญหาเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างนั้นหรือ ? น่าเสียดาย ความฝันและความเป็นจริงนั้นไม่เหมือนกัน
ด้วยความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันคงอีกไม่นานที่จีนจะไม่เหลือประชากรเลยแม้แต่นิดเดียว
รถทั้งสามคันที่พวกเขานั่งอยู่เงียบสนิท นักเรียนบางคนเต็มไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ ในขณะที่คนอื่น ๆ มองออกไปด้านนอกด้วยริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของพวกเขากระตุกเล็กน้อยขณะที่พวกเขานึกถึงช่วงเวลาที่ตนอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก เมื่อความกังวลดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องของอดีต และการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติดูเหมือนเป็นเรื่องที่ห่างไกลออกไป
“มันเป็นหน้าที่ของผู้ฝึกตนที่จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน” เย่ซิงเฉินกำหมัดแน่นขณะที่มองไปในความมืดด้านนอก
“หลังจากนี้ ฉันจะเรียนรู้ทุกอย่างที่สามารถทำได้ และจากนั้นฉันจะกลับมาที่เมืองซินคังอีกครั้ง !” หวังเฉิงห่าวเอ่ย
แสงไฟจากรถคันด้านหน้าทำให้เส้นทางเบื้องหน้าของพวกเขาสว่างขึ้น จากนั้น เมื่อพวกเขาเลี้ยวโค้งอีกครั้ง ดวงตาของคนทั้งหมดก็เป็นประกายขึ้น
เพราะตอนนี้… พวกเขาเข้ามาสู่ย่านที่อยู่อาศัยที่สว่างไสวแล้ว
แสงไฟสว่างสาดส่องไปทั่ว จำนวนของหลอดไฟทั้งหมดน่าจะอยู่ราว ๆ หลักแสน ! พวกเขาได้เข้ามาในเขตที่ไม่ต่างอะไรกับดวงไฟแห่งความหวังในยามราตรี !