ตอนที่ 567 โมเสกรูปเต่าสีเขียว
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะจำวันเกิดผมได้ งั้นคิดไว้รึยังล่ะว่าพรุ่งนี้จะให้ของขวัญอะไรผมดี”
เฉินฝานซิงเก็บปลายคางเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงทุ้ม
“ของขวัญวันเกิดมันก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่ขืนพูดขึ้นมาตอนนี้คุณก็ไม่ได้ลุ้นน่ะสิ”
ป๋อจิ่งชวนขำขึ้นเสียงทุ้ม “อืม…ที่คุณว่ามาก็ถูก งั้นผมไม่ถามแล้ว รอลุ้นว่าพรุ่งนี้คุณจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมกันแน่”
สีหน้าของเฉินฝานซิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทั้งยังติดจะดูยุ่งเหยิงอยู่นิดหน่อย “แต่คุณก็อย่าหวังอะไรให้มากเกินไปนัก หากตอนนั้นเกิดทำให้คุณผิดหวังขึ้นมา ฉันคงทำอะไรไม่ถูก”
“หืม?” ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วขึ้น “เอาเป็นว่าพอถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที”
หว่างคิ้วของเฉินฝานซิงผูกเข้าหากัน แม้แต่จมูกเองก็พลอยย่นตามไปด้วย “ตอนนี้คุณควรพูดว่า ขอแค่เป็นของที่ฉันให้จะเป็นอะไรคุณก็ชอบทั้งนั้น อะไรทำนองนั้นไม่ใช่รึไง ทำไมคุณถึงไม่รู้จักเล่นเกมตามกติกาซะบ้าง”
ได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหลุดขำออกมาเบาๆ
“ของที่คุณให้ ผมต้องชอบอยู่แล้ว แต่ใครกันล่ะที่ทำให้ผมโลภ”
“…”
เฉินฝานซิงเม้มปาก เธอไม่ควรประเมินค่าเขาต่ำไปเลยจริงๆ แต่ก็โชคดีที่ความสามารถในการตั้งรับของเธอสูงอยู่พอตัว หากเป็นผู้หญิงคนอื่นล่ะก็ ป่านนี้คงได้ม้วนแปดร้อยตลบไปแล้ว
“ยังจะโลภอีก พรุ่งนี้ ของเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นคุณจะทำอะไรกับมันก็แล้วแต่คุณเถอะ”
ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วขึ้นสูง ทว่าก็เผยยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้น ตัวลิฟต์ได้เคลื่อนมาหยุดลงตรงชั้นที่เป็นห้องพักของเฉินฝานซิง ขณะที่บุคคลทั้งสองกำลังจะก้าวเดินออกไป จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเฉินฝานซิงก็ดังขึ้น
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางก้าวเดินออกจากลิฟต์ กดเปิดข้อความขึ้นมากวาดตาดูวูบหนึ่งก่อนที่สีหน้าของเธอจะดูเคร่งขรึมลงไปในชั่วอึดใจ
ก่อนหน้านี้ เฉินเชียนโหรวเคยแสร้งขอเพิ่มช่องทางการติดต่อของเธอเอาไว้ทุกช่องทาง แต่ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันนัก
พอมาตอนนี้ถึงได้เห็นว่าเธอส่งรูปภาพมาทางวีแชทของตน รูปด้านบนที่เธอกับซูเหิงนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่าทำเอาเฉินเชียนโหรวรู้สึกขยะแขยงขึ้นในทันที
ในรูปดูเหมือนว่าซูเหิงจะหลับไปแล้ว เขาหันหน้ามาทางเฉินเชียนโหรวเล็กน้อย เฉินเชียนโหรวเองก็กำลังหนุนศีรษะอยู่บนแขนของเขาด้วยท่าทางยั่วยวนและใบหน้าที่ขึ้นสีแดงก่ำ ผ้าห่มที่ปกปิดอยู่บนร่างของทั้งคู่พาดทับอยู่ตรงช่วงเอวของคนทั้งสอง เห็นรอยแผลตรงไหล่ของซูเหิงและร่องรอยต่างๆ บนร่างกายของเฉินเชียนโหรวได้อย่างเด่นชัด และที่ชวนคลื่นไส้ยิ่งไปกว่านั้นคือ แม้ว่าซูเหิงจะหลับไปแล้ว แต่มือข้างหนึ่งของเขา ก็ยังคงจับต้องอยู่ตรงส่วนเอิบอิ่มข้างหนึ่งของเฉินเชียนโหรว
นี่คงเพราะทำให้เชียนโหรวได้รับความอับอายไปในงานประมูลคืนนี้ ถึงทำให้เธอไม่ยอมปล่อยให้เฉินฝานซิงได้ผ่านคืนนี้ไปอย่างสงบสุข
เฉินฝานซิงรู้ดีว่าที่เฉินเชียนโหรวทำเช่นนี้เพื่ออยากให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน
แม้จะไม่อยากให้เธอได้ใจนัก แต่ทว่ามันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเธอไม่ได้ตั้งตัวเช่นนี้ และแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสักนิดก็ยังไม่มี เธอจึงรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาเสียแล้วจริงๆ
เพราะเจ้าของขายาวที่เดินนำหน้าเธออยู่นั้น เห็นว่าหญิงสาวด้านหลังไม่ได้เดินตามเขามาด้วย เขาจึงชะงักเท้าลงแล้วหันกลับมามองเธอ
“เป็นอะไรไป”
เฉินฝานซิงที่ยืนดูโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าประตูลิฟต์เงยหน้าขึ้นมามองเขาวูบหนึ่ง “เปล่าค่ะ”
เธอก้าวเท้าเข้าไปหาเขา ทว่าดวงตากลับจ้องลงไปที่โทรศัพท์อีกครั้ง สายตาของเธอจับจ้องอยู่กับภาพทุเรศตาภาพนั้น ก่อนที่จู่ๆ มุมปากของเธอจะกรีดยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน
จนกระทั่งเข้ามาถึงภายในห้อง เธอก็ตรงปรี่เข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา โดยปกติแล้วเธอไม่ค่อยมีนิสัยชอบถ่ายรูปนัก แต่มาตอนนี้เธอกลับดาวน์โหลดโปรแกรมแต่งรูปและอัปโหลดรูปเสนียดลูกตาเมื่อครู่ขึ้นมา ก่อนจะหาตัวการ์ตูนโมเสกรูปเต่าสีเขียว[1]ขึ้นมาปิดบังใบหน้าซูเหิงที่กำลังหลับพริ้มเอาไว้
ต่อจากนั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมอีก ก่อนจะกดบันทึกรูป
เธอเปิดแกลลอรี่ขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองดูไปยังรูปที่เธอเพิ่งจะตกแต่งไปเมื่อครู่ ก่อนที่จู่ๆ เธอก็ปิดปากขำขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้วมองเธอ “คุณขำอะไร”
เฉินฝานซิงกอดโทรศัพท์ของเธอเอาไว้แน่น ก่อนที่หางตาซึ่งฉาบด้วยรอยยิ้มของเธอจะเปล่งประกายระยับ
“จู่ๆ ฉันก็นึกออกแล้วว่าพรุ่งนี้ฉันจะให้อะไรเป็นของขวัญในงานหมั้นของซูเหิงกับเฉินเชียนโหรวดี”
[1] เต่าสีเขียว คำว่าเต่าและคำว่าสีเขียวในภาษาจีนเป็นคำด่าผู้ชายที่ถูกภรรยาสวมเขา
ตอนที่ 568 กลิ่นอะไร
“จู่ๆ ฉันก็นึกออกแล้วว่าพรุ่งนี้ ฉันจะให้อะไรเป็นของขวัญในงานหมั้นของซูเหิงกับเฉินเชียนโหรวดี”
เมื่อเฉินฝานซิงเห็นว่าป๋อจิ่งชวนกำลังปลดคัฟลิงค์ตรงข้อมืออยู่ของเขาอยู่ เธอจึงรีบทิ้งโทรศัพท์ในมือแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเขา จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อปลดเนคไทให้กับเขา
ป๋อจิ่งชวนฉวยโอกาสนี้โอบรอบเอวของเธอเอาไว้ พร้อมทั้งสูดดมกลิ่นหอมจางๆ บนกายของเธอ
ซึ่งนั่นก็เป็นกลิ่นของ ‘Only’ ที่เธอจัดการกับมันไปในวันนี้ และกลิ่นของมันก็ได้ติดตัวเธอมาด้วย
เป็นกลิ่นที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
“ยังจะส่งของขวัญให้พวกเขาอีก?”
เฉินฝานซิงปลดเนคไทของเขาลงมาพลางพยักหน้า “ก็คงจะอย่างงั้น เพราะถึงยังไงเธอก็ถือว่าเป็นน้องสาวร่วมบิดากับฉัน”
“ไหนจะแฟนเก่าคุณอีก”
ป๋อจิ่งชวนเอ่ยเสียงเข้ม ทำไมน้ำเสียงถึงฟังดูไม่ค่อยชอบมาพากลนัก
เฉินฝานซิงวางพาดเนคไทของอีกฝ่ายเอาไว้กับข้อมือ แล้วหันไปปลดกระดุมเสื้อสูทของเขาต่อ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เธอจึงลอบช้อนตาขึ้นมองเขาอยู่วูบหนึ่ง พลันเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อข่มมุมปากที่อดจะแย้มยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เธอไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่ย่นจมูกและขยับไปสูดดมตามร่างของเขาสองสามครั้ง
“คุณทำอะไร”
การกระทำเช่นนี้ชวนให้สงสัยเสียจนป๋อจิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
จากนั้นเฉินฝานซิงจึงเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นอกของเขา คิ้วสวยคู่นั้นเลิกขึ้นสูง ดวงตาปกปิดรอยยิ้มภายในนั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นัยน์ตาสีดำตัดขาวชัดเจนสั่นระริก ช่างไม่ต่างอะไรกับหมู่ดาวระยับบนฟากฟ้าในยามราตรี
“ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนว่าบนตัวคุณมีกลิ่นอะไรสักอย่าง”
ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้วเขาหากันตามสัญชาตญาณ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่หลังจากที่ทำเช่นนั้น จู่ๆ คนฉลาดอย่างเขา ก็ได้ตอบสนองบางอย่างกลับมา
เขาช้อนนัยน์ตาขึ้นอีกครั้ง และก็พบว่าใบหน้าของเฉินฝานซิงกำลังกลั้นขำอยู่ตามที่เขาคาดไว้
เรียวคิ้วงามของเขากระตุกวูบ มือที่โอบเอวของเธออยู่นั้นกระชับขึ้นเล็กน้อย
เขาโน้มตัวลงมา ใช้สายตาสีนิลของเขาจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง “น่าหลงใหลมากเลยใช่ไหม”
เฉินฝานซิงหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป “อะไรเล่า กลิ่นน้ำส้ม[1]ฉุนขนาดนี้ ใครเขาจะไปหลงได้ลงคอ”
“จะเป็นกลิ่นน้ำส้มไปได้ยังไง ไหนคุณลองดมดูดีๆ อีกที”
ในตอนนั้น กระดุมเสื้อสูทของเขาก็ถูกเฉินฝานซิงปลดออกจนครบพอดี ป๋อจิ่งชวนออกแรงโอบรัดขึ้นจนร่างทั้งร่างของเฉินฝานซิงถลาเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
กลิ่นอันหอมเย็นที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นนั้นปะทะเข้ากับจมูกของเธอ เสียงหัวใจที่เต้นอย่างหนักหน่วงตรงอกแกร่งนั้นทำเอาใบหน้าของเฉินฝานซิงซับสีเลือดฝาด
“กลิ่นอะไร หืม?”
เสียงทุ้มแว่วดังขึ้นตรงเหนือศีรษะ แต่เหมือนกับว่ามันกำลังสั่นสะเทือนตรงแผ่นอกของเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง และมันสั่นสะเทือนเสียจนทำให้หัวใจของเธอต้องไหวตาม
“ไม่…”
“หืม?”
เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจที่ดังขึ้นตามมาติดๆ เล่นเอาเธอจำต้องกลืนคำที่กำลังจะเปล่งออกมากลับลงคอ
เฉินฝานซิงลอบกัดกลีบปากอย่างจนใจ
ทำไม…
ถึงได้ถูกเขาจูงจมูกอีกแล้ว
“มี! มันเป็นกลิ่นของผู้ชายผู้ไม่เป็นสองรองใคร และมันแทบจะทำให้ฉันหลงจนหัวปักหัวปำ”
แม้ว่าเฉินฝานซิงจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุดเหน็ดหน่าย แต่ทุกคำที่พูดออกไปก็ล้วนแล้วแต่เพื่อทำให้อีกฝ่ายได้สบายอกสบายใจไปในคืนนี้ไม่ใช่หรือ
และป๋อจิ่งชวนก็สบายใจขึ้นตามคาด “ในเมื่อผมทำคุณหลงจนหัวปักหัวปำขนาดนั้น แล้วทำไมผมไม่เห็นว่าคุณจะโผเข้าหาผมเลย”
เฉินฝานซิงสำลักคำพูด เธอหมุนตัวเดินอ้อมไปด้านหลังเขาแล้วหันไปถอดเสื้อสูทของเขาออกมา
“ดึกมากแล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ!”
รูปร่างของชายหนุ่มนั้นสูงใหญ่ ยามที่เฉินฝานซิงผลักเขาออกไป เห็นได้ชัดว่ามันกินแรงเธอไปไม่น้อย ท่าทีที่ทั้งโน้มตัวและยังกระดกสะโพกขึ้นเช่นนั้น ทั้งดูน่าขำและน่ารักไปในคราเดียวกัน
เมื่อป๋อจิ่งชวนเห็นหญิงสาวร่างน้อยที่กำลังออกแรงอยู่ตรงหลังของเขาผ่านหน้าต่างฝรั่งเศสที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น ปล่อยให้เธอผลักเขาให้ตรงไปในห้องอาบน้ำในห้องนอนไปโดยไม่ขัดขืน
จวบจนเขาถูกผลักมาจนถึงประตูของห้องอาบน้ำ เฉินฝานซิงจึงพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ยามเมื่อเธอคิดจะหมุนตัวจากไป เธอก็กลับถูกชายหนุ่มที่ทิ้งกายแนบอยู่ตรงขอบประตูรั้งแขนเธอเอาไว้ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะถูกฉุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
[1]น้ำส้ม สำนวนที่เกี่ยวข้องกับน้ำส้ม (สายชู) หมายถึง อาการหึงหวง