เหตุใดองค์หญิงเสวียนเทียนถึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นนี้
ดูเหมือน…สวยขึ้น!
เมื่อเจียงหลีเดินจากไป เหล่าทหารยามตะลึงอยู่นานถึงจะรู้ตัวและกระซิบ
…
เขาฝูถูซาน เขาฝูถูซานเป็นสถานที่ที่งดงามที่สุดของโลก แต่เจียงหลีไม่เคยมาที่นี่มาก่อน นางนึกไม่ถึงว่าเวลานี้ลู่เจี้ยจะอยู่บนเขา
ฝูถูเป็นหอสูง รูปร่างของภูเขามีลักษณะเหมือนหอคอย และแต่ละชั้นมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ซึ่งภูเขาแห่งนี้รองรับได้ทั้งสี่ฤดูกาลและมีดินเจ็ดสีที่พิเศษรวมอยู่ด้วย
เขาฝูถูซานถูกปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆและหมอกตลอดทั้งปีประดุจดินแดนสวรรค์
“ลู่เจี้ยยย! ลู่เจี้ยยย!”
เจียงหลีขึ้นไปบนเขาฝูถูซานและมองหาลู่เจี้ยท่ามกลางดอกสาลี่ที่ร่วงหล่นตามสายลม นางมองขึ้นไปทีละชั้น แต่ไม่มีเวลาชื่นชมความงดงามของเขาฝูถูซานเลย ในที่สุด เมื่อนางเดินถึงยอดเขา นางก็มองเห็นเงาด้านหลังของลู่เจี้ยที่อยู่ท่ามกลางดอกตู้เจวียนสีแดงเพลิง
เขานั่งอยู่บนภูเขาคนเดียวโดยพิงหินภูเขาและมองไปที่แสงสีทองบนท้องฟ้าซึ่งอยู่ไกลออกไป โดยข้างกายเขามีเพียงเงาเท่านั้น
แสงพระอาทิตย์ตกกระทบตัวเข้าเป็นชั้นแสงสีทอง แต่มิอาจบรรเทาความเหนื่อยล้าและอ่อนแอของเขาไปได้ มุมปากของเขายกขึ้นเบาๆ ราวกับว่าความงดงามของแสงอาทิตย์ทำให้เขาพอใจ และคล้ายกับว่าเขาจำอะไรบางอย่างได้
แต่ทว่า เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียงหลีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนถูกควักออกมาและความเจ็บปวดนี้เองทำให้นางอยากจะร้องไห้ดังๆ
นางค่อยๆ เดินเข้าใกล้เขา แต่ราวกับว่าเขาไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่เจียงหลีรู้ว่าเขารู้ว่านางมาถึงแล้ว
เงาหันหน้ามองนางด้วยแววตาที่ดิ้นรนและเดินเข้าไปหานาง
ทางข้างหน้าถูกปิดกั้น ดวงตาอันดุร้ายของเจียงหลีจึงกวาดไปที่เงาอย่างรวดเร็ว เงาก็มิได้รู้สึกเกรงกลัวและพูดตรงๆ ว่า “องค์หญิง นายน้อยทำเพื่อท่านมากเกินไปแล้ว บัดนี้ท่านกลับมาแล้ว ก็อยู่เคียงข้างนายน้อยในวาระสุดท้ายด้วยเถิด”
ความดุร้ายในดวงตาของเจียงหลีได้เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง นางรีบมาที่นี่กลับเหลือเวลาเพียงเท่านี้เองหรือ
เงาเดินจากไปเพื่อให้เขาทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน
เจียงหลีก้าวขาด้วยความยากลำบากและรู้สึกว่าเท้าหนักนัก
นางจะพูดอย่างไรดี นางจะยอมให้เขาจากไปอย่างนี้ได้เช่นไร
หัวใจของเจียงหลีเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทง แต่ก็ยังเดินเข้าไปหาลู่เจี้ยทีละก้าว เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นเขาชัดเจนขึ้น
เขานั่งอยู่บนเขาฝูทูซาน แต่ความสง่างามของเขากลับบดบังความงดงามของเขาฝูถูซานไปจนหมด
โอ้สวรรค์ เจ้าจะเอาคนแบบนี้ไปได้อย่างไร เจียงหลีโกรธเคืองเล็กน้อย แต่ทำอะไรไม่ถูก
จากนั้นเดินมายังข้างๆ เขา หมอบลงช้าๆ และวางมือไว้บนแขนของเขา
“เจ้ามาแล้วหรือ” ขณะนี้ ลู่เจี้ยค่อยๆ กลอกตามองไปที่นาง
!
ดวงตาอันเยือกเย็นที่พัวพันกับความตายคู่นั้น ทำให้หัวใจของเจียงหลีเจ็บปวดอย่างกะทันหัน เพลานี้ ร่างกายที่อ่อนแอของลู่เจี้ยเป็นสิ่งที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ใต้ผิวหนังของเขาปรากฏริ้วรอยจางๆ อย่างต่อเนื่อง
“ข้ากลับมาแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็กักขังข้าไว้ไม่อยู่” เจียงหลีกล่าวอย่างทุกข์ใจและโกรธเคืองอีกครั้ง
ลู่เจี้ยยิ้ม “ใช่ หลีเอ๋อร์ข้าถูกลิขิตให้บินทะยานขึ้นบนฟ้า แล้วข้าจะกักจังเจ้าไว้ได้อย่างไร หลีเอ๋อร์ เจ้าโกรธเคืองข้าหรือไม่”
โกรธหรือ
เกลียดหรือ
แค้นหรือ
เมื่อนางเห็นลู่เจี้ย ทุกอย่างก็มอดมลายหายไปจนหมดสิ้น เจียงหลีไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเขา นางอยากยิ้ม แต่นางรู้ดีว่ารอยยิ้มตอนนี้ของนางน่าเกลียดมาก
ลู่เจี้ยยกมืออันเย็นเยือกจับไปที่แก้มของนาง แล้วแตะเบาๆ “หลีเอ๋อร์ยิ่งอยู่ยิ่งสวย สวยจนไม่อยากหลับตา”
“เจ้าชอบรูปลักษณ์นี้หรือไม่” เจียงหลีวางมือทาบหลังมือของเขา ทำให้มือของเขาแนบชิดกับแก้มตน
“ชอบ ขอให้เป็นหลีเอ๋อร์ ข้าชอบทั้งนั้น” ลู่เจี้ยพูดด้วยรอยยิ้ม
แต่ทว่า มองเห็นเขายิ้มเช่นนี้ เจียงหลีกลับรู้สึกอึดอัดในใจ
ทันใดนั้น นางกระโจนเข้าใส่อ้อมแขนของลู่เจี้ยและกอดคอเขาไว้แน่น “ลู่เจี้ย ข้าไม่อยากให้เจ้าจากไป! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าจากข้าไป! ทำไมเจ้าถึงใจร้ายเช่นนี้ ขโมยหัวใจข้าแล้วยังจะปล่อยข้าไว้คนเดียว”
“หลีเอ๋อร์ ข้าขอโทษ! ข้าระวังตัวมาก ระวังตัวมากแล้ว…” ลู่เจี้ยค่อยๆ สวมกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักยิ่งของเขาไว้ในอ้อมแขน
เขาระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้นางมากเกินไป ไม่ให้นางรู้เจตนาที่แท้จริงของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งสลัดไม่ทิ้งและตัดไม่ขาด
“ไอ้คนบ้า!” เจียงหลีเอ็ด “ทำไมเจ้าเห็นแก่ตัว และคิดว่ามันดีสำหรับข้าเล่า เจ้าเคยถามข้าหรือไม่ว่าข้าต้องการพวกมันหรือไม่”
เสียงดุด่านั้น กลับกลั้นความรู้สึกทุกข์ใจไว้ไม่อยู่ และแม้อยากจะกลั้นน้ำตาไว้อย่างไร น้ำตาก็ไหลพรากออกมาอยู่ดี เจียงหลีจึงทำได้เพียงโอบกอดลู่เจี้ยให้แน่นขึ้นเพื่อไม่ให้เขาเห็นว่าตนกำลังร้องไห้
ลู่เจี้ยยิ้มและน้ำตาคลอ “ใช่ ข้าผิดไปแล้ว หากชาติหน้ามีจริง หากเราได้พบกันอีก ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทั้งหมด ดีหรือไม่”
ขณะที่พ่อแม่เสียชีวิต เขาไม่ได้ร้องไห้ แม้น้ำตาจะเอ่อล้นในใจ
บัดนี้ ตนใกล้ตายแล้ว เขาก็ไม่ได้ร้องไห้ เพราะไม่สมควรร้องไห้
แต่เมื่อเขาได้ยินหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและดุด่าเขาอยู่นั้น เขากลับรู้สึกอยากร้องไห้เป็นครั้งแรก และรู้สึกถึงสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมว่าทำไมมอบวิญญาณที่ไม่ครบองค์ให้แก่เขา
แล้วทำไมถึง…ให้พวกเขามาเจอกันด้วย
…
แสงอาทิตย์ค่อยๆ จางหายไป และความเย็นเยือกจากดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ทิวทัศน์บนเขาฝูถูซานยังคงงดงามเหมือนเดิม และลู่เจี้ยยังคงนั่งพิงอยู่หน้าหินก้อนนั้น ขณะที่เจียงหลีนั่งอยู่ข้างๆ และพิงไหล่ของเขาอยู่ แล้วถูกนางประชิดอ้อมอก
“หลีเอ๋อร์ หนาวหรือไม่” ลู่เจี้ยกอดแขนแน่น
“หนาว” เจียงหลีหมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างร่วมมือ
ลมโบกพัดโชยกลีบดอกตู้เจวียนลอยไปมาข้างๆ พวกเขาทั้งสอง แต่มิได้กระจัดกระจายไปทั่ว
“ลู่เจี้ย เจ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่” เจียงหลีถามเสียงแผ่วเบา
“ข้าเชื่อ” ลู่เจี้ยตอบอย่างเด็ดขาด
หากชาติหน้ามีจริง เขาจะกลับมาพบกับนางอีกครั้งอย่างไร เขาจะใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบและอยู่เป็นเพื่อนนางจนแก่เฒ่าอย่างไร
“ข้าก็เชื่อเช่นกัน” เจียงหลียิ้ม “ลู่เจี้ย ข้าจะรอเจ้า รอเจ้ามาหาข้า ชาติหน้าเจ้าก็ต้องสง่างามเช่นนี้ ห้ามน่าเกลียดกลับมาเด็ดขาด”
ลู่เจี้ยยิ้มและตอบด้วยความหลงรักแบบไม่ลืมหูลืมตา “ได้”
ทันใดนั้น หญิงสาวก็ถอดเสื้อของเขาและก้มหน้าต่อหน้าเขา
ความเจ็บปวดจากกระดูกไหปลาร้าทำให้ลู่เจี้ยขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ผลักนางออกไป
ริมฝีปากสัมผัสกับผิวหนังเย็นเยือกและเห็นรอยแตกชัดเจนมากยิ่งขึ้น เจียงหลีใช้กำลังจากฟันล่างมากไป และมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลเล็กน้อย ซึ่งแม้แต่เลือดยังเย็นเยือกไปด้วย
น้ำตารินไหลออกมาจากมุมตาของเจียงหลี และนางไดกัดลึกลงไปที่กระดูกไหปลาร้าของเขา
นางเงยหน้าขึ้นมองผลงานชิ้นเอกของตน ฝืนยิ้มและพูดกับลู่เจี้ยว่า “ข้าทำเครื่องหมายไว้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม ล้วนเป็นของข้าทั้งสิ้น ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะหาข้าไม่เจอ หรือจำข้าไม่ได้ ลู่เจี้ย ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไปเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็จะหาเจ้าจนพบ ดังนั้น เจ้าไปเถิด…อย่าฝืนเลย…”
นางต้องใช้ความกล้าหาญและความแข็งแกร่งมากเพียงใดถึงพูดประโยคนี้ออกมา
เจียงหลียิ้มให้แก่เขาโดยเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงไว้
ลู่เจี้ยลดสายตาลงและยืดกระดูกไหปลาร้าซึ่งมีรอยฟันที่มีเลือดไหรินออกมาไว้ เขารู้ว่าไม่สามารถปกปิดนางได้อีกแล้ว
หลังจากที่ความลับถูกเปิดเผย รอยแตกบนร่างกายของเขาก็ชัดเจนมากขึ้น
“ข้าอยากมองหน้าเจ้าอีกสักหน่อย” ลู่เจี้ยยิ้มและพูดอย่างเฉยเมย