ตอนที่ 168 สุนัขภักดีต่อนายยาจกฉันใด… ลูกย่อมภักดีต่อแม่ชั่วช้าฉันนั้น
นั่นหมายความว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรแม่นางเฉินก็จะไม่มีวันกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกเด็ดขาด ทว่ากลับหยิบยกเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนน่าสงสาร
“ข้าแต่งเข้าบ้านตระกูลหยุนมาสิบกว่าปีแล้ว ทำทั้งงานสกปรกยิบย่อยสารพันอย่างจนเหนื่อยกายเหนื่อยใจ แม้ทำงานหนักเพียงใดพวกเขาก็ไม่เคยเห็นค่า ข้าได้สิ่งใดตอบแทนบ้างนอกจากคำด่าทออย่างเจ็บแสบ! ทั้งที่ข้าเป็นผู้ให้กำเนิดหลานชายเพื่อสืบทอดตระกูลหยุนแท้ ๆ แต่กลับถูกโขกสับราวเป็นบ่าวไพร่ ชีวิตของข้ารันทดเสียยิ่งกว่าใครทั้งหมด แล้วสะใภ้ใหญ่เล่า? เหตุใดนางจึงได้รับอภิสิทธิ์เพียงผู้เดียวไม่ให้หยิบจับงานครัวใด ๆ การที่นางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและกดขี่ข้าเช่นนี้สมควรแล้วหรือ? ไหนจะนังชิ่วเอ๋อ… ดูเสียให้เต็มตาว่ามันทารุณข้าเช่นไร ถุย! นังนั่นก็แค่อสรพิษดี ๆ นี่แหละ!” แม่นางเฉินดึงคอเสื้อให้ผ่าลึกลง กระทั่งเห็นรอยแผลเป็นและเลือดแห้งกรังที่ตกสะเก็ดแล้วอยู่ใต้ลำคอหลายจุด
เหอเหล่าซานและหยุนลี่เต๋อเบือนหน้าหนีไปอีกทางเมื่อแม่นางเฉินเผยเนื้อหนังอันเป็นสิ่งสงวนให้ดูอย่างไร้ยางอาย
แม่นางเฉินยังพูดพล่ามต่อไป “ส่วนเจ้าสามน่ะรึ… มันนำเงินไปล้างผลาญเที่ยวเตร่โดยไม่ใส่ใจสิ่งใดยิ่งกว่าข้าเสียอีก! เขาไม่คิดถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของลูก ๆ หรือแม้แต่ข้าด้วยซ้ำ ครั้นจะหวนกลับไปพึ่งพาครอบครัวเก่าก็ถูกพวกเขาไล่ตะเพิดออกมาเยี่ยงหมูหมา เหตุใดชีวิตของข้าจึงรันทดถึงเพียงนี้…”
เสียงของแม่นางเฉินแผ่วหายด้วยความเศร้าโศก หยดน้ำตาไหลรินลงจากดวงตาทั้งสอง แม่นางเหลียนแม้โกรธเพียงใดแต่ลึกแล้วยังมีจิตใจเมตตาสงสารอยู่บ้าง จึงปรับน้ำเสียงใหม่และกล่าวกับแม่นางเฉินอย่างใจเย็น “ข้าเข้าใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับเข้าไปอยู่ที่บ้านตระกูลเก่าเมื่อแต่งงานออกเรือนมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้บ้านของเจ้าคือบ้านตระกูลหยุนเท่านั้น พาเซียงเอ๋อกลับไป…”
“ข้าไม่กลับไป! ข้าจะอยู่ที่นี่!” แม่นางเฉินร้องโวยวายเสียงดังก่อนหันหน้าไปหาหยุนเซียง “เซียงเอ๋อ เจ้าอยากกลับไปที่ดงนรกนั่นหรือไม่?”
ทุกคนเพิ่งสังเกตว่ามุมห้องมีเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ในซอกเล็ก ๆ หยุนเซียงไม่ส่งเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก เพียงส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“ถึงอย่างนั้นเจ้าจะขออาศัยอยู่ในบ้านคนอื่นและรบกวนพวกเขาไปตลอดชีวิตไม่ได้เด็ดขาด!” แม่นางเหลียนไม่ใจอ่อน
“ไม่เห็นจะเป็นไร ข้าไม่ได้สร้างปัญหาเสียหน่อย” แม่นางเฉินพูดอย่างไม่ละอาย “ข้าอยู่ที่นี่ได้ อย่ากังวลไปเลย”
“เหตุใดเจ้าจึงเข้าใจสิ่งใดยากเพียงนี้?! แล้วก่อนหน้านี้เจ้าไปซุกหัวนอนอยู่แห่งใด? ไม่มีที่พึ่งอื่นแล้วหรือ?”
“ที่นี่ยังมีห้องเก่าของเหอเยี่ยเอ๋อที่แต่งงานย้ายออกไปอยู่บ้านสามีอีกห้องมิใช่หรือ? ข้าเพียงต้องการค้างแรมที่นี่อีกคืนเท่านั้น”
แม่นางเฉินทำราวตนสนิทสนมกับบ้านตระกูลเหอเสียเต็มประดา หัวสมองของนางไม่คิดหาหนทางอื่นเพื่อเอาตัวรอด หวังจะยึดเอาครอบครัวตระกูลเหอเป็นที่กินที่อาศัยให้จงได้
หยุนเชวี่ยกลอกตามองบนพลางถอนหายใจออกด้วยความชิงชัง ทั้งชีวิตก่อนหน้าและชีวิตใหม่นี้ตนไม่เคยพบพานผู้ใดที่หน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้มาก่อน!
“หากท่านอาไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี เช่นนั้นข้าคงต้องแจ้งให้อาชิ่วเอ๋อมาลากคอท่านกลับไปด้วยตนเอง!”
ก่อนหน้านี้แม่นางเหลียนพยายามเกลี้ยกล่อมโดยยกชักแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายทว่ากลับไม่เกิดผล กระทั่งหยุนเชวี่ยยื่นคำขาดเพียงประโยคเดียวเท่านั้นแม่นางเฉินจึงอยู่ไม่สุขอีกต่อไป ร่างที่เอนเหยียดอยู่บนเก้าอี้ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรงทื่อด้วยความหวาดหวั่น
“เชวี่ยเอ๋อ… อาสะใภ้ผู้นี้ปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เจ้าจะทำร้ายอาเช่นนี้ไม่ได้!”
หยุนเชวี่ยทำหูทวนลมไม่แยแสต่อคำพูดของนางเฉิน มือหนึ่งดึงแขนแม่นางเหลียนให้เดินกลับออกไป “ท่านแม่ ไปเถิด หลังพวกเราทำไร่เรียบร้อยแล้วข้าจะรีบกลับไปแจ้งเรื่องนี้แก่ท่านย่า”
“เชวี่ยเอ๋อ นี่! เจ้า…”
แม่นางเฉินพูดได้เพียงเท่านั้นทว่าไม่มีแรงจะสาปแช่งหรือตามไปกระชากแขนหยุนเชวี่ยเพราะเกรงใจหยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียน จึงทรุดตัวลงกองกับพื้นก่อนคร่ำครวญเสียงดังหวังเรียกคะแนนความสงสาร “จบสิ้นแล้ว… เซียงเอ๋อ พวกเขากำลังจะลากแม่ไปสู่ความตาย แม่อับจนหนทางแล้ว…”
ครอบครัวของหยุนเชวี่ยเดินห่างออกไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมามอง เสียงร้องไห้โหยหวนของแม่นางเฉินจึงเงียบลง นางหรี่ตาลงและผุดลุกขึ้นกระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง “นังเด็กนั่นจิตใจอำมหิตไม่ต่างอะไรจากหยุนชิ่วเอ๋อ! คิดจะข่มขู่ข้ากระนั้นรึ?!”
“จะว่าไปแล้วชีวิตของสะใภ้สามก็น่าสงสารไม่น้อย ยามเดือดร้อนแม้แต่ครอบครัวยังไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ” แม่นางเหลียนโคลงศีรษะพร้อมถอนหายใจ
“ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว อาสะใภ้สามถูกทุบตีจนบอบช้ำไปทั้งตัวเช่นนี้ มีหรือเอ้อหลางจะไม่กลับมาแก้แค้นแทนแม่ของเขา?” หยุนเชวี่ยกล่าว
“แม้แต่เอ้อหลางในตอนนี้ก็คงเผชิญชะตากรรมไร้ที่พึ่งเช่นเดียวกับแม่ของเขาอยู่กระมัง เพียงพาตนเองให้อยู่รอดก็ลำบากมากอยู่แล้ว ไหนจะแบกเอาทุกข์ของผู้อื่นมาสุมอยู่ในอกอีก เขาจะช่วยอะไรได้?”
“พี่เอ้อหลางอายุสิบสี่ปีเต็มแล้ว เช่นนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปหากเขาตัดสินใจหางานทำด้านนอกและไม่กลับไปที่บ้านตระกูลหยุนอีก? คงเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่…” หยุนเชวี่ยเดาว่าหยุนเหรินคงไม่โง่กลับมาตราบใดที่เรื่องทั้งหมดยังไม่สร่างซาลง เขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่มรู้ความแล้วย่อมไม่ย่อมถูกตัดแข้งตัดขาเพราะหยุนชิ่วเอ๋อที่มีไฟแค้นสุมอยู่เต็มหัวอกเป็นแน่
“เจ้าหมายความว่าการอยู่ไกลบ้านเป็นทางออกที่ดีงั้นหรือ? เกรงว่าพวกเขาจะอดทนสังคมภายนอกไม่ได้เอาน่ะ”
“แต่ก็ยังดีกว่าการอยู่ท่ามกลางญาติมิตรที่จ้องจะทำร้ายร่างกายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
“เจ้าคิดว่าคำข่มขู่นั้นจะได้ผลกับอาสะใภ้สามของเจ้าหรือไม่? หากนางจนตรอกไม่ยอมกลับบ้านตระกูลหยุน แล้วนางจะพาเซียงเอ๋อหลบหนีไปอยู่ที่ใดอีก?” แม่นางเหลียนอดเป็นกังวลไม่ได้
หยุนเชวี่ยเหนื่อยหน่ายกับความอาทรของแม่นางเหลียนที่อาจทำให้ใจอ่อนได้ในภายหลัง “ต่อให้นางไร้ทางไปก็ไม่ควรอาศัยอยู่ที่บ้านของผู้อื่นและกินดื่มโดยไร้ความเกรงใจมิใช่หรือเจ้าคะ?”
“อีกอย่าง… ปากคอของอาสะใภ้สามเราะร้ายใช่ย่อยเสียเมื่อไรกัน”
หลังก้มเงยทำไร่อยู่ครู่เดียว ทุกคนจึงมองเห็นจากระยะไกลว่าแม่นางเฉินพร้อมด้วยหยุนเซียงเดินออกมาจากบ้านตระกูลเหอแล้ว และกำลังเดินไปยังเส้นทางกลับเข้าสู่หมู่บ้าน
“นับว่านางยังมีความเป็นแม่อยู่บ้างที่ไม่เอาตัวรอดแต่เพียงคนเดียว” แม่นางเหลียนยิ้มอ่อน “ช่วงเที่ยงข้าใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเซียงเอ๋ออยู่เป็นนานไม่เห็นนางคิดกระตือรือร้นจะกลับไปพร้อมกัน”
หยุนเชวี่ยยักไหล่ “แม้แต่สุนัขยังไม่รังเกียจนายที่ยากจน แล้วลูกจะรังเกียจแม่ที่ชั่วช้าลงได้อย่างไร?”
ตลอดทั้งบ่ายครอบครัวของหยุนเชวี่ยต่างพูดคุยและคาดเดาออกไปหลายทางว่าแม่นางเฉินจะพาหยุนเซียงไปพึ่งพาผู้ใดหากยอมไม่กลับเข้าบ้านจริงดังที่ลั่นวาจา
ตกเย็น พวกเขาจึงวางมือจากงานในท้องทุ่งและแบกอุปกรณ์ต่าง ๆ กลับบ้าน ส่วนฝั่งแม่นางเฉิน ระหว่างทางนางได้พบกับหยุนลี่เซียวที่กำลังเดินทอดน่องและผิวปากอย่างสบายอุรา
แม่นางเฉินเดินปราดเข้าไปเอาความอีกฝ่ายทันที “เจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ใดนานสองนาน!? ใช้เงินจนหมดตัวแล้วหรอกรึ? เหตุใดไม่คิดเจียดเงินมาซื้อข้าวปลาให้ลูกเมียกินบ้าง? ข้าต้องทนหิวโหยกี่มื้อ… ถูกน้องสาวของเจ้าทุบตีกี่หน เคยรับรู้บ้างหรือไม่?! ดูสิ! ดู!”
หยุนลี่เซียวยังคงอารมณ์ร้อนเช่นเดิมและผลักร่างแม่นางเฉินให้ถอยห่าง “ข้าเข้าไปในเมืองด้วยเงินอันน้อยนิด เพียงกระหายน้ำก็ต้องใช้เงินจ่าย แล้วจะเหลือเงินที่ไหนมาปรนเปรอเจ้า?”
“ว่าอย่างไรนะ?! เงินตั้งสองตำลึงน้อยนิดเสียที่ไหนกัน? หมดได้อย่างไร?!” แม่นางเฉินอุทานเสียงหลงด้วยความตกตะลึง
“เจ้าจะแหกปากไปไย? คงไม่รู้จักสังคมที่ต้องใช้เงินตราเป็นสิ่งของแลกเปลี่ยนล่ะสิท่า…” หยุนลี่เซียวจ้องมองแม่นางเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม “เงินเท่านี้ไม่เพียงพอจะจับจ่ายในหอชุ่ยเซียงด้วยซ้ำ!”
หอชุ่ยเซียง?
ริมฝีปากของแม่นางเฉินอ้าพะงาบเมื่อได้ยินสามคำนั้น นางรีบตะครุบแขนเสื้อสามีและเค้นถามทันที “จะ… เจ้าเข้าไปในหอซุ่ยเซียงอย่างนั้นรึ?”
นางเฉินอาศัยอยู่ในแถบชนบทมาทั้งชีวิตจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมในเมืองใหญ่มากนัก ทว่ายังเคยได้ยินชื่อเสียงกระฉ่อนของหอชุ่ยเซียงที่ว่ามาบ้าง
ผู้คนต่างร่ำลือกันว่าเป็นสถานที่เพื่อความสำราญของบุรุษ ภายในมีสตรีรูปงามเปรียบดังจิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์ที่พร้อมยั่วยวนให้พวกเขาเข้าไปแสวงหาความสุขจากเรือนกายของพวกนาง ชายหลายคนที่หอบเงินเข้าไปเพียงหนึ่งครั้งอาจหลงใหลจนมัวเมาในรสกามโลกีย์ ทั้งยังเสพติดการเที่ยวหอนางโลมอย่างยากจะถอนตัว
“ฮะฮ่า!” หยุนลี่เซียงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ แขนขาวางท่ากร่างประหนึ่งกลายเป็นบุรุษในเมืองใหญ่เต็มตัวไปเสียแล้ว ลำคอเชิดตรงอย่างโอหังเต็มประดา
ระหว่างทางกลับหยุนลี่เซียวมีโอกาสคุยโวโอ้อวดกับเหล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์หลายครัวเรือน ส่วนใหญ่เขามักเล่าถึงบรรยากาศแสงสีและกลิ่นหอมเย้ายวนของบรรดาสตรีภายในหอชุ่ยเซียงอย่างไม่หยุดปาก
แม้คนเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสไปเยือนด้วยตนเอง ทว่าจากคำบอกเล่าของหยุนลี่เซียวก็ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจอยู่บ้าง
ส่วนหยุนลี่เซียวมีโอกาสได้เข้าไปภายในหอชุ่ยเซียง ไม่เพียงเข้าไปถึงที่แต่ยังมีเวลาจิบชานั่งชมการแสดงคีตศิลป์อันไพเราะจรรโลงใจอยู่ครู่ใหญ่ แม้ไร้โอกาสใกล้ชิดสาวงามให้เป็นบุญตาแต่ใบหน้าวับแวมของพวกนางก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตใจของชายวัยกลางคนคลุ้มคลั่ง
พวกนางมีเรือนร่างงดงามประดุจเทพสรรค์สร้าง! ประหนึ่งเทพธิดามาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อร่ายรำให้ได้ชื่นชมเป็นบุญตา แค่ได้เห็นก็เพียงพอแล้วที่จะระเบิดอารมณ์ที่เก็บกดอยู่ภายในเป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม!
“โอ้… เจ้ามันคนไร้หัวใจ!” แม่นางเฉินปล่อยโฮเสียงดังลั่นอย่างไม่แยแสสิ่งใดอีก “ข้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกพี่น้องของเจ้าทุบตีและด่าทอ ข้าวสักมื้อยังต้องร้องขอจากผู้อื่นราวกับขอทาน! ทว่าเจ้ากลับไปเริงรักกับนังจิ้งจอกเหล่านั้น!”