ตอนที่ 169 ครอบครัวแตกแยก

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 169 ครอบครัวแตกแยก

ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นย่ำ ผู้คนต่างทยอยกลับจากการทำงานกลางทุ่งนาเรือกสวน ดังนั้นเสียงโวยวายของแม่นางเฉินจึงดึงดูดความสนใจจากชาวบ้านเป็นอันมาก

คนในหมู่บ้านไป๋ซีมีอุปนิสัยช่างสอดรู้สอดเห็น เมื่อรู้ว่ามีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นจึงเรียกพวกพ้องให้มาเงี่ยหูฟังเพื่อจะได้จับกลุ่มนินทาในภายหลัง

ครั้นได้ยินเรื่องหอชุ่ยเซียง บรรดาชายหนุ่มต่างหัวเราะกันอย่างครื้นเครง เพราะเข้าใจหัวอกของหยุนลี่เซียว ส่วนบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่กลับขดริมฝีปากอย่างนึกรังเกียจ บางรายถึงกับทนฟังต่อไปไม่ได้จึงเดินเลี่ยงออกไปทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ

“ใครใช้ให้เจ้าอัปลักษณ์เช่นนี้เล่า?!” หยุนลี่เซียวไม่รู้สึกละอาย ครั้นพบว่ามีผู้อื่นจ้องมองอยู่จึงวางท่าว่าตนเป็นใหญ่เหนือภรรยา เขาเชิดหน้าขึ้นพลางถากถางแม่นางเฉินด้วยวาจารุนแรง “ดูสารรูปของเจ้าเสีย… หน้าตาผิวพรรณเช่นนี้ แม้เป็นสาวรับใช้คอยสวมรองเท้าให้พวกนางยังดูต่ำต้อยนัก!”

สตรีงามในหอนางโลมมีทรวดทรงโค้งเพรียว ทั้งกิริยาท่วงท่ายังอ่อนหวานสวยสง่า เพียงแย้มรอยยิ้มกว้างก็เพียงพอแล้วที่จะจรรโลงใจให้เหล่าบุรุษเก็บไปฝันใฝ่ นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านบรรเลงดนตรีและการละเล่นต่าง ๆ ตรงข้ามกับ… รูปกายเต็มไปด้วยเนื้อไขมันกระเพื่อมและใบหน้าฉ่ำเยิ้มไปด้วยฝุ่นผงและเหงื่อสกปรกของแม่นางเฉินกลับทำให้หยุนลี่เซียวไม่อาจทนมองเพราะความรังเกียจ

“นังจิ้งจอกเหล่านั้นสามารถสืบทอดทายาทให้แก่เจ้าได้งั้นหรือ? สามารถรองมือรองเท้ารับใช้ตระกูลของเจ้าได้เช่นเดียวกับข้างั้นหรือ?!”

แม้โดนด่าทอราวถูกตบหน้ากลางที่สาธารณะทว่าแม่นางเฉินยังคงหน้าทนไร้ยางอาย หากเป็นสตรีนางอื่นถูกเหยียดหยามเรื่องรูปลักษณ์ถึงเพียงนี้คงไม่มีแก่ใจจะเสวนาต่อและวิ่งหนีไปกระโดดน้ำตายเพราะความอับอายแต่แรกแล้ว แม่นางเฉินมิได้ทำเช่นนั้นแต่กลับตามติดหยุนลี่เซียวแจโดยอย่างไม่ละความพยายาม ทั้งยังร้องไห้คร่ำครวญตัดพ้อไม่หยุดหย่อน

หยุนลี่เซียวอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงออกแรงผลักแม่นางเฉินให้เซออกห่างพร้อมเผยสีหน้าถมึงทึง “หากเจ้ายังโวยวายไม่เลิก ข้าจะทุบตีเจ้าเสียตรงนี้!”

นางเฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งพลางสะอึกอย่างไม่นึกว่าหยุนลี่เซียวจะกล้าผลักไสนางเช่นนี้ ครั้นได้สติรู้ตัวจึงทรุดกายลงนั่งกองกับพื้นและเริ่มร้องไห้ออกมาเสียงดังอีกครั้ง

หยุนลี่เซียวไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาหันหลังเดินจากไปพร้อมยกมือไพล่หลังและผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกฝันหวานเกี่ยวกับสาวงามในหอชุ่ยเซียงเหล่านั้น

“สะใภ้สาม ลุกขึ้นเถิด มีปัญหาใดค่อยไปหารือกันที่บ้าน” แม่นางเหลียนและครอบครัวตามมาดูเหตุการณ์เช่นกัน นางรีบวางจอบเสียมในมือลงและสะกิดเรียกหยุนเยี่ยนให้ช่วยกันประคองนางเฉินลุกขึ้น

ทว่านางเฉินกลับนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไม่ว่าจะถูกฉุดกระชากลากถูเพียงใด สภาพของนางตอนนี้ช่างน่าสมเพชไม่ต่างอะไรไปจากหมูที่นอนขี้เกียจอยู่ในคอก

“ลุกขึ้นเถิด อย่ามัวประจานตนเองอยู่ที่นี่เลย…” แม่นางเหลียนกล่าวโน้มน้าวแม่นางเฉินอีกครั้ง

“ฮึก… ฮึก…” แม่นางเฉินนั่งอ้าปากพะงาบอยู่เช่นนั้น สายตาของนางเหม่อลอยไร้จุดหมาย หยดน้ำตาบนสองแก้มเหือดหายไปสิ้นแล้ว

ผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้านต่างเดินเข้ามาช่วยแม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนอีกแรง บางคนเพียงยืนสังเกตสังกา บางคนเข้าช่วยดึงร่างแม่นางเฉินให้ลุกขึ้น และบางคนต่างหันไปซุบซิบวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องน่าอับอายเมื่อครู่

“หยุนลี่เซียวนั่นคงทำเพียงหาเรื่องมาอวดอ้างและเปรียบเทียบเจ้าเท่านั้น คนเช่นนั้นรึจะมีปัญญาคว้าโสเภณีมาทำเมีย!”

“จริงดังเจ้าว่า ผู้หญิงเหล่านั้นจะมาอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“โอ๊ย… ผู้ใดกันจะกล้าตบแต่งสตรีประเภทอย่างว่าเข้าบ้าน เขาไม่กล้าพอจะทำลายครอบครัวตนจนย่อยยับเป็นแน่”

“พวกนางต่างเป็นสนมลับ ๆ จากตระกูลใหญ่ที่ถูกส่งมาขัดดอก หน้าตาผิวพรรณจึงผ่องใสผิดกับสาวชาวบ้านเช่นพวกเรา คนเหล่านั้นไม่พึงใจวิถีชีวิตที่นี่อย่างแน่นอน”

ครอบครัวในหมู่บ้านแถบชนบทมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่หรูหรา ทั้งทำงานหนักจนไม่มีเวลาใส่ใจประทินผิว ดังนั้นพวกนางล้วนเป็นศัตรูกับเหล่าสตรีผู้งดงามในเมืองใหญ่โดยสัญชาตญาณ ครั้นเกินเรื่องว่าหยุนลี่เซียวหลงใหลนางโลมเหล่านั้นจนหลงลืมภรรยาตน แม่นางเฉินจึงได้รับความสงสารเห็นใจอย่างล้นหลาม

หลังใช้เวลาปลอบประโลมนางอยู่เป็นนาน หยุนลี่เซียวซึ่งเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดก็เดินลับหายไปจากสายตาเสียแล้ว

“เจ้าสาม” ทันทีที่กลับถึงบ้าน หยุนลี่เต๋อจึงตะโกนเรียกหยุนลี่เซียวจากด้านหลังทันที

หยุนลี่เซียวกลอกตาอย่างเกียจคร้านก่อนหันไปหาหยุนลี่เต๋อ “ว่าอย่างไรรึ?”

“เจ้าเข้าไปสถานที่อโคจรเช่นนั้นได้อย่างไร? เหตุใดจึงไม่นึกถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลบ้าง…”

“สถานที่อโคจรใดกัน? ดูท่านพูดเข้าสิ!” หยุนลี่เซียวตอบกลับด้วยรอยยิ้มยียวน “ท่านเองก็เป็นบุรุษอกสามศอก ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าท่านไม่ต้องการไปเยือนสรวงสวรรค์เช่นหอชุ่ยเซียง ผู้คนในหมู่บ้านก็ล้วนแล้วแต่รู้จักกันเพียงวงใน จะถือความเอาเป็นเรื่องเสียหายไปไยกัน?”

“สถานที่เช่นนั้น…” หยุนลี่เต๋อเผยสีหน้าคล้ำหม่นอย่างละอายใจที่จะกล่าวถึง “ชีวิตนี้ข้าไม่มีวันย่างกรายเฉียดใกล้หรือแม้แต่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปอย่างแน่นอน!”

“ประเสริฐแท้!” หยุนลี่เซียวยกยิ้มด้วยต้องการประชดประชันก่อนเดินโคลงศีรษะไปมา เขาเดินอาด ๆ ผ่านลานกว้างหน้าบ้านตระกูลหยุนเข้าไปภายใน

แม่นางจ้าวกำลังกรีดนิ้วที่เรียวยาวดั่งลำเทียนขณะล้างผักด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ครั้นเห็นผู้มาใหม่เหยียบย่างเข้ามาในบ้านจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนตั้งสติได้และตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าสามกลับมาแล้ว!”

เมื่อหยุนลี่เซียวหายออกไปจากบ้านและไม่กลับมาหลายวันแม่นางจ้าวได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้หยุนลี่เซียวหวนกลับมาอยู่ให้รกสายตาอีก แต่เมื่อได้เห็นว่าหยุนลี่เซียวยังสุขกายสบายใจดี สิ่งนี้ทำให้แม่นางจ้าวรู้สึกราวถูกต้องโทษ

ขอบคุณสวรรค์! ตัวหายนะแห่งตระกูลกลับมาที่บ้านเช่นนี้ หากจะไล่ตะเพิดออกไปเห็นทีต้องยืมมือแม่เฒ่าจูให้ออกโรงด้วยตนเอง!

เสียงของแม่นางจ้าวกังวานก้องไปถึงชั้นบน ครู่หนึ่งประตูห้องบานหนึ่งจึงถูกกระแทกให้เปิดกว้าง

“ไอ้บ้าสาม! เจ้ายังหาญกล้ากลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกรึ?!” คนแรกที่มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้คือหยุนชิ่วเอ๋อ มือข้างหนึ่งเท้าไว้ที่บั้นเอว ส่วนอีกข้างยกขึ้นในแนวระนาบพร้อมกรีดนิ้วชี้หน้าหยุนลี่เซียวอย่างเกรี้ยวกราด “ดูเจ้าซิ! ทำครอบครัวย่อยยับประหนึ่งเอามีดจ้วงแทงด้วยมือตนนับพันครั้ง ยังลอยหน้าลอยตาทำระรื่นอยู่ได้!”

หยุนลี่เซียวซึ่งถูกนางต้อนรับกลับด้วยคำพูดอันเจ็บแสบผงะด้วยตกตะลึงไปครู่ใหญ่ในตอนแรก แต่เมื่อใคร่ครวญดีแล้วจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกอย่างไม่สะทกสะท้าน

“หยุนลี่เซียว! ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกรึ?! ดี! ข้าจะฉีกปากของเจ้าเสีย!” หยุนชิ่วเอ๋อยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะไฟโทสะที่ทวีขึ้น ใบหน้าบวมเต่งบิดเบี้ยวราวลูกบอลที่ผิดรูป

“โอ้… นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง! ข้าไม่อยู่บ้านเป็นเวลานานทว่าอารมณ์ของเจ้ายังร้อนแรงไร้พัฒนาการ” หยุนลี่เซียวเงยหน้ามองหยุนชิ่วเอ๋อด้วยรอยยิ้มขบขันทว่าสายตากลับระแวดระวังภัยทุกฝีก้าว

ฉากระทึกเช่นนี้เห็นทีต้องเรียกให้ชาวบ้านมามุงดูกิริยาอันโสมมของสตรีผู้นี้ให้เต็มตาเสียแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า!

“ไอ้เด็กเอ้อหลางนั่นทำเรื่องเลวทรามกับข้าไว้มากมายเพียงใดข้ายังไม่ได้ชำระความ! หากมันไม่กล้าแหยมหน้ากลับมา เช่นนั้นข้าจะเอาเลือดหัวของพ่อมันออกเพื่อชดใช้แทนเสีย!” หยุนชิ่วเอ๋อพูดพลางเงื้อฝ่ามือหมายจะตะครุบศีรษะหยุนลี่เซียว

ทว่าหยุนลี่เซียวเร็วกว่า เขารีบกระโดดไปหลบอยู่ด้านหลังหยุนลี่เต๋ออย่างไม่รอช้า ทว่ายังไม่ละความฝีปากกล้ากล่าววาจายั่วยุโทสะหยุนชิ่วเอ๋ออย่างดุเดือด “นั่นถือเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การชื่นชมมิใช่รึ? ลูกชายข้ามีความสามารถเก่งกล้าเสียจริงที่เอาชนะเจ้าได้ หากเขากลับมา ข้าคงต้องสรรเสริญเขาให้หนักทีเดียว! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“หยุนลี่เซียว! หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้! ข้าจะชำระแค้นความเก่าและความใหม่ให้เสร็จในคราวเดียว!”

“ชำระแค้นความใดกัน? รอให้ข้ากินข้าวเสร็จแล้วค่อยหารือกันดีหรือไม่?!” หยุนลี่เซียวเบ้ปาก สายตาเหลือบมองไปยังจุดซักล้างหน้าห้องครัวก่อนถากถางแม่นางจ้าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “โอ้… พี่สะใภ้ใหญ่ผู้สูงศักดิ์ของข้า ไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีบุญตาได้เห็นท่านก่อไฟทำอาหารด้วยตนเอง! ร้อยปีคงเห็นสักครั้งกระมัง!”

แม่นางจ้าวถลึงตาโพลงอย่างโกรธจัด “ดูใบหน้าไร้ความละอายของเจ้าเสีย! หลายวันมานี้เจ้าไปซุกหัวนอนอยู่แห่งใด?”

“หึหึหึ…” หยุนลี่เซียวยิ้มเยาะก่อนใช้ปลายมีดสะกิดโทสะของแม่นางจ้าว “ข้าไปที่สถานที่อย่างว่า รู้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่ก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน! เหตุใดท่านไม่รอให้เขากลับมาบรรยายให้ละเอียดเสียในช่วงที่ท่านกับเขาดับตะเกียงเตรียมนอนร่วมเตียงเล่า?”

“นี่! เจ้า! ฮึ่ม!” แม่นางจ้าวพ่นลมหายใจแรงด้วยความโกรธ “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นบัณฑิตผู้สูงส่ง ไฉนเลยจะกระทำเรื่องไร้ศีลธรรมจรรยาเช่นเจ้า!”

“เป็นบัณฑิตแล้วอย่างไร? บัณฑิตมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับห้ามมิให้เที่ยวเตร่ร่ำสุรากระนั้นรึ?” หยุนลี่เซียวยิ่งฟังยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่แม่นางจ้าวยกความเป็นผู้มีความรู้สูงส่งมากดขี่ตน “มันสมองของเขามิได้ใช้ไปกับการทำงานหาเงินให้ครอบครัวเช่นข้าด้วยซ้ำ!”

“หาเงินให้ครอบครัวงั้นหรือ? หึ! เจ้าสาม… เจ้ากล้าพูดอย่างไม่นึกกระดากปากเลยรึ? ผู้ที่ควรจะพูดเช่นนี้ควรเป็นท่านพ่อและท่านแม่เสียมากกว่าที่หาทรัพย์สินเพื่อวงศ์ตระกูลของเรามานานโข”

ศัตรูผู้ซึ่งมีศัตรูคนเดียวกันย่อมแปรเปลี่ยนเป็นพันธมิตรได้อย่างไม่ยากเย็น เวลานี้ทั้งหยุนชิ่วเอ๋อและแม่นางจ้าวกลายเป็นฝั่งเดียวกันที่คอยผลัดกันเหน็บแนมหยุนลี่เซียวไม่หยุดปาก

ฝ่ายหยุนลี่เซียวก็ไม่คิดยอมแพ้และหาทางกลบเกลื่อนจุดด้อยของตนทันที “เจ้ากล่าวหาว่าข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์อันใด แล้วตัวเจ้าได้ทำสิ่งใดบ้างหรือไม่? ถึงวัยอันควรแล้วยังไม่แต่งเรือนออกไปเสียที นอกจากไม่หาเงินแล้วยังเป็นตัวผลาญเงินไปกับสินสอดทองหมั้นที่ดูท่าจะขายไม่ออกเสียแล้ว!”

หยุนชิ่วเอ๋อโต้ตอบไม่ได้เพราะคำกล่าวของอีกฝ่ายเสียดแทงใจดำเสียยิ่งกว่าอะไรดี หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงโดยแรงเพราะความโกรธจนหายใจไม่ทั่วท้อง ริมฝีปากอ้าพะงาบครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมา

แม่นางจ้าวสบอารมณ์ที่เห็นสองพี่น้องก่อสงครามประสาทฟาดฟันกันด้วยคำพูด จึงถอยออกมาจากความขัดแย้งนั้นอย่างเงียบเชียบ เพื่อเฝ้ารอชมฉากระทึก ราวยืนอยู่บนกำแพงและจ้องมองไฟสงครามที่คุกรุ่น

ยิ่งไฟโทสะโหมกระหน่ำเพียงใดยิ่งเป็นการดีเท่านั้น ความเกลียดชังระหว่างพี่น้องอาจนำไปสู่เรื่องราวบานปลายที่กระทบกระเทือนจิตใจของแม่เฒ่าจูจนแทบกระอักตาย ถือเป็นการมุ่งร้ายอย่างแยบยลซึ่งตัวแม่นางจ้าวเองไม่จำเป็นต้องออกโรงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย