ตอนที่ 170 เรื่องขบขันของตระกูลหยุน

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 170 เรื่องขบขันของตระกูลหยุน

น่าเสียดายที่แผนการของนางจ้าวไม่เกิดผล

นางจ้าวคาดหวังว่าเรื่องคอขาดบาดตายระหว่างลูก ๆ อาจส่งผลให้แม่เฒ่าจูตรอมใจจนร่างกายทรุดโทรมและล้มป่วย ทว่าแม่เฒ่าจูมีร่างกายแข็งแรงบึกบึนจากการตรากตรำทำงานมาเกินครึ่งชีวิต เสียงสาปแช่งยังกังวานลั่นเป็นสัญญาณว่าจะอยู่ต่อได้ถึงหนึ่งร้อยปี ไร้วี่แววว่าจะล้มหายตายจากไปในเร็ววันนี้

แม่เฒ่าจูเดินออกมาจากห้องส่วนตัวและหยุดยืนเคียงข้างหยุนชิ่วเอ๋อ ครั้นเห็นหยุนลี่เซียวจึงตบต้นขาฉาดใหญ่ พร่ำคำผรุสวาทที่รุนแรงกว่าหยุนชิ่วเอ๋อร้อยเท่าพันเท่าออกมาทว่าหยุนลี่เซียวซึ่งเคยชินกับเหตุการณ์นี้เสียแล้วราวเนื้อหมูที่ไม่สะท้านเมื่อลงน้ำเดือด เขาได้แต่ใช้ปลายนิ้วอุดรูหูอย่างไม่แยแส ทำให้เสียงที่แว่วเล็ดลอดสู่โสตประสาทการได้ยินอู้อี้คล้ายเสียงยุงน่ารำคาญเท่านั้น

ผู้เฒ่าหยุนเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้หยุนลี่เซียวรู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง ทว่าผู้เฒ่าหยุนเพียงออกมายืนดูอยู่ใต้ชายคาโดยไม่ปริปากออกความเห็นใดแม้แต่คำเดียว สีหน้าของผู้เฒ่าหยุนทั้งหม่นหมองและฉายชัดซึ่งความเอือมระอา

หยุนลี่เซียวผู้นี้ไม่เป็นโล้เป็นพายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กระนั้นความเสเพลของหยุนลี่เซียวไม่ได้ทำให้ผู้เฒ่าหยุนผิดหวังเท่ากับหยุนลี่จง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจึงทำเพียงเงียบและปล่อยให้แม่เฒ่าจูด่าทอต่อไป

หยุนลี่เซียวอดทนถูกสาปแช่งอยู่ได้ไม่นานนัก ครั้นเห็นว่าผู้เฒ่าหยุนไม่ร่วมวงด่าทอจึงเผยรอยยิ้มยียวนกลบเกลื่อนความผิดตนและตั้งท่าเดินหนีเข้าบ้านไป

แต่ทันทีที่หยุนลี่เซียวยกเท้าเตรียมก้าวออก เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นกลับดังขึ้นจากประตูรั้วบ้าน

แม่นางเหลียนประคองร่างอ่อนแรงที่ส่งเสียงคร่ำครวญไม่หยุดหย่อนของแม่นางเฉินกลับมาถึงบ้านตระกูลหยุน ด้านหลังของพวกนางมีผู้หญิงจากครอบครัวอื่นติดตามมาด้วยสี่ถึงห้าคน จุดประสงค์แรกคือช่วยเหลือแม่นางเหลียน ส่วนจุดประสงค์รองนั้นเพราะความอยากรู้อยากเห็น

แม่นางเฉินเอียงคอให้พับไปด้านหลังทั้งยังทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไว้ให้แม่นางเหลียนแบกรับ ท่าทางเช่นนั้นมิได้ดูน่าสงสารแต่ดูน่าสังเวชเสียมากกว่า

“สะใภ้สาม เราถึงบ้านแล้ว เจ้ากลับมาถึงบ้านแล้ว…” แม่นางเหลียนกล่าวเรียกสติแม่นางเฉินก่อนที่ตนจะหมดแรงและปล่อยร่างนางเฉินให้ร่วงลงกองกับพื้น

หยุนชิ่วเอ๋อละความสนใจจากหยุนลี่เซียวก่อนมองไปทางแม่นางเฉิน ครั้งเห็นว่าด้านหลังแม่นางเฉินมีหยุนเซียงติดตามมาด้วย อารมณ์ที่สงบลงบ้างแล้วจึงปะทุขึ้นมากอีกครั้ง ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปใหญ่ หยุนชิ่วเอ๋อผุดลุกขึ้นทันทีและเตรียมดึงชายกระโปรงเพื่อลงไม้ลงมือกับอีกฝ่าย

“กล้ากลับมาแล้วหรือนังเด็กทรพี! ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียทั้งแม่ทั้งลูก!”

อารมณ์ฉุนเฉียวของหยุนชิ่วเอ๋อรุนแรงประหนึ่งมรสุมลูกใหญ่พร้อมทำลายศัตรูให้พินาศภายในชั่วพริบตา หยุนเซียงหวาดกลัวจนตัวสั่นได้แต่หลบอยู่ด้านหลังแม่นางเฉิน ส่วนนางเฉินแม้ทำทีว่าไร้กำลังทว่าไม่ได้ไร้สติ ครั้นเห็นว่าภัยจวนตัวจึงผลักแม่นางเหลียนไปด้านหน้า

“เจ้า!” หยุนชิ่วเอ๋อไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะใช่เป้าหมายของตนหรือไม่ นางเงื้อด้ามไม้กวาดขึ้นสูงหมายหวดฟาดสุดแรง

“อย่านะ…” แม่นางเหลียนไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันเวลาจึงทำเพียงหันหลังกลับและหลับตาปี๋รอคอยความเจ็บปวด

หยุนลี่เต๋อรีบหันกลับไปมอง ครั้นเห็นว่าด้ามไม้กวาดกำลังจะเหวี่ยงฟาดใส่แม่นางเหลียนจึงรีบเข้าไปดึงตัวนางให้หลบไปด้านข้างได้ทันเวลา

“พวกเจ้าล้วนต่อต้านข้า วันนี้ข้าจะทุบตีพวกเจ้าให้ตายยกบ้าน!” หยุนชิ่วเอ๋อแผดเสียงลั่นอย่างดุร้าย

แม่นางเฉินไร้โล่กำบังสำหรับตนเองอีกต่อไป ลานกว้างหน้าบ้านเต็มไปด้วยความโกลาหล ใบหน้าของหยุนเซียงซึ่งไร้ที่พึ่งแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเพราะความหวาดกลัวจนไม่อาจขยับเขยื้อน

เหล่าผู้หญิงที่ติดตามแม่นางเหลียนมาทนให้หยุนชิ่วเอ๋ออาละวาดฟาดงวงงาไม่ได้อีกต่อไป พวกนางรีบวิ่งมาขัดขวาง หยุนลี่เซียวที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านทันที

“หยุนลี่เซียว เจ้าเป็นสามีประสาอะไรกัน? ภรรยาและลูกสาวของเจ้าจะถูกน้องสาวตัวดีของเจ้าไล่ตีจนตายอยู่แล้ว เจ้าไม่สนใจว่าพวกนางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรเลยหรือ?!”

“โธ่เอ๊ย! ชิ่วเอ๋อบ้าคลั่งเหมือนสายน้ำเชี่ยวถึงเพียงนี้ หากพายเรือเข้าไปขวางมิจมน้ำตายกันไปหมดเลยหรือ? ประตูรั้วยังไม่ปิดตายเสียหน่อย หนีกลับไปอยู่บ้านแม่ของนางเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว!”

“หึ! บ้านเก่าของนางมีสิ่งใดดีงามไปกว่าบ้านของเจ้างั้นรึ? นางแต่งงานออกเรือนมาแล้วย่อมถือว่าเป็นคนของตระกูลเจ้าโดยสมบูรณ์ หากหวนกลับไปความเป็นอยู่ย่อมต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว!”

“มีพวกเราอยู่ที่นี่ คอยดูเถิดว่านางจะบ้าดีเดือดถึงขั้นไม่แยแสพวกข้าเลยหรืออย่างไร”

“ที่พวกข้ากล้าตักเตือนก็เพราะล้วนผ่านการแต่งงานมาแล้ว เหตุใดจะไม่เข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกันเล่า?”

ตามหลักแล้วสตรีแรกรุ่นไม่ค่อยมีปากเสียงใด ๆ แตกต่างจากสตรีผู้ผ่านการแต่งงานแล้วที่ออกความเห็นทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะควร ยิ่งเมื่อรวมกลุ่มกันแล้วอิทธิพลของพวกนางย่อมมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเกรงอกเกรงใจ

อย่างไรก็ตาม แม้พวกนางจะไม่พอใจความเจ้าอารมณ์ของหยุนชิ่วเอ๋อทว่ายังรู้สึกเกรงใจผู้เฒ่าหยุนซึ่งเป็นผู้นำตระกูลอยู่บ้าง พวกนางจึงพุ่งเป้าตำหนิหยุนชิ่วเอ๋อเพียงผู้เดียวไม่กล้าพาดพิงไปถึงรุ่นพ่อแม่ว่าอบรมสั่งสอนกันมาอย่างไร

หยุนชิ่วเอ๋อเย่อหยิ่งเกินกว่าจะระงับโทสะตามคำตำหนิของคนนอก เมื่ออยู่ในเขตบ้านของตน จึงไม่นึกเกรงกลัวต่อสิ่งใด เวลานี้นางหยุดไล่ตามแม่นางเฉินแล้วและหันกลับมาต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ลำคอระหงเชิดขึ้นอย่างทระนง แขนเสื้อถูกพับทบขึ้นพร้อมต่อสู้

“ฮึ่ม! พี่ใหญ่ของข้าจะได้รับราชการเป็นขุนนางยศใหญ่ในไม่ช้านี้! ตัวข้าจะได้เป็นคุณหนูมีสกุลรุนชาติตบแต่งกับตระกูลมั่งคั่งเป็นฮูหยินใหญ่ พวกเขาล้วนต้องปรนเปรอเงินทองและให้ข้าได้สวมชุดหงส์เพลิงปักดิ้นทองอย่างสมเกียรติ!” หยุนชิ่วเอ๋อหรี่ตาพลางพูดพล่ามถึงอนาคตอันแสนหวานอย่างภาคภูมิ “ผู้หญิงยาจกบ้านนอกเช่นพวกเจ้าไม่เคยได้รับโอกาสเหล่านั้นเพราะเอาแต่ตรากตรำทำนาอย่างไร้เกียรติ ไม่ควรค่าแม้แต่จะตักเตือนข้าด้วยซ้ำ!”

วาจาเหยียดหยามจากปากหยุนชิ่วเอ๋อประหนึ่งไฟลามทุ่ง ส่งผลให้โทสะของผู้ฟังปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝีปากของพวกนางย่อมร้อนแรงไม่น้อยไปกว่าคนตรงหน้า ศึกแห่งการปะทะคารมจึงเริ่มต้นขึ้นทันที

“โอ้… แล้วต้องรอชมไปอีกนานเพียงใดกันล่ะ?”

“นั่นสิ หากรู้กำหนดเวลาข้าจะได้เตรียมตีฆ้องร้องป่าวเพื่อเฉลิมฉลองให้ลือลั่นทีเดียว!”

“ใส่เครื่องประดับทอง นอนบนกองเงิน สวมชุดหงส์เพลิงอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าชายผู้โชคร้ายคนนั้นอาจเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากผู้ว่าการมณฑลที่แก่กว่าเจ้าเกินหนึ่งรอบแล้วล่ะ!”

สิ้นคำกล่าว พวกนางก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวพบพานเรื่องน่าขบขันเข้าแล้ว

ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของหยุนชิ่วเอ๋อซับสีแดงก่ำสลับกับซีดเผือดไปครู่ใหญ่ โทสะพลุ่งพล่านเกินกว่าจะด่าทอกลับจึงได้แต่กรีดร้องราวคนเสียสติ ทันใดนั้นเสียงกร้าวราวคำประกาศิตของผู้เฒ่าหยุนจึงดังขึ้น “ชิ่วเอ๋อ! กลับเข้าบ้านเสีย!”

“ท่านพ่อ!” หยุนชิ่วเอ๋อไม่ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“กลับเข้าห้องไปซะ! ถูกถากถางถึงเพียงนี้ไม่อับอายบ้างหรืออย่างไร?!”

ผู้เฒ่าหยุนเผยสีหน้าดุดันดุจพยัคฆ์หมายตะครุบเหยื่อ หยุนชิ่วเอ๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดริมฝีปากของตนอย่างขัดใจ พลางจ้องเขม็งไปยังกลุ่มผู้หญิงที่ดักอยู่หน้าประตูบ้านราวจะจิกทึ้งหนังศีรษะออกมาให้จงได้

“เจ้าเองก็กลับเข้าห้องไปเสียเถิด” ผู้เฒ่าหยุนหันไปสั่งความกับแม่เฒ่าจูด้วยเสียงแผ่วเหมือนกระซิบ

แม่เฒ่าจูเอี้ยวสะโพกกลับมาสบตาผู้เฒ่าหยุนด้วยแววตาขมขื่น จากนั้นจึงสะบัดหน้าไปอีกทางพร้อมถ่มน้ำลายออกไปนอกตัวบ้านและออกแรงดึงแขนหยุนชิ่วเอ๋อให้กลับเข้าบ้านโดยทันที

“ท่านพ่อ… ท่านพ่อ… โปรดตักเตือนลูกชายคนที่สามของท่านแทนลูกสะใภ้ด้วย! ท่านโปรกดสนใจมองข้าที…” แม่นางเฉินเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าตนเองและร้องตะโกนขอความยุติธรรมพลางร้องไห้คร่ำครวญอย่างไม่หยุดปาก

แม่นางเหลียนตกตะลึงในการกระทำไร้ยางอายของอีกฝ่ายจึงรีบห้ามปราม “สะใภ้สาม! หยุดดึงทึ้งเสื้อผ้าได้แล้ว ที่นี่มีคนอื่นอยู่ด้วยมากมายเจ้าไม่เห็นรึ?!”

ท่ามกลางความวุ่นวายไม่จบสิ้น ผู้เฒ่าหยุนเพียงปรับสีหน้าให้เย็นเยือกประดุจมีแผ่นน้ำแข็งเคลือบไว้ เขาโบกมือเป็นเชิงขับไล่บรรดาชาวบ้านที่ยืนมุงดูอยู่นอกรั้ว “จบเรื่องแล้ว ไปเสียเถิด!”

จากนั้นผู้เฒ่าหยุนจึงหันไปสั่งการหยุนลี่เต๋อ “เจ้ารอง ไปปิดประตูรั้วเสีย”

ครั้นคนนอกออกไปและประตูรั้วปิดสนิท สถานการณ์ในบ้านตระกูลหยุนจึงสงบลง

แม่นางเฉินร้องแหกปากตะโกนต่อไปอีกสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าหยุนไม่แม้แต่จะแยแสทั้งยังเผยสีหน้าเดียดฉันท์อย่างเห็นได้ชัดจึงปิดปากสนิทไม่กล้าโวยวายอีกต่อไป ก่อนพุ่งตัวเข้าไปหลบอยู่ในห้องส่วนตัวทางปีกตะวันออก

“กลับมาได้แล้วงั้นหรือ?” ผู้เฒ่าหยุนยกมือไพล่หลัง เขาลืมตาขึ้นและเหลือบมองหยุนลี่เซียวด้วยหางตา

“โธ่ ท่านพ่อ… ข้าจะไปหลบอยู่ที่ใดได้หากไม่ย้อนกลับมายังบ้านของตนเอง” หยุนลี่เซียวเอียงคอทำราวกับตนไม่ได้ก่อเรื่องใด ๆ ไว้

“เงินที่ได้ไปหมดเกลี้ยงแล้วงั้นสิ?” ผู้เฒ่าหยุนเอ่ยถาม

“เงินก้อนนี้นับว่าจำกัดจำเขี่ยนัก ตัวข้าเองก็หยิบมาใช้จ่ายไปเพียงเล็กน้อย น่าแปลกที่มันกลับหายไปราวถุงเงินรั่วไหล”

“ดอกไม้หากไม่บอบช้ำแล้วจะเฉาตายได้อย่างไรกัน?” ผู้เฒ่าหยุนเหน็บแนมกลาย ๆ ผ่านสำนวนเปรียบเปรย

หยุนลี่เซียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย คำกล่าวของผู้เฒ่าหยุนเรียบนิ่งราวไม่โกรธเคืองทว่าแฝงไปด้วยการตำหนิทางอ้อมอย่างเจ็บแสบ แม้ตัวหยุนลี่เซียวจะหน้าทนไม่แยแสสิ่งใดราวหมูตายถูกน้ำร้อนลวก แต่การกระทำของผู้เฒ่าหยุนทำเอาตนถึงขั้นชะงักงัน

ผู้เฒ่าหยุนกล่าวจบแล้วจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่ปริปากคำใดอีก

หยุนลี่เซียวตกตะลึงเป็นหนที่สอง เขาฝืนใจผิวปากกลบเกลื่อนก่อนหันไปหาหยุนลี่เต๋อ “พี่รอง เห็นหรือไม่? แม้แต่ท่านพ่อยังไม่คิดลงโทษข้า”

หยุนลี่เต๋อไม่สนใจตอบกลับให้มากความ เขาคว้าด้ามขวานและเดินเลี่ยงไปหลังบ้านเพื่อทำการผ่าฟืนอย่างเงียบเชียบ

“เยี่ยนเอ๋อ เชวี่ยเอ๋อ ลงมาช่วยแม่ประเดี๋ยวเถิด” แม่นางเหลียนตะโกนเรียกหยุนเยี่ยน

อาหารในส่วนที่แบ่งไว้จากมื้อเที่ยงจะถูกอุ่นร้อนใหม่และปรุงเพิ่มอีกไม่กี่อย่าง นอกจากนี้ยังต้องช่วยกันล้างจาน ก่อไฟ และขัดก้นหม้อให้เรียบร้อย

ครอบครัวรองกำลังสาละวนทำอาหารอยู่ในห้องครัวฝั่งปีกตะวันตก ส่วนแม่นางจ้าวซึ่งยืนอยู่ที่ปากประตูห้องครัวฝั่งปีกตะวันออกเพิ่งจับสังเกตถึงความผิดปกติ

แม่นางเฉินกลับมาที่บ้านแล้ว ทว่าเหตุใดจึงยังไม่ลงมาก่อไฟทำอาหารเสียที?!

“สะใภ้สาม! สะใภ้สามเจ้าอยู่หรือไม่?” แม่นางจ้าวตะโกนร้องเรียกไปทางห้องชั้นบน “เจ้ามัวเกียจคร้านอยู่แต่ในบ้านด้วยเหตุใดกัน? ถึงเวลาแล้วยังไม่ลงมาก่อไฟปรุงอาหารอีก! ท่านพ่อท่านแม่หิวกระหายเต็มทีแล้ว!”

ห้องฝั่งปีกตะวันออกของแม่นางเฉินยังคงเงียบสงัดไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงก่นด่าของแม่เฒ่าจูที่แว่วเข้าหู

“นังสะใภ้สามเนรคุณ! เจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่หรือไม่? ระเห็จหนีออกไปอยู่ที่อื่นราววณิพกเร่ร่อนเสียหลายวัน รู้หรือไม่ว่าครอบครัวของข้าต้องลำบากลำบนเพียงใด?! หัดเบิกตาดูแล้วซึมซับเข้าไปในหัวคิดของเจ้าเสียบ้าง!”

แม่นางจ้าวหัวเราะอย่างสาแก่ใจเมื่อสุดท้ายแล้วตนสามารถส่งคบเพลิงให้ไปแผดเผาอยู่บนหัวของแม่นางเฉินได้สำเร็จ ทว่านึกยินดีอยู่ไม่ทันไรแม่เฒ่าจูก็เบนหัวเรือมาด่าทอตนอีกครั้ง “สะใภ้ใหญ่ อย่าได้คิดว่าสะใภ้สามกลับมาแล้วตนจะเชิดหน้าชูคอเยี่ยงนางหงส์ได้! จากนี้อาหารการกินเจ้าจะต้องจัดการเสาะหาด้วยตนเอง หากเกียจคร้านสันหลังยาวเช่นเดิมอีกละก็ได้… เห็นดีกันแน่!”