ตอนที่ 171 ตบหน้าตนเอง
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว
จนแล้วจนเล่าหยุนเหรินก็ยังไม่กลับมา ส่วนเรื่องน่าขบขันของตระกูลหยุนก็ถูกระงับไว้จากสายตาคนนอกชั่วคราวโดยผู้เฒ่าหยุน
ความขุ่นเคืองภายในใจของหยุนชิ่วเอ๋อยังไม่คลายลง นางยังคงจ้องเขม็งไปยังแม่นางเฉินและหยุนเซียง ด้วยสายตาที่คมกริบราวปลายมีดแห่งมัจจุราช เมื่อพวกนางจำต้องร่วมโต๊ะอาหารกันหยุนเซียง ก็ยังหวาดกลัวจนเอาแต่ก้มหน้างุดไม่สบตาผู้ใด
“กินสิ! กินเข้าไป! สวาปามลงคอให้สำลักอาหารตายไปเสีย!” หยุนชิ่วเอ๋อสบถสาปแช่งสองแม่ลูกอย่างรุนแรง
แม่นางเฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นทั้งยังนั่งตัวบวมอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนด้วยเกรงว่าหากตนทำสิ่งใดให้เป็นที่ระคายตาเพียงนิดอาจถูกแม่เฒ่าจูจับผิดและหยิบยกมาด่าทอตนอย่างไม่รู้จบ
แม่นางจ้าวสำลักควันไฟออกมาชุดใหญ่ วันนี้นางเกียจคร้านเกินกว่าจะร่วมโต๊ะอาหารจึงหาทางหลีกเลี่ยงโดยการยกชามซุปที่แยกเผื่อไว้สำหรับหยุนลี่จงออกไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารสำหรับสามีก่อน…”
“พี่ใหญ่ยังไม่กลับมาอีกรึ?” หยุนลี่เซียวยกยิ้ม “เวลานี้เขาคงไปกินอาหารเผ็ดร้อนน่าเร้าใจอยู่ด้านนอก คงไม่มีเวลากลับมาที่บ้านเพื่อกินซุปที่จืดจางคล้ายน้ำเปล่าของท่านเสียกระมัง”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลใหญ่แล้ว! พี่ใหญ่ของเจ้าเดินทางไปหารือธุระสำคัญกับมิตรสหายเก่าในเมืองต่างหาก” แม่นางจ้าวหรี่ตามองหยุนลี่เซียว ก่อนรวบปอยผมทัดไว้ที่หลังใบหูและกล่าวเสียงแผ่วราวกระซิบอีกครั้ง “เขาจะเป็นเหมือนเจ้าไปได้อย่างไร?”
แม้ในใจของแม่นางจ้าวรู้สึกห่อเหี่ยวเต็มที่กับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหยุนลี่จงที่ไร้ซึ่งความแน่นแฟ้นดังเคย ทว่าต่อหน้าผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูแล้วผู้เป็นภรรยาเช่นนาง มีหน้าที่ต้องปกป้องชื่อเสียงของหยุนลี่จงอย่างสุดความสามารถ
ไม่ใช่เพราะแม่นางจ้าวยังรักใคร่และเทิดทูนบูชาหยุนลี่จงจากใจจริง ทว่าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ผู้อื่นเห็นว่าแท้จริงแล้วตนและหยุนลี่จงยังผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอย่างดี เป็นการหลอกตนเองทางอ้อมให้ยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีในฐานะภรรยาบัณฑิตโดยไม่ต้องเผชิญกับการตั้งข้อสังเกตใด ๆ
“เป็นคนเช่นข้ามันย่ำแย่อย่างไรกัน? ข้าทำสิ่งใดให้เป็นที่ตำหนิในสายตาผู้อื่นรึ?” หยุนลี่เซียวแสร้งชี้นิ้วทำท่าไม่พอใจ แม่นางจ้าวผู้นี้เมื่อสบโอกาสก็คิดกวนน้ำให้ขุ่นอยู่เรื่อย!!
แม่นางจ้าวยังคงวางท่าทีสงบและตอบกลับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามิได้ทำสิ่งใดน่าตำหนิหรอก พี่สะใภ้หมายความว่าเจ้าควรเลือกทางเดินที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของตนในภายภาคหน้า และไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับตระกูลหยุนของเรา ไม่นานเกินรอพี่ใหญ่ของเจ้าย่อมนำพาเกียรติยศมาสู่พวกเราอย่างแน่นอน”
วาจาของนางทั้งคมคายและฉะฉาน ในประโยคสั้น ๆ ไม่เพียงต้องการปิดกั้นอีกฝ่ายเท่านั้นแต่ยังยกความดีความชอบให้หยุนลี่จงทั้งหมด
ทว่าหยุนลี่เซียวไม่มีนิสัยยอมจบเรื่องราวโดยง่าย ครั้นได้ยินคำพูดระคายหูจึงเขย่าขาพลางตอบกลับเป็นเชิงประชดประชัน “โอ้… พี่ใหญ่ร่ำเรียนเขียนอ่านตำรามาเป็นเวลาหลายปีดีดัก ในแต่ละวันไม่ได้แตะต้องงานบ้านงานเรือนหรือหาเงินเพื่อจุนเจือครอบครัวแม้แต่เหรียญเดียว ยังหวังจะให้ข้าพึ่งพาคนไร้อนาคตเช่นเขาอีกรึ?”
“นั่นเป็นเพราะเขาเพียรพยายามอย่างดีที่สุด…”
“เหอะ! ผ่านมาสองปีแล้วกระมังที่ข้าได้ยินเช่นนี้ ยังหลงเหลือความน่าเชื่อถืออยู่หรือไม่?”
แม่นางจ้าวและหยุนลี่เซียวเริ่มปะทะคารมกันอย่างดุเดือดขึ้นทุกขณะ กระทั่งผู้เฒ่าหยุนไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปจึงวางตะเกียบลงก่อนเอ่ยถาม “เจ้าใหญ่สั่งไว้หรือไม่ว่าคราวนี้เขาเดินทางไปทำธุระใด?”
ไม่ว่าชีวิตของหยุนลี่จงเผชิญกับความล้มเหลวนับพันครั้ง ทว่าผู้เฒ่าหยุนก็ยังนึกห่วงใยลูกชายคนโตอยู่เสมอ
“เขากล่าวว่ามีธุระสำคัญจำเป็นต้องหารือร่วมกันกับมิตรสหายในเมืองใหญ่เจ้าค่ะ” แม่นางจ้าวเอ่ยตอบ
“ธุระนั้นจะสลักสำคัญสักเพียงใดกัน? จวนมืดค่ำแล้วยังไม่กลับมา”
แม่นางจ้าวส่ายศีรษะ “ตอนที่เขาออกจากบ้านท่านพ่อทำงานอยู่ในสวนหย่อมหน้าบ้าน อย่าว่าแต่ท่านไม่รู้ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน…”
หยุนลี่เซียวยิ้มยียวนอีกครั้ง “ดึกดื่นเช่นนี้แล้วสถานที่เดียวเท่านั้นที่เขาจะไปคงไม่ผิดจากที่ข้ากล่าวไว้ข้างต้นเป็นแน่!”
แม่นางจ้าวเกียจคร้านเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับบุรุษขี้แพ้ชวนตีผู้นี้อีกต่อไป “ท่านพ่อ ข้าขอตัวนำอาหารขึ้นไปวางบนห้องก่อน”
ผู้เฒ่าหยุนโบกมือเป็นเชิงอนุญาต
“พี่ใหญ่ได้รับความสะดวกสบายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? แม้แต่สำรับยังแยกวงไปกินส่วนตัว อีกหน่อยหากเขาสร้างคุณงามความดีมิต้องสรรเสริญเซ่นไหว้ราวกับเป็นบรรพบุรุษเชียวหรือ?” หยุนลี่เซียวหยิบจานเปล่าซ้อนกันพลางโคลงศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์
ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของแม่นางจ้าวก้าวข้ามธรณีประตูห้องโถงใหญ่ออกไป “ก๊อก… ก๊อก… ปัง!” เสียงประตูรั้วบ้านถูกเคาะจากด้านนอกประมาณสองครั้ง ตามด้วยเสียงออกแรงกระแทกดังสนั่น
“นี่ยังไม่ถึงยามดึกเสียหน่อย เหตุใดจึงปิดประตูแน่นหนาถึงเพียงนี้?” เป็นเสียงของหยุนลี่จงที่ดังเล็ดลอดเข้ามา ครั้นไม่สามารถเปิดประตูได้โดยง่ายเช่นทุกครั้งจึงออกแรงทุบหลายครั้งบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิด
“โอ้! ท่านวีรบุรุษโจโฉแห่งตระกูลหยุนกลับมาได้แล้วหรือ?! มัวรอช้าอยู่ไยเล่า! ครอบครัวเราต้องให้การต้อนรับเขาอย่างสมเกียรติ!” ภายใต้เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยคำกล่าวเชิดชูมากมายกลับไร้ซึ่งความจริงใจประหนึ่งเป็นเพียงคำเหน็บแนมเท่านั้น
ครั้งนี้ผู้เฒ่าหยุนเหลือบมองการกระทำของหยุนลี่เซียวอย่างไม่พอใจอย่างยากจะระงับ นี่เป็นหนที่สามซึ่งหยุนลี่เซียวกล่าวดูหมิ่นเกียรติของหยุนลี่จง คิ้วของผู้เฒ่าหยุนขมวดเข้าหากันด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูก ๆ ของตนจึงเกลียดชังกันถึงเพียงนี้
ด้วยนิสัยที่ต้องการก่อความวุ่นวายในครอบครัวอันนำไปสู่ละครฉากใหม่ หยุนลี่เซียวจึงเป็นคนแรกที่ลุกเดินออกไปนอกตัวบ้านเพื่อต้อนรับหยุนลี่เซียว ทั้งยังกระวีกระวาดเข้าช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น “พี่ใหญ่ ท่านเมามายหนักทีเดียว ไปเที่ยวเตร่ร่ำสุราที่หอใดมาอย่างนั้นรึ?”
“ไม่หนัก… ไม่หนักแม้แต่น้อย…” ใบหน้าของหยุนลี่จงแดงก่ำเพราะพิษสุรา ดวงตาหรี่ปรือจนมองเห็นสิ่งใดไม่ถนัด ร่างกายอ่อนปวกเปียกและโถมแรงทั้งหมดที่มีไปยังหยุนลี่เซียวที่ช่วยประคองไว้ “หากเจ้าร่ำสุราติดต่อกันถึงหนึ่งพันวัน… ถึงเวลานั้นเจ้าอาจไม่ล่วงรู้ว่าผ่านพ้นวสันตฤดูไปสองถึงสามหนแล้ว!”
หยุนลี่เซียวโง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจคารมคมคายเหล่านั้น จึงเลิกใส่ใจและเอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการรู้ “พี่ใหญ่ ท่านไปดื่มกินกับผู้ใดหรือ?”
“กับผู้ใด…” หยุนลี่จงทวนคำถามเสียงอู้อี้เพราะลิ้นพองคับปาก เขาพยายามเพ่งมองอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกอย่างไร้สติ “เจ้าสาม… เป็นเจ้าสามนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ครั้นหัวเราะจนพอใจแล้วจึงใช้ฝ่ามือตบบ่าของหยุนลี่เซียวอย่างไม่ยั้งแรง “ข้ารู้… ข้ารู้… เจ้าเปล่าเป็นห่วงข้า แต่กลับยินดีเสียอีกที่ข้าเป็นเช่นนี้!”
หยุนลี่เซียวไม่ถือสาคนเมา ทั้งยังพยายามเอ่ยถามต่อไป “เหตุใดพี่ใหญ่จึงคิดว่าข้ายินดีมากกว่าห่วงใยเล่า?”
“เจ้า… เฮ้! อย่านะ! อย่าคิดเชียวว่าจะหลอกเอาความจากปากข้าได้…” หยุนลี่จงผละจากร่างหยุนลี่เซียวก่อนเดินโซเซไปทางขวาทีซ้ายที แต่ก็ไม่วายหันกลับมาเอ่ยคำทิ้งท้าย “ไม่พูด… ข้าไม่พูดเด็ดขาด! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หยุนลี่เซียวยู่ริมฝีปากขณะมองดูหยุนลี่จงเดินคลำผนังบ้านเพื่อกลับไปยังห้องนอนของตน เขาพอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้หยุนลี่จงคงไม่คิดออกมาเดินเตร่นอกห้องตลอดคืน
ส่วนแม่นางจ้าวยังคงถือถาดอาหารอยู่ในมือพลางเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะกิริยาไม่เหมาะไม่ควรของหยุนลี่จงเมื่อครู่
ก่อนหน้านี้แม่นางจ้าวสร้างเรื่องเทิดทูนเขาต่อหน้าผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูเป็นอย่างดีว่าที่หยุนลี่จงเข้าเมืองในครั้งนี้ก็เพื่อหารือธุระสำคัญกับสหายบัณฑิตด้วยกัน ทว่ายังไม่ทันขาดคำหยุนลี่จงกลับเข้ามาที่บ้านด้วยท่าทางเมามายไร้สติ นั่นถือเป็นการหักหน้าอย่างรุนแรงไม่เหลือชิ้นดี!
แล้วอาหารมื้อนี้ที่แม่นางจ้าวตั้งใจเก็บไว้สำหรับหยุนลี่จงเล่า? ยังความจำเป็นอยู่หรือไม่?
ทันทีที่หยุนลี่จงพาร่างหนักหน่วงของตนกลับเข้าห้องไปได้ เมื่อศีรษะเอนลงสัมผัสหมอนจึงหลับใหลสู่ห้วงนิทรารมย์และเปล่งเสียงกรนดังลั่น
“ดูสารรูปของพี่ใหญ่สิ! เขาปล่อยให้ข้าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดเพื่อธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น ทว่าตัวเขาเองกลับนำเงินไปใช้เที่ยวดื่มกินและกระทำเรื่องเสื่อมเสียต่อตระกูลหยุนเช่นนี้!” หยุนลี่เซียวได้ทีจึงกล่าวตำหนิหยุนลี่จงอย่างไม่รอช้า “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดจึงไม่ตามเข้าไปปรนนิบัติเขาเล่า?”
แม่นางจ้าว…
“อ้อ… จริงสิ! เมื่อครู่นี้ข้าคุ้นเคยกลิ่นหอมรัญจวนที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของพี่ใหญ่เสียจริง หอมหวานราวกลิ่นแป้งประทินผิวสตรี อืม… เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
มือทั้งสองข้างที่จับถาดอาหารแน่นเริ่มสั่นสะท้านเพราะแรงอารมณ์
ฝ่ายหยุนลี่เซียวเห็นว่าแม่นางจ้าวยังสะกดกลั้นอารมณ์โกรธอยู่จึงไม่ยอมแพ้ที่จะใส่สีตีไข่ต่อไป “ท่านกล่าวว่าเขาไปหารือธุระสำคัญกับสหายบัณฑิต สหายผู้นั้นเป็นสตรีหรอกหรือ?”
แม่นางจ้าวนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
“นี่ไม่ถูกต้อง! เป็นสตรีแล้วจะเขียนอ่านมีความรู้สูงส่งเช่นนักปราชญ์ได้อย่างไรกัน? พี่สะใภ้อาจหูฝาดไปกระมัง แท้จริงแล้วพี่ใหญ่อาจไม่ได้สั่งความว่าไปหารือธุระ แต่เขาต้องการไปหาเตียงเพื่อร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางเสียมากกว่า!” หยุนลี่เซียวเลิกคิ้วขึ้นสูงและลดระดับเสียงลงต่ำเมื่อกล่าวถึงเรื่องพรรค์นั้น
“เหลวไหล!” ใบหน้าของแม่นางจ้าวจากแดงก่ำแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันใด
“ข้าไม่ได้เหลวไหล! หากท่านเข้าใกล้เขาและสูดกลิ่นจากเสื้อผ้าประเดี๋ยวก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยนั้นเป็นความจริงหรือไม่ หรือท่านต้องการให้ข้าบอกตามตรงล่ะ?! นี่…”
แม่นางจ้าวกล่าวคำใดไม่ออกอีก นางกระแทกส้นเท้าเดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมถาดอาหารในมือพลางก้มหน้างุดไม่สบตาผู้ใด จากนั้นไม่นานจึงปิดประตูลงกลอนเสียงดัง
หยุนลี่เซียวทำเสียงจึกจักในลำคอก่อนนั่งลงที่โต๊ะอาหารและบรรจงคีบข้าวที่เหลืออยู่ในชามจนหมดพลางเขย่าขาไปด้วย ทว่าท่าทางที่แสดงออกกลับไร้ซึ่งความสบายใจ
เหตุใดหยุนลี่จงจึงใช้ชีวิตสุขสบายราวโชคลาภหล่นทับเช่นนี้? มีเงินมากพอที่จะจ่ายเพื่อร่ำสุราชั้นเลิศหลายจอก อีกทั้งบนเสื้อผ้ายังมีกลิ่นหอมซึ่งมาจากแป้งประทินผิวของสตรีในหอนางโลมราวมีโอกาสได้เสพสมกับนาง…
แล้วตัวหยุนลี่เซียวเล่า? ได้รับโอกาสใดบ้าง?
หยุนลี่เซียวมีโอกาสเข้าไปในหอชุ่ยเซียงที่มีชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือก็จริง ทว่าเงินที่นำติดตัวไปน้อยนิดจนจ่ายได้เพียงขนมและน้ำชามูลค่าไม่กี่เหรียญ แม้แต่มือขาวนวลเนียนของสตรีภายในนั้นยังไร้โอกาสสัมผัสให้ชื่นอุรา
ยิ่งครุ่นคิดหยุนลี่เซียวยิ่งเกิดความสงสัย ยิ่งใคร่ครวญยิ่งรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงเลือกที่จะเอ่ยถามผู้เฒ่าหยุนโดยตรงเพื่อคลายข้อข้องใจเหล่านี้ “ท่านพ่อ ท่านแบ่งเงินให้กับพี่ใหญ่เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่?”
ผู้เฒ่าหยุนตกตะลึงเพราะไม่ทันตั้งรับกับคำถามของหยุนลี่เซียวที่พุ่งเป้ามายังตนอย่างกะทันหันและตรงไปตรงมา ครั้นนึกไปถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงในถุงผ้าจึงอดรู้สึกประหม่าไม่ได้
“ท่านพ่อ! ใช่ว่าลูกชายอกตัญญู แต่ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านมีใจลำเอียงเพียงใด?! ข้าได้รับเงินไปเพียงสองตำลึงแต่ลูกเมียของข้ากลับถูกทุบตีเยี่ยงหมูหมา! แล้วพี่ใหญ่เล่า?! เขาใช้เงินทั้งหมดไปกับการดื่มกินเพื่อความสำราญ ทั้งยังจ่ายเงินซื้อนางบำเรอมาปรนนิบัติข้างกาย ครั้นกลับมาถึงบ้านได้ก็ผล็อยหลับไปอย่างสิ้นสภาพ แตกต่างกับข้าที่ต้องทำงานหนักแทบตายเพื่อหาเงินมาจุนเจือตระกูล! ท่านพ่อ… ข้าเองก็เป็นลูกชายคนหนึ่งของท่าน เหตุใดจึงมีเพียงเขาที่ได้รับความรักมหาศาลถึงเพียงนั้น?! ลูกชายคนเล็กของท่านมิได้มีราคาค่างวดให้ท่านนึกรักใคร่แม้แต่น้อยเลยหรืออย่างไร?!”