“เฉิงเหวินอวี๋”
อาจารย์เจียงโจวที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถง ขมวดคิ้วพลางตะโกนเรียก
ท่านชายเฉิงสี่ยืนขึ้นด้วยความหวาดหวั่น
“ไปเถิด”
อาจารย์เจียงโจวโบกมือพลางเอ่ย
สีหน้าท่านชายเฉิงสีซีดเผือดลงทันใด สองสามวันก่อนหน้านี้เขาขาดเรียนไปมาก ทั้งยังไม่ได้ลาอาจารย์อีก นี่คงเป็นการไล่เขาไปแล้วใช่ไหม
“ท่านอาจารย์ ขะ…ข้า…” เขาอยากจะอธิบายอย่างตะกุกตะกัก แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย
เรื่องในบ้านของตนเอง ก็ต้องจัดการให้ได้ด้วยตัวเอง ถูกเข้าใจผิดเพราะเรื่องนี้ ก็สมควรแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอ้อนวอนอะไร
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ก่อนจะก้มหน้าแล้วเก็บหนังสือ
“รีบคุยแล้วรีบกลับมา เจ้าเสียเวลาเรียนมามากพอแล้ว” อาจารย์เจียงโจวเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ผงะ เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์เจียงโจว
คนเช่นนี้ กลับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับหญิงสาวคนนั้นหรือนี่
อาจารย์เจียงโวขมวดคิ้ว
“คนในครอบครัวของเจ้ามาหา” เขาเลิกคิ้วพลางตะโกน “รีบไปรีบกลับ!”
ท่านชายเฉิงสี่ได้สติในที่สุด มีสีหน้าปรีดาขึ้นมาทันใด
ไม่ได้ไล่เขาออกหรือ!
“ขอบคุณท่านอาจารย์” เขายิ้มอย่างดีใจพลางทำความเคารพ
ทันใดนั้นเอง ก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนที่จะมาหาเขาโดยผ่านทางอาจารย์เจียงโจวก็มีแต่เฉิงเจียวเหนียงเท่านั้น จึงรู้สึกไม่สบายใจโดยพลัน
หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว
หากรู้เช่นนี้วันนั้นเขาไม่น่ากลับมาเลย…
อาจารย์เจียงโจวส่ายหน้า เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินโซซัดโซเซออกไป
“นั่งให้เรียบร้อย” เขาเคาะโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง
เหล่าลูกศิษย์ที่กำลังกระซิบกระซาบ พูดหยอกล้อกันอยู่ก็รีบนั่งตัวตรง
“…ความร่ำรวยและยศถา คือสิ่งที่ผู้คนปราถนา แต่หากมิได้มาโดยชอบธรรม ก็มิขอครอบครอง ความยากจน และต่ำต้อย คือ สิ่งที่ผู้คนเดีอดฉันท์ หากมิได้ขจัดออกไปโดยชอบธรรม ก็มิขอขจัด…”[1]
เสียงอ่านหนังสือในห้องโถงดังขึ้น
“แต่ว่าน้อง…”
ท่านชายเฉิงสี่วิ่งออกมานอกประตูในหนึ่งอึดใจ เห็นสาวใช้ที่มารับ ก่อนจะถามด้วยความเหนื่อยหอบ
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ ม่านในรถม้าด้านข้างก็เปิดออก เผยรูปลักษณ์ของหญิงสาว
คำพูดของท่านชายเฉิงสี่ก็หยุดเพียงเท่านั้น
“ขอบคุณท่านพี่มาก” เฉิงเจียวเหนียงทำความเคารพต่อเขาพลางเอ่ย
“ขอบคุณอะไรกันเล่า ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยอย่างขัดเขิน พร้อมกับรีบเงยหน้าขึ้น “ไฉนเจ้าออกมาได้เล่า เพิ่งจะหายเองไม่ใช่หรือ อย่าออกมารับลมข้างนอก…”
“ข้าไม่เป็นอะไร ข้าหายดีแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางยิ้มบาง
ท่านชายเฉิงสี่ร้องอ๋อ เดิมทีเขาพูดไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าหญิงสาว
ลมแห่งสารทฤดูพัดผ่าน อากาศของเดือนกันยายนในเมืองหลวงเริ่มเย็นลงแล้ว
ท่านชายเฉิงสี่สวมเสื้อบาง จึงอดที่จะหนาวสะท้านไม่ได้
“นี่คือเสื้อผ้าในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่เห็นสาวใช้ถือย่ามมาให้ จึงรีบขอบคุณ
“ไฉนถึงให้น้องเป็นห่วงได้เล่า” เขาเอ่ย
“ท่านพี่เป็นห่วงข้า ข้าก็ย่อมเป็นห่วงท่านเป็นธรรมดา” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง พลางเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มสดใสขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะขอบคุณพลางกอดย่ามไว้ในมือ
“ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะถาม” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นอกบริเวณสำนัก ท่านชายเฉิงสี่นั่งอยู่บนเสื่อ มองหญิงสาวในเสื้อคลุมแขนกุดตรงหน้า ในมือถือจดหมายที่ตนเองเขียน อ่านจดหมายนี้เสร็จมาได้ครู่หนึ่งแล้ว
สติของหญิงสาวราวจดจ่ออยู่ตรงหน้า ทั้งราวกับล่องลอยออกไปไกล ท่านชายเฉิงสี่ถือโอกาสตอนที่นางคล้อยสายตา อาจหาญหันเหสายตาไปบนร่างกายของนาง
มิใช่ภาพแห่งความงดงามดั่งในความทรงจำ แล้วก็มิใช่ภาพในหัวที่เขาวาดฝันไว้ ทว่านั่งอยู่ตรงหน้าเขาตัวเป็น สวมอาภรณ์เรียบง่าย กลับไม่อาจปิดบังความงามอันล้นเหลือ
นางส่ายหน้า
ท่านชายเฉิงสี่ได้สติกลับมาเพราะความประหลาดใจ
“ทำไมหรือ ยังอยากเขียนอะไรอีก” เขารีบถาม
“นี่คือลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลเฉิงใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าถาม
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า
“บรรพบุรุษเฉิงสวินหรือ” เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้ามองกระดาษในมือ รอยหมึกบนกระดาษยังไม่แห้งดี ก่อนจะเอ่ย “ไม่ใช่สิ”
ไม่ใช่หรือ ท่านชายเฉิงสี่ผงะ
ในฐานะลูกหลานเช่นเขา ไม่อาจลืมนามของบรรพบุรุษได้หรอก
“คือเฉิงสวิน” เขายืนยันอีกครั้ง
“เป็นคนเจียงโจวหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า
ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง…
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งที่ผิดปกติ ในเมื่อนางเหมือนไม่ใช่ตัวนางอยู่แล้ว คนเหล่านี้ไม่ตรงกับบรรพบุรุษของตระกูลนาง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ…
“น้อง อะไรที่ไม่ใช่หรือ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
หญิงสาวตรงหน้ากำลังยิ้ม ทว่าท่านชายเฉิงสี่กลับรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายไร้ชีวิตชีวาและความระทมทุกข์วิ่งพาดผ่านเข้ามา ในชั่วพริบตาเขาอดที่จะเสียใจและละอายใจไม่ได้
“ที่ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อจะมาลาท่านพี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “อีกไม่นานข้าจะกลับเจียงโว”
จะกลับแล้วหรือ
“อืม น้อง กลับไปเถิด” ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้าพลางเอ่ย “อยู่ข้างนอกตัวคนเดียว สุดท้ายแล้วก็ลำบากอยู่ดี”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาก่อนจะยิ้มอีกครั้ง
“ใช่แล้ว อยู่ข้างนอกตัวคนเดียว อย่างไรเสียก็ลำบากอยู่ดี ท่านพี่อยู่ที่เมืองหลวง หากมีเรื่องอะไร ก็มาหานางได้” นางเอ่ย พลางชี้นิ้วไปที่สาวใช้ข้างกาย
สาวใช้เดินเข้ามาข้างหน้า ก่อนจะทำความเคารพ น้ำตาใสรื้นในดวงตา
“ข้าคอยดูแลกิจการให้นายหญิงอยู่ที่เมืองหลวง ฝากเนื้อฝากตัวกับท่านชายด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
“มิบังอาจ มิบังอาจ” ท่านชายเฉิงสี่ทำความเคารพกลับอย่างลืมตัว เมื่อทำความเคารพเสร็จแล้วก็รู้สึกตลกเล็กน้อย
เขาเกรงใจกับคนที่เป็นสาวใช้ได้เพียงนี้เชียวหรือ
บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่กี่วันก่อนนั้น สาวใช้คอยอยู่ข้างกายช่วยเหลือเขาตลอด ถ้าจะบอกว่าตนเองช่วยเหลือพวกนาง อันที่จริงต้องบอกว่าหากไม่มีสาวใช้ เขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลย
เอ่อ…อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เอ่อ…อันที่จริง…อันที่จริงความหมายของน้องสาวเหมือนกับจะให้สาวใช้คนนี้ดูแลเขา…
รถม้าค่อยๆ วิ่งช้าลง สาวใช้เปิดม่านขึ้น มองเห็นเรือนไท่ผิงที่อยู่ไม่ไกล
“นายหญิง จะไปดูไหม” นางถาม
เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่บนรถหลับตาเพื่อพักผ่อนมาตลอดทาง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น
“เจ้าไปดู” นางเอ่ย
สาวใช้ขานรับ ก่อนจะหันไปมองเรือนไท่ผิง
“…นายหญิง พ่อบ้านเฉาบอกว่าด้านหน้าพักผ่อนได้สักครู่หนึ่ง…นายหญิง ท่านดูร้านอาหารร้านนี้สิ ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่นิดหน่อยนะเจ้าคะ…”
“…นายหญิง ท่านอยากกินอะไร”
ควันที่เดือดปุดๆ จากในหม้อลอยมาอยู่ตรงหน้า ไอร้อนฟุ้งกระจาย ราวกับความฝัน
“อืม อร่อย อร่อย”
สาวใช้คนหนึ่งเคี้ยวคำโตพลางเอ่ยปากชมไม่หยุด
สาวใช้ยิ้มบาง ให้ภาพตรงหน้าตน
ร้านเล็กๆ ตอนแรก หม้อเล็กๆ ที่ทำให้กินอิ่มหนำสำราญ พวกนางก็ไม่คิดว่าจะก่อให้เกิดอะไรมากมายในภายหลังได้เพียงนี้
ไม่รู้ว่าหากโต้วชีนั่นคิดย้อนกลับไป จะเสียใจว่าไม่น่ามาเจอนางฟ้าผ่านมาไหม
“นายหญิง ท่านดูเรือนนางฟ้าสิ”
สาวใช้ชี้ไปข้างนอกรถพลางยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงยังคงหลับตา
“เจ้าเห็นอะไร” นางถาม
สาวใช้มองนอกรถ อาคารของเรือนนางฟ้าสีสันสดใส ด้านหน้าประตูไม่มีพนักงานมาเรียกลูกค้า ทว่ากลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเงียบเหงาแต่อย่างใด
“เห็นว่า สังคมนั้นยากลำบาก” นางเอ่ย พลางยิ้มบาง
“แล้วอะไรอีก” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“แล้วก็กฎธรรมชาตินั้นไร้ความเมตตา” สาวใช้เอ่ย
“แล้วอะไรอีก” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“แล้วก็ไม่ว่าจะทำสิ่งใดต้องระมัดระวัง” สาวใช้เอ่ย
“แล้วอะไรอีก” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สาวใช้ยิ้มบาง
“ต้องเป็นคนมีความเมตตากรุณา” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงลืมตาขึ้น และยิ้มบาง เฉยกัน
สาวใช้มองนาง ก่อนจะโงตัวทำความเคารพอยู่นานโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น
ปั้นฉินที่อยู่บ้านเก็บของเรียบร้อยสำหรับเดินทางแล้ว
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องเก็บ” นางเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะหันไปมองด้านนอก
สาวใช้นั่งอยู่บนพื้นตรงระเบียงหน้าประตู พลางมองไปในเรือนราวกับเหม่อลอย
ปั้นฉินเดินเข้าไปนั่งด้านข้างนาง
“ท่านพี่ปั้นฉิน อันที่จริงข้าควรเป็นคนดูแลเรือนนี้” นางยิ้มพลางเอ่ย “ไฉนท่านถึงดูได้อย่างเคลิบเคลิ้มเช่นนี้เล่า”
สาวใช้ถอนหายใจ หันหน้าไปมองนาง
“ควรเป็นข้าต่างหากที่ต้องดู เพราะนายหญิงไม่อยู่แล้ว เรือนก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน” นางเอย
ปั้นฉินหัวเราะคิกคัก
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของท่านพี่เลย” นางเอ่ยพลางยิ้ม
สาวใช้มองใบหน้าเปื้อนยิ้มของนาง ก่อนจะจิ้มหน้าผากของนางทีหนึ่ง
“คนที่เจ็บปวดเพราะการจากลาเป็นข้า เข้ามายิ้มต่อหน้าข้าเช่นนี้ ช่างน่าตีนัก” นางเอ่ย
ปั้นฉินยิ้มพลางจับมือนางไว้
“พี่ปั้นฉิน ข้าก็ไม่อยากจากท่านไปเช่นกัน” นางเอ่ย
สาวใช้ปล่อยให้นางกอดไว้
“ต่อไปเจ้า ต้องดูแลนายหญิงให้ดี” นางเอ่ย เมื่อเอ่ยจบก็ยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง มองปั้นฉิน “ข้าไม่ควรเอ่ยเช่นนี้ เดิมทีหน้าที่ดูแลนายหญิงก็ต้องเป็นเจ้าอยู่แล้ว”
“ข้าแค่ดูแลนายหญิง แต่พวกท่านกลับช่วยนายหญิงได้” ปั้นฉินเอ่ย
“เป็นเพราะนายหญิงสอนมาดีต่างหาก” สาวใช้ยิ้มพลางเอ่ย “แล้วก็เพราะนายหญิงให้โอกาส”
นางเอ่ยพลางบิดขี้เกียจ
“ได้เรียนอะไรหลายอย่างจากนายหญิงมาก เรียนทั้งชีวิตก็ไม่หมด แต่ว่านะ ได้เรียนแล้ว จะทำสำเร็จไหม ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วล่ะ” นางเอ่ย ก่อนจะกำหมัด
ปั้นฉินพยักหน้า
“พี่ปั้นฉินต้องทำได้แน่” นางเอ่ย
……
ภายในวัง ขันทีรีบวิ่งเข้ามา
“ฝ่าบาท แม่นางเฉิงให้คนมาส่งข่าวขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่นั้นผงะ ก่อนจะวางหนังสือลง
“เอ๋ นางมาหาข้าก่อนได้แล้วหรือ” เขาเอ่ย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบนใบหน้าทันใด “ฮ่า จะต้องเป็นเพราะอยากจะถามว่าข้าไปถามชื่อของนางได้อย่างไรเป็นแน่!”
ขันทีมองรอยยิ้มอันเบิกบานของชายหนุ่ม ก็รู้สึกอดสงสารขึ้นมาไม่ได้
“นางมา…บอกลาขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา
บอกลาหรือ…
“ก่อนเจ้าจะไป อย่าลืมมาบอกข้าด้วยล่ะ”
ช่างเป็นสหายแสนดีที่รักษาสัญญาเสียจริง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง
…………………………………
[1] แหล่งที่มา “คัมภีร์หลุนอวี่” (论语)