มองบ่าวตรงหน้า พลางฟังเขาเอ่ยจบ รอยยิ้มบางบนใบหน้าท่านชายฉินสิบสามค่อยๆ หายไป

“จะมาเยี่ยมเยียนทั้งที กลับเป็นการบอกลาหรือนี่” เขาเอ่ย พลางส่ายหน้าและโบกมือ

บ่าวก้มหน้าและถอยไป

ท่านชายฉินสิบสามหันกลับและเดินเข้าไปในเรือน

จะไปจริงๆ หรือ

เหมือนกับท่านชายโจวหกไม่มีผิด เสมือนไม่ได้อยากไปไหน ทว่าตอนนี้ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มที่ขี่ม้า ยิงธนู หยอกล้อ พูดจาเหน็บแนมและก่อเรื่องด้วยกันคนนั้น ตอนนี้อยู่ไกลถึงพันลี้แล้ว

ท่านชายฉินสิบสามชะงักฝีเท้า เงยหน้ามองฟ้าครู่หนึ่ง ก่อนจะหันตัวก้าวฉับๆ เข้าไป

“เอ่อ เอ่อ ท่านชาย ท่านชายขอรับ…”

บ่าวร้องเรียก เพราะเห็นว่าท่านชายฉินสิบสามขี่ม้าของตนออกไปแล้ว

เขาลูบหัว ก่อนจะหันไปมองประตูจวนอีกด้านหนึ่ง

ม้าของท่านชายอยู่ตรงนั้น เขาจะต้องจูงออกมาแล้วขี่กลับไปไหม

แต่เมื่อนึกถึงอาจารย์ที่โหดเหี้ยมผู้นั้นแล้ว บ่าวต้องหดหัวแล้วกอดตัวเอง พลางเดินโซเซออกไป

ท่านชายฉินสิบสามมาถึงหน้าประตูบ้านเฉิงเจียวเหนียง จอดรถม้าไว้หน้าประตู ขณะนั้นเองประตูใหญ่เปิดไว้อยู่

เป็นรถม้าของตระกูลโจว

ท่านชายฉินสิบสามชะงัก

มีเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง

“ท่านชายโจวหรือ”

มีคนส่งเสียงถามอย่างสงสัย

ท่านชายโจวหรือ

ท่านชายฉินสิบสามหันหน้าไปมอง เห็นบ่าวชราทำความเคารพด้วยความสุภาพ

“ข้าเป็นคนของตระกูลหวัง คู่หมั้นแม่นาง” เขาเอ่ยพลางยิ้ม

ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงอ๋อไปทีหนึ่ง ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ทั้งยังคิดว่าไม่มีอะไรต้องพูด จึงหันหน้ากลับและไม่ได้คุยด้วย

ท่านชายที่ไม่เห็นบ่าวอยู่ในสายตามีถมเถไป บ่าวชราไม่ได้เอามาใส่ใจ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว ก็เห็นว่าท่านชายตระกูลโจวหันกลับมาอีกครั้ง

“ท่านชายตระกูลเจ้าเล่า” เขาถาม

“ไปซื้อสินค้าพื้นเมืองในเมืองหลวงน่ะขอรับ” บ่าวชรายิ้มพลางตอบ “สั่งให้ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อถามแม่นางเฉิง ว่าอยากได้สิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ จะได้ซื้อไปพร้อมกัน ท่านชายท่าน…”

ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้า ไม่รอให้เขาเอ่ยจบก็เดินจากไป

บ่าวชรากลืนคำพูดที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย

ท่านชายน้อยคนนี้เหมือนจะไม่ชอบเขา แต่ราวกับว่าบังคับให้ตนเองพูดกับเขา

นี่เป็นความรู้สึกของญาติที่ไม่พอใจกับการแต่งงาน แต่จำต้องแต่งใช่ไหม

ประหนึ่งว่าทำเพื่อพิสูจน์สมมติฐานของตนเอง ชายหนุ่มคนนั้นก็หันหน้ากลับมา แล้วก็หันกลับไปอีกรอบ

“พวกเจ้าพักที่ใด” เขาถาม “ก่อนไป ข้าจะไปงานเลี้ยงให้ท่านชายตระกูลเจ้า”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนคนนี้อาจจะเป็นญาติของนาง…

นี่สิ ถึงจะเป็นท่าทางที่ญาติควรจะมี บ่าวชราทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณท่านชาย ขอบคุณท่านชาย” เขาเอ่ยพร้อมกับบอกชื่อของโรงเตี๊ยม

ในขณะที่ด้านนี้กำลังพูดคุยกัน ก็มีเสียงร้องไห้ของผู้ชายออกมาจากด้านในประตู ทำให้ทั้งสองต้องผงะ

เสียงร้องไห้หรือ หูเพี้ยนแล้วกระมัง

บ่าวชราอดที่จะหันไปมองด้านในไม่ได้ ประตูบานใหญ่ที่เปิดอยู่ทำให้เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงระเบียงทางเดิน…

เขายังเห็นว่า ท่านชายตระกูลโจวด้านข้างกระแอมออกมาหนึ่งที

บ่าวชราได้สติ ก่อนจะรีบถอยหลังไปสองสามก้าว กลับเห็นว่าท่านชายตระกูลโจวคนนั้นถอยหลังตามมา ในทางกลับกัน กลับเดินก้าวเข้าไปด้านหน้าสองสามก้าว

“เจียวเจียวร์ ข้าสำนึกผิดแล้ว”

นายใหญ่โจวใช้แขนเสื้อปิดหน้าพลางสะอื้นไห้พร้อมกับเอ่ย

“เจ้าไว้ชีวิตพวกเราสักครั้งเถิด”

“ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้จะจบลงเพียงเท่านี้”

นายใหญ่โจวดีใจ

ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ

ยามที่ความคิดนี้ฉายวาบในหัวก็ตกใจอีกครั้ง

ง่ายหรือ ครั้งก่อนที่บอกว่าหนึ่งประโยคก็ง่ายดายเช่นกัน สุดท้ายเล่า

“ข้าจะกลับเจียงโจวกับคนของตระกูลหวัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “นายใหญ่โจวโปรดูแลร้านสามร้านในเมืองหลวงให้ที”

ดังคาด!

“เจียวเจียวร์ นั่นเป็นร้านของเจ้า ข้าไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว! ข้าสาบานต่อหน้าฟ้า!” นายใหญ่โจวยกมือขึ้นต่อฟ้าแล้วตะโกนออกมาทันใด

คำพูดนี้ไฉนถึงฟังแล้วกระอักกระอ่วนเช่นนี้นะ

แต่ว่าไม่สนแล้ว!

“เอ่ยเช่นนี้ ท่านลุงไม่ยินดีที่จะช่วยข้าแล้วใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียงถามพลางยิ้ม

ไม่ยินดีช่วยหรือ

เช่นนั้นก็รนหาที่ตายแล้วน่ะสิ

“ยินดี ยินดี!” นายใหญ่โจวพยักหน้าไม่หยุดพลางเอ่ย “ข้าสาบานต่อหน้าฟ้า!”

สาวใช้หัวเราะเอิ้กอ้ากออกมาอย่างอดไม่ได้

“เช่นนั้นนายใหญ่โจวยินดีหรือไม่ยินดีกันแน่” นางถามกลั้วหัวเราะ

นายใหญ่โจวเหงื่อตก ใบหน้าบวมเต่งก็ยิ่งไม่น่าดูยิ่งขึ้น

“ท่านลุง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่ว่าท่านลุงจะยอมรับหรือไม่ ตัวข้าจะยอมรับหรือไม่ กิจการทั้งสามนี้ คนทั้งโลกต่างถือว่าเป็นของของท่าน เป็นของตระกูลโจว แน่นอนว่า ผลกำไรเป็นของข้า การโจมตีทั้งที่ลับและที่แจ้งต่างตกเป็นของท่าน”

นี่คือความจริง นายใหญ่โจวยิ้มเจื่อนครู่หนึ่ง เสมือนเฉิงเจียวเหนียงหมอเทวดาชื่อดังในตอนนั้น

คำเยินยอต่างเป็นของนาง ตระกูลโจวก็ได้หน้าไปด้วยเล็กน้อย ทว่าพอหญิงสาวคนนี้พลิกโฉมหน้า ไปหาเรื่องคนอื่น คำด่าทอเหน็บแนมกลับถาโถมเข้าไปยังตระกูลโจว

ทำอย่างไรได้เล่า นี่คือบ้าน นี่คือตระกูล

“นี่คือชะตาชีวิตของท่าน นี่คือชะตาของตระกูลโจว ไม่ว่าพวกท่านจะยินดีหรือไม่ วินาทีที่ข้าเกิดมา ก็ถูกกำหนดให้เป็นเช่นนี้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ใช่แล้ว ทั้งหมดต่างเป็นชะตาชีวิต นายใหญ่โจวก้มหน้าขานรับ

“ดังนั้นท่านลุง ในเมื่อเป็นชะตาชีวิต พวกเจ้าอยากได้ชะตาดีหรือชะตาร้าย” เฉิงเจียวเหนียงถาม

ใครจะไม่อยากได้ชะตาดีกันเล่า

“ชะตาดี” นายใหญ่โจวเอ่ยเสียงเบา

“อะไรนะ” เฉิงเจียวเหนียงถามพลางเอียงคอเล็กน้อย

นายใหญ่โจวย่อมเข้าใจ ความหมายแฝงของการเอียงคออย่างแน่นอน

“ชะตาดี!” เขาร้องตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“เช่นนั้นก็ดี” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางเอ่ย “ร้านในเมืองหลวงก็ฝากท่านลุงดูแลด้วย”

หา

นายใหญ่โจวผงะ

“หากข้าแย่ พวกท่านก็ไม่ได้อะไรดีๆ หากข้าดี บางทีพวกท่านอาจจะดีตาม” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านลุง ท่านรู้แล้วใช่ไหมว่าตนเองควรทำอย่างไร”

นายใหญ่โจวตกตะลึงไปชั่วขณะ

นี่หมายความว่าชะตาชีวิตของพวกเขาผูกติดอยู่ด้วยกัน หรือก็คือร่วมทุกข์ร่วมสุข…

ไม่ ไม่ สิ่งนี้มาจากนิสัยของแม่นางผู้นี้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขอะไรนั่นช่างน่าขันสิ้นดี!

มีสุขอาจจะร่วมเสพ ทว่ายามมีทุกข์จะให้นางมาร่วมด้วยหรือ เหอะๆ… ใครจะลองเล่า ชีวิตน่าเบื่อมากอย่างนั้นหรือ

ดังนั้นประโยคนี้สามารถเข้าใจได้เช่นนี้ นั่นก็คือ เมื่อข้าซวย จะต้องดึงพวกเจ้ามาซวยด้วย หากทำดีกับข้า บางทีข้าอาจจะทำดีกับพวกเจ้ามากกว่าเดิมหน่อย…

“เจียวเจียวร์ ข้าเข้าใจแล้ว” นายใหญ่โจพยักหน้าอย่างจริงจัง แม้เนื่องจากใบหน้าบวมเต่ง ทำให้ใบหน้าที่จริงจังนั้นดูตลกก็ตาม

เฉิงเจียวเหนียงทำความเคารพ

“ขอบคุณท่านลุงมาก” นางยิ้มพลางเอ่ย

สมกับเป็นนักรบพระโพธิสัตว์ คิดว่าหากนางต้องสังหารคนด้วยเงื้อมมือตนเอง ก็คงจำมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่องกระมัง

นายใหญ่โจวรีบความเคารพตอบ

“เช่นนั้นเจียวเจียวร์จะกลับไปจริงๆ หรือ” เขาเอ่ย “ข้าจะไปหาคนกับม้าให้ไปส่ง”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“…จะให้คนไปด้วยไหม…” นายใหญ่โจวถามหยั่งเชิงอีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มบางและเอ่ยขอบคุณ

นายใหญ่โจวดีใจจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นรำ เฉิงเจียวเหนียงที่ทำอะไรตัวคนเดียวมาตลอด ในที่สุดก็ใช้คนของตระกูลโจวแล้ว!

นี่หมายความว่าอย่างไร

หมายความว่ามองว่าพวกเขาเป็นคนกันเองแล้ว!

“ข้าจะไปเลือกคนเดี๋ยวนี้!” เขาเอ่ยอย่างปรีดา ก่อนจะลุกขึ้น เมื่อคิดอะไรได้ ก็รีบเอ่ยเพิ่มเติม “เลือกได้แล้วจะเอามาให้เจ้าดู”

“ไม่ต้องหรอก ใครก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่ต้องลำบาก”

ใช้ได้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้ก็…โละทิ้ง

อย่างเช่นบรรดาสาวใช้ที่ถูกไล่ออกตอนอยู่ตระกูลเฉิง

แค่พวกบ่าวเอง ในสายตาของนางแม้คู่ควรแม้แต่จะจำชื่อด้วยซ้ำ

นายใหญ่โจวพยักหน้า

“ข้าทราบแล้ว” เขาเอ่ย ก่อนจะลุกขึ้นก้าวออกไป เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถอยกลับมา แฝงไปด้วยความกังวลและลังเล “เจียวเจียวร์ เช่นนั้น อาการป่วยของข้าและท่านป้าเจ้า…เจ้าลองดูให้ทีว่าจะใช้ยาตัวไหนได้”

สาวใช้งงงัน ก่อนจะปิดปากยิ้มในทันใด