เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้น ก็จะโบกมือไปทางเขา
“ยังเป็นประโยคเดิม” นางเอย “อาการป่วยของพวกท่านหายแล้ว”
ท่านชายฉินสิบสามถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเห็นนายใหญ่โจวก้าวเท้าออกมา
“อาการป่วยของพวกท่านหายแล้ว หายแล้ว…”
นายใหญ่โจวเดินก้มหน้าพลางท่องอยู่ในคอ เกือบจะมองไม่เห็นท่านชายฉินสิบสามแล้ว
“นายใหญ่โจว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย ก่อนจะทำความเคารพเพียงเล็กน้อย
นายใหญ่โจวขานรับพลางพยักหน้า
บ่าวชราที่รุดหน้าเข้ามาได้ยินพอดี จึงมีสีหน้าตกใจ
ชายหัวหมูคนนี้ก็คือนายใหญ่โจวหรือ
ก็จริง ชายใบหน้าบวมเต่งที่ตีผู้ติดตามเป็นคนมีวรยุทธ์ นี่เป็นแม่ทัพของตระกูลโจว ก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ
“นายใหญ่โจว” เขารีบทำความเคารพ
นายใหญ่โจวมองเขาแทบหนึ่ง ก่อนจะมองท่านชายฉินสิบสาม
นี่เป็นคนของตระกูลฉินหรือ
“คนของตระกูลหวัง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
คนของตระกูลหวังหรือ นายใหญ่โจวรีบก้าวเท้าฉับๆ ออกไป
“นายใหญ่โจวๆ” บ่าวชรารีบตามออกไปพลางเรียก “ท่านชายของข้าอยากไปหาท่านที่บ้าน…”
“มาพบข้ามาเรื่องอะไร” นายใหญ่โจวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อเอ่ยได้ครึ่งเดียว ก็คิดได้ว่าเฉิงเจียวเหนียงตอบตกลงเรื่องการแต่งงานนี้ด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นว่าท่านชายตระกูลหวังได้รับความชื่นชอบจากเฉิงเจียวเหนียง…
“…เป็นเรื่องที่จะกลับเจียงโจวใช่ไหม” เขาหันหน้ากลับตอบอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
บ่าวชรามึนงงกับการเปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหันเช่นนี้
“ขอรับ” เขาผงะก่อนจะรีบพยักหน้า
“ได้ ได้ เรื่องนี้ไม่ได้ต้องห่วง ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้ารอเดินทางอย่างปลอดภัยและราบรื่นเถิด” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางยิ้มตาหยี
บ่าวชราตกใจเข้าไปใหญ่
“เอาล่ะ ไม่ต้องมาพบข้าที่บ้านหรอก พวกเจ้าไปเก็บของที่ต้องเก็บเถิด” นายใหญ่โจวเอ่ย พร้อมกับโบกมือ ก่อนจะรีบขึ้นรถไป
บ่าวชราเรียกสองสามครั้งทว่าเรียกไม่ทัน ได้แต่มองรถม้าแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
“รีบขนาดนี้ เหมือนจะรีบไปช่วยชีวิตคนเลย…” เขาก้มหน้าบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่ได้
บางทีอาจจะรีบกำจัดแม่นางตระกูลเฉิงออกไปกระมัง เป็นความปรีดาที่ในที่สุดก็กำจัดได้แล้วกระมัง
แม่นางตระกูลคนนี้…
เขาหันตัว เห็นว่าท่านชายตระกูลโวที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อครู่เดินเข้าไปแล้ว เขาจึงรีบรุดหน้าเข้าไป ทว่ากลับถูกจินเกอร์ขวางเอาไว้
“นายหญิงของข้ามีแขก ท่านมีธุระอะไร”
บ่าวชราบอกจุดประสงค์ในการมาพบไป มองบ่าวคนนี้เข้าไปแล้วรายงาน ไม่นานก็กลับมา
“นายหญิงของข้าบอกแล้วว่า ไม่ต้องซื้อของให้นาง เชิญท่านชายหวังตามสบายได้เลย” จินเกอร์เอ่ย
บ่าวชราอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าก็รู้จากสิ่งที่นางเอ่ยว่า ไม่ต้องการให้เขาเข้าไป จึงได้แต่ทำเคารพเพื่อบอกลา
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำธุระได้ราบรื่นเช่นนี้ ทั้งยังได้เจอนายใหญ่โจวอีก…
โจว…
เอ ไม่สิ
บ่าวชราที่เดินมาถึงถนนแล้วก็ชะงักฝีเท้าอย่างแรง หันกลับไปมองเรือนตระกูลเฉิง
เมื่อครูบ่าวคนนั้นบอกว่า นายหญิงของเขามีแขกหรือ
ญาติของนาง ถือเป็นแขกอะไร
หรือว่าไม่ใช่ญาติ
บ่าวชราเพิ่งคิดได้ ว่าเมื่อครู่ตอนที่ชายหนุ่คนนั้นพบกับนายใหญ่โจว การทำความเคารพของทั้งสอง มีเหมือนกับพ่อลูกจริงๆ… ชายหนุ่มคนนั้นทำความเคารพนายใหญ่โจวเพียงครึ่งเดียว…ทำความเคารพต่อคนที่อายุอานามขนาดนี้เพียงครึ่งเดียว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าชายหนุ่มคนนี้มีสถานะสูงกว่านายใหญ่โจว…
สถานะของลูกชายย่อมใหญ่กว่าพ่อไม่ได้อยู่แล้ว และคนที่สถานะสูงกว่าพ่อไม่มีทางเป็นลูกชาย!
เช่นนั้น เขาเป็นใคร
สูงศักดิ์กว่าตระกูลโจว ชายหนุ่มรูปงาม เข้านอกออกในบ้านแม่นางคนนี้ได้ ไม่ ไม่สิ ไม่ใช่แค่เข้านอกออกในบ้าน ตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ชมไฟด้วยกัน!
ดูเหมือนว่าจะสนิทกันไม่น้อย…
ท่านชาย คงจะไม่ถูกแย่งคู่หมั้นไปกระมัง
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น บ่าวชราก็ตัวสั่นเทิ้ม ทั้งยังเผลอยิ้มออกมา
เป็นไปได้อย่างไร คนสติไม่สมประกอบคนนั้น!
ท่านชายฉินสิบสามยกชาที่สาวใช้ดันมาให้ ก่อนจะชิมไปอึกหนึ่ง
“จะไปจริงๆ หรือ” เขาถาม
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามดื่มชาอีกอึก
“ยังมีเวลา เตรียมงานเลี้ยงส่งให้ข้าที” เขาเลิกคิ้วอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างดีใจ “งานเลี้ยงริมน้ำผ่านไปแล้ว ครั้งนี้พวกเราไปที่ที่สนุกมากกว่าเดิม”
“ได้สิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะยิ้มบาง
“เจ้านี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามขมวดคิ้ว พลางคิดอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอ่ย “ข้าต้องคิดให้ดีว่าจะไปที่ไหนดี”
ทั้งยังถามว่านางชอบอันนั้นอันนี้ไหม
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม พลางตอบทุกคำถาม
ท่านชายฉินสิบสามจู่ๆ ก็ไม่เอ่ยอะไร มองหญิงสาวตรงหน้า
“เจ้าอย่าแต่งงานกับหวังสิบเจ็ดเลย มะ แม่ข้าจะเลือกคนดีๆ ให้เจ้าเอง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา พลางยิ้มบาง ก่อนจะเอื้อมมือไปดันกล่องใบหนึ่งตรงหน้าไปให้
“ขนมที่เพิ่งทำใหม่” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามนั่งตัวตรง
“เฉิงเจียวเหนียง” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ตระกูลพวกเขาไม่ดี เจ้าอย่าทรมานตัวเองเลย”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่ได้ทรมานตัวเอง” นางเอ่ย
“มีคนที่ดีกว่า เจ้าก็ไม่ต้องเอาคนไม่ดีเช่นนี้แล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“ท่านชายฉิน” เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม นางหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “คนที่ดีกว่าคืออะไร”
“ตระกูล คุณสมบัติ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นมาปิดปาก ก่อนจะกินขนม พร้อมกับยิ้มให้เขา
แขนเสื้อปิดไปครึ่งหน้า เห็นเพียงดวงตาคู่นั้น ช่างดูน่ามองเหลือเกิน
ท่านชายฉินสิบสามก้มหน้า หยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะหันหน้าละสายตาออกไป แล้วค่อยๆ กิน
ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
“ท่านชายฉิน ขอบคุณมากที่เป็นห่วง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “อันที่จริงต่างก็เหมือนกัน”
ต่างก็เหมือนกันหรือ
คนที่ดีกว่านี้ก็เหมือนกับตระกูลหวังอย่างนั้นหรือ ท่านชายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมมากมายขนาดนั้นเหมือนกับหวังสิบเจ็ดที่เป็นคนสวะอย่างนั้นหรือ
จะเหมือนกันได้อย่างไร
“หากเป็นข้าเล่า” ท่านชายฉินสิบสามถาม
สาวใช้กับปั้นฉินที่อยู่นอกประตูสบตากัน นี่เป็นครั้งที่สองของท่านชายคนนี้กระมัง…
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางยิ้ม
“ถ้าท่านรู้กฎของข้า จะยังให้ข้ารักษาขาของท่านอีกไหม” นางถามกลับ
ท่านชายฉินสิบสามที่ถูกถาม ผงะไปครู่หนึ่ง มือกำแก้วชาแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ราวกับผ่านไปเนิ่นนาน แต่ก็เหมือนผ่านไปเพียงอึดใจเดียว
“ข้าเริ่มป่วยเป็นโรคเสแสร้งอีกแล้ว” เขายิ้มเอ่ย “ขายหน้าแม่นางแล้ว”
สาวใช้มองตาปั้นฉินอีกครั้ง ทั้งสองคนยิ้ม นั่นินะ สิ่งที่สำคัญสำหรับคนเราต่างก็เป็นตัวเองตลอดไปกระมัง
“ดังนั้นอย่าเสียใจไปเลย บนโลกนี้ไม่มีถ้าหาก เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น เหตุใดจะต้องอยากถาม ทำให้ตัวเองกระอักกระอ่วนเอาเปล่าๆ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะยิ้มบาง “ข้าไปคราวนี้ยังมีธุระบางอย่างต้องทำ เรื่องเล็กเพียงนี้ไม่จ้อเป็นต้องใส่ใจ แล้วก็ไม่เป็นกังวลเพราะเรื่องนี้ด้วย ข้าเข้าใจความหวังดีของท่านชายฉิน” นางเอ่ย ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมา
“ใช้น้ำแทนเหล้า”
ท่านชายฉินสิบสามมองนาง ก่อนจะฝืนยิ้ม พลางพยักหน้า แล้วยกถ้วยชาขึ้นมา
“ใช้ชาแทนเหล้า” เขาเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะรอให้ถึงเวลาที่ดื่มเหล้าด้วยกันไม่ได้แล้ว”
“ตอนที่เจอกันอีกครั้ง จะต้องดื่มเหล้าได้แล้วเป็นแน่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ยังได้เจอกันอีกหรือ” ท่านชายฉินสิบสามถาม
“ไม่เจอ ก็ได้นะ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง พลางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ ก่อนจะยกชาขึ้นจนหมด