บทที่ 313.1 ร่วมงานเลี้ยง (1)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

“ท่านชายฉินเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”

สาวใช้ทำความเคารพอยู่หน้าประตู

ท่านชายฉินสิบสามอมยิ้มพยักหน้า มองแม่นางที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินเพื่อรอส่ง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกนางปฏิบัติต่อตนอย่างมีมารยาทด้วยใจจริงแล้ว ไม่เป็นเหมือนดั่งแต่ก่อนที่ทำอย่างขอไปทีและไม่มีตัวตนอยู่ในสายตา เช่นนี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้วกระมัง

“ข้าไปก่อนนะ” เขายิ้มบาง ก่อนจะโบกมือให้เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านในประตู

เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าตอบ

ท่านชายฉินสิบสามหันไปขึ้นม้า ม้าหมุนวนสองสามรอบ ก่อนจะรีบรุดหน้าออกไป

……

“ฝ่าบาท”

เสียงตะโกนเล็กแหลมดังมาจากด้านหลัง จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเดินอยู่นั้นชะงักฝีเท้า นัยน์ตาแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปด้วยสีหน้าเบิกบาน

นี่คือโตวจือ[1] จางว่านเฉิง ขันทีขั้นชั้นสูงที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยขันทีเจ็ดแปดคน

“องค์ชาย จะไปไหนหรือ” จางโตวจือขมวดคิ้วถาม

“ข้าแค่จะเดินเล่นไปรอบๆ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม พร้อมกับหันหลังกลับ

จางโตวจือขานรับในลำคอ แตกต่างจากขันทีคนอื่นๆ ในฐานะเป็นคนโปรดของฮ่องเต้และไทเฮา ยามเผชิญหน้ากับจิ้นอันจวิ้นอ๋องเขาจึงมีท่าทีเย่อหยิ่งเล็กน้อย

“ฝ่าบาท แค่เดินเล่นก็ดี” เขาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง “อย่าออกไปข้างนอกนะขอรับ ลูกของตระกูลสวรรค์ควรระวังตัวให้มาก ฝ่าบาทไม่เด็กแล้ว จะไม่รู้ความเหมือนเด็กไม่ได้”

จิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้สึกเขินอายที่ถูกขันทีสั่งสอน

“ขอรับ ขอรับ ข้าทราบ” เขาเอ่ย

“ฝ่าบาททราบก็ดี” จางโตวจือพยักหน้าเอ่ย “เหนียงเหนียงและฮ่องเต้กรุณาต่อฝ่าบาทเช่นนี้ ทว่าฝ่าพระบาทมักหนีออกไปนอกวัง อย่างมากที่สุดปีหน้าฝ่าบาทก็ออกจากวังได้แล้ว ถึงเวลานั้นอยากจะไปที่ไหนก็ได้ ในทางกลับกันเข้าวังไม่ได้มากแล้ว ท่านควรใช้เวลากับพระชายาให้มากเถิด”

จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง

เมื่อเห็นว่าจางโตวจือและพวกพ้องเดินออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็มลายหายไป

“ไอ้บ้าเอ๊ย” ขัยทีสบถคำด่าออกมาเบาๆ

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม ก่อนหันหน้าไปมอง หมอกขมุกขมัวแห่งสารทฤดูทำให้ภาพที่เห็นเหมือนไกลทว่าก็เหมือนใกล้กัน

“ฝ่าบาท ครั้งก่อนที่ไปเจอแม่นางเฉิง กลับมาดึกเพียงนั้น เกรงว่าเหนียงเหนียงและฮ่องเต้จะสงสัย…” ขันทีกระซิบอีกครั้ง “ไม่เจอเสียยังดีกว่า มอบของขวัญก็คือเป็นการแสดงความปรารถนาเช่นกัน”

จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้ายิ้ม

“ไม่เจอก็เหมือนกัน” เขาเอ่ย “หากอยากเจอ จะต้องไม่ใช่เวลานี้”

เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็หันกลับไปมองอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน

……

“แม่นางจู แม่นางจู!”

จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นในหอเต๋อเซิ่ง ซึ่งดึงดูดผู้คนในห้องส่วนตัวให้เปิดประตูมามอง

ความวุ่นวายนี้ย่อมเกิดจากการที่แม่นางจูเดินผ่านสะพานขึ้นไป หญิงสาวบนสะพานทางเดินไม่ใช่ประเภทที่แต่งตัวสวยหรู แต่งหน้าจัดในยามราตรี ทว่าดูเรียบง่ายและสง่างามโดยไม่ต้องใช้เครื่องประทินผิว แต่เหมาะสำหรับเวลากลางวันอันสดใส ที่ทำให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น

“แม่นางจู แม่นางจู ข้าคือหวังสิบเจ็ด ข้าคือหวังสิบเจ็ด”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดยกมือพลางตะโกนเสียงดัง

สายตาของหญิงสาวบนสะพานมิได้หันเหออกไปมองแม้แต่ครึ่งองศา ราวกับกวางน้อยที่เดินไปสองสามก้าวก็กระโดดไปจนมองไม่เห็นแล้ว

“เรียก เรียก เรียกเหมือนกับแม่นางจูรู้จักเจ้าอย่างนั้นแหละ!”

กลุ่มคนที่แน่นขนัดรู้สึกเย็นยะเยือกทันใด คนที่ถลึงตาร้องตะโกนหนึ่งในนั้น ดึงชายเสื้อของตนที่ถูกเหยียบกลับมา

“แม่นางจูรู้จักข้า” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนด้วยท่าทีภูมิอกภูมิใจ “ก่อนหน้านี้ข้ายังเคยได้ฟังแม่นางจูดีดฉินให้ข้าฟังอยู่เลย แม่นางจูยังชมข้าเป็นดั่งสามี…”

ผู้คนโดยรอบพากันโห่ทันควัน

“หากเป็นเรื่องจริง เจ้าก็ไปพบแม่นางจูตอนนี้เลยสิ จะได้รู้ว่านางจำเจ้าได้หรือไม่”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดทนไม่ได้ ตามคาด เขาจับพนักงานในโรงเตี๊ยมไปส่งข่าว

พนักงานโรงเตี๊ยมขอเงินจำนวนหนึ่ง ก่อนจะไปตามคาด และกลับมาพร้อมรอยยิ้มในไม่ช้า

“แม่นางจูว่าอย่างไร” หวังสิบเจ็บรีบถาม

“แม่นางจูบอกว่า…” พนักงานโรงเตี๊ยมหัวเราะยาว พลางมองความสนใจของผู้คนโดยรอบ “ไม่รู้จัก”

ผู้คนโดนรอบส่งเสียงเกรียวกราวโดยพลัน

“เจ้าเด็กนี่คุยโวเกินไปแล้ว!”

“ฝันกลางวันจนสติเลอะเลือนแล้ว!”

“ไสหัวไปเถอะ เจ้าคนเถื่อน!”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตกอยู่ในที่นั่งลำบากท่ามกลางผู้คนยั่วเย้า

“พวกเจ้า ช่วยข้าตามหาชุนหลิงคนข้างกายแม่นางจู ชุนหลิง นางรู้” เขาจับพนักงานโรงเตี๊ยมก่อนจะรีบเอ่ย

ขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น ผู้ติดตามสองคนเบียดเข้ามา ก่อนจะจับท่านชายหวังสิบเจ็ดทั้งซ้ายและขวา

“ท่านชาย พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่อยู่!” พวกเขากระซิบ “ไหนบอกว่าจะมาบอกลาคนอย่างไรเล่า”

“ข้าก็กำลังบอกลาอยู่นี่อย่างไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย

“เร็วหน่อยเถิด คนของตระกูลโจวมากันหมดแล้ว…” เหล่าผู้ติดตามเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะหามท่านชายหวังสิบเจ็ดออกไปอย่างอดไม่ได้

คนในห้องโถงเห็นท่านชายหวังสิบเจ็ดถูกแบกออกไป ต่างก็พากันหัวเราะครืนครู่หนึ่ง

“คนโง่ตระกูลใดวิ่งเข้ามากันเนี่ย!”

เสียงหัวเราะหายไปโดยเร็ว

“ชุนหลิง คนคนนั้นมาหาเจ้าหรือ”

คนงานสองสามคนที่กลับมาจากห้องโถง ถามแกมยิ้ม

ชุนหลิงส่ายหัว

“ไม่รู้จัก” นางเอ่ยด้วยหน้าตาสงสัย ก่อนจะละสายตาหันไปมองคนงานสองสามคนนั้น “พี่ๆ รีบเล่าเรื่องที่อันธพาลไปก่อเรื่องที่เรือนไท่ผิงต่อเร็ว หลังจากนั้นเป็นอย่างไร”

แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน แต่สำหรับเมืองหลวงที่มีเรื่องใหม่อย่างไม่ขาดสายแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์แล้ว ทว่าเรื่องจากเป็นการฆาตรกรรมท่ามกลางฝูงชน ท้ายที่สุดก็ถือเป็นเรื่องที่เร้าใจมาก ดังนั้นเมื่อมีพนักงานพูดถึงก็ยังคงตื่นเต้นอยู่

“หลังจากนั้น ก็เกิดเสียงอื้ออึง คนของเรือนไท่ผิงยิงธนูใส่ทีละคนจนตาย…”

คนงานเล่าอย่างมีชีวิตชีวาเสมือนจริง ชุนหลิงได้ฟังจึงอดที่จะเอามือขึ้นมาปิดปากไม่ได้ สีหน้าตกตะลึง

การที่ทำให้สาวน้อยตกใจ มักเป็นเรื่องสนุก เหล่าคนงานจึงหัวเราะเอิ้กอ้ากขึ้นมา

“ยิงได้แม่นมากเลยล่ะ ยิงโดนหัว…สมองไหลออกมาเลย…”

ชุนหลิงถอยหลังอย่างอดไม่ได้ รู้สึกตกใจกลัวยิ่งไปกว่าเก่า

“น่ากลัวเหลือเกิน” นางเอ่ย

“ใช่น่ะสิ ใช่น่ะสิ” เหล่าคนงานพยักหน้า “ตระกูลโจวก็เก่งกาจเช่นนี้นี่แหละ…”

ชุนหลิงส่ายหัว มือที่ปิดปากยังไม่ได้เอาออกมา

ไม่ใช่เพราะตระกูลโจวเก่งกาจ…

ไม่ใช่เพราะตระกูลโจวเก่งกาจ…

เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น…

เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น…

ข้างหูของนางราวกับมีเสียงฟ้าร้องลอยเข้ามา สองตามีแสงฟ้าผ่าสว่างวาบ ด้านในดวงไฟมีเถ้าธุลีของคนสองคนอยู่ในนั้น…

สิบเจ็ดแห่งตระกูลหวังจะไปมีอะไร จับสวะเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น สวะคนนี้ในสายตาของผู้หญิงคนนั้นไม่มีค่าอะไรเลย!

“ชุนหลิง!”

มีคนเรียก ชุนหลิงจึงได้สติ เห็นบ่าวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

“ชุนหลิง เจ้าเป็นอะไร เรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ได้ยิน” สาวใช้ถามอย่างสงสัย

“ชุนหลิงตกใจน่ะ” เหล่าคนงานยิ้มพลางเอ่ย “ฟังเรื่องฆ่าคน”

“โธ่เอ๊ย ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไร ไฉนถึงชอบฟังเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้” สาวใช้ขมวดคิ้วถาม

ชุนหลิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“เอาล่ะ เอาล่ะ รีบไปเถิด คืนนี้นายหญิงจะออกไปข้างนอก” สาวใช้ก็เอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจ

ชุนหลิงจึงรีบขานรับ

“มีคนที่สามารถเชิญแม่นางจูได้ด้วยหรือ เป็นคนของตระกูลใดกัน” คนงานถามอย่างใคร่รู้

“ตระกูลฉินของจวนองค์หญิง” สาวใช้เอ่ย

“ตระกูลฉินหรือ” คนงานพากันชื่นชม “ก็มีเพียงแต่แม่นางจูที่จะถูกพวกเขาเชิญ ต้องเป็นงานเลี้ยงที่สำคัญมากใช่ไหม”

เกียรติของเจ้านายก็เป็นเกียรติของเหล่าสาวใช้ ชุนหลิงและสาวใช้ต่างภูมิใจ ก่อนจะรีบเดินออกไป

ขณะที่ยามราตรีกำลังมาเยือน รถม้าที่หน้าประตูจวนตระกูลฉินก็ยิ่งมากขึ้น

ชุนหลิงนั่งอยู่ในรถ เห็นความคึกคักตรงหน้าประตูตระกูลฉินมาแต่ไกล

แม้องค์หญิงจะไม่อยู่แล้ว ราชสำนักก็ไม่ได้เวนคืนจวน กลับกันกลับยังให้ตระกูลฉินอาศัยต่อ แม้จะมีฝ่ายตรวจราชการฟ้องร้อง ทว่าฮ่องเต้องค์ก่อนสนิทสนมกับองค์หญิงอย่างมาก ดังนั้นจึงทำเพียงมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน

แม้จะตามแม่นางจูไปงานเลี้ยงของตระกูลเพียงสองครั้ง ทว่าอำนาจหน้าประตูตระกูลฉินทำให้ชุนหลิงอดไม่ได้ที่ตกใจ มองจนตาเป็นประกาย

“รถม้าดีๆ ช่างเยอะจริงๆ” นางเอ่ยกับสาวใช้ข้างกายอย่างอดไม่ได้ “โต๊ะพวกนี้ดูเหมือนจะจัดการอย่างใหญ่โตเหลือเกิน”

ประตูใหญ่ตระกูลฉินปิดสนิท ประตูด้านข้างเปิดออกแล้ว และบ่าวที่ยืนอยู่เดินเข้าออกไปมา

รถม้าของพวกนางไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าทางประตูด้านข้าง ตรงเข้าทางประตูตรงมุม เมื่อรถม้าผ่านประตูด้านข้าง มีรถสองคันหยุดลงพอดี รถของพวกนางก็ถูกบ่าวเอ็ดทันใด

ชุนหลิงยกมุมม่านรถขึ้นและมองออกไป เห็นหญิงสาวในอาภรณ์หรูหราลงจากรถ บ่าวสี่ห้าคนมารวมตัวกัน ทั้งยังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กจากด้านหลังของนาง อายุหกเจ็ดขวบและแต่งตัวดี พวกนางลงจากรถ บ่าวและสาวใช้หลายคนของตระกูลฉินก็หลั่งใหลกันออกมาต้อนรับ

……………………………………………

[1] ตำแหน่งขันทีในสมัยราชวงศ์ถัง