บทที่ 313.2 ร่วมงานเลี้ยง (2)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

หญิงสาวคนนี้อายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี แต่มีชีวิตอย่างที่นางมีไม่ได้ในชาตินี้…

และทารกน้อยคนนี้ ก็คือคนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดกระมัง

“รีบเดิน รีบเดิน”

มีคนเอ่ยเร่งจากนอกรถ

รถม้าเดินหน้าพร้อมสั่นไหวไปมา ข้ามผ่านหน้าประตูไป ก่อนจะตรงเข้ามุมประตูตรงหัวมุม

“ไม่ต้องดูแล้ว” สาวใช้ข้างกายกระซิบบอก “เก็บของของนายหญิงให้ดี อย่าทำอะไรหายเล่า ถึงเวลาจะวุ่นวายเอา”

ชุนหลิงละสายตา ก่อนจะรีบขานรับ และเริ่มจัดการตลับเล็กข้างกาย

นางบำเรอของขุนนางจะใช้ของสิ่งใดต่างต้องพกมาเอง พูดให้น่าฟังก็คือละเอียดรอบคอบ พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือคนอื่นรังเกียจ

ขณะที่ใกล้เข้าสู่ประตูหัวมุม ชุนหลิงก็หันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง เห็นว่าหน้าประตูมีรถม้ามาจอดอีกหนึ่งคัน เหล่าหญิงสาวที่ลงมายังคงเป็นเหล่าดาวล้อมเดือน

“เหล่าแม่นางตระกูลถง ไฉนพวกท่านก็มาด้วยเล่า” แม่นางเฉินสิบแปดหันกลับไปยิ้มพลางเอ่ย

“แม่นางสิบแปด รีบมาให้ข้าดูเร็ว ว่าวันนี้เจ้าใส่ชุดอะไร”

หญิงสาวหลายคนในวัยเดียวกันยิ้มให้นาง พร้อมกางแขนนางพลางพินิจมอง

“ขอแค่พวกเจ้ามา พวกเราจะมาไม่ได้หรือ”

เข้าไปในลานด้านใน ยิ่งคึกคักขึ้นไปอีก

งานเลี้ยงของตระกูลฉินจัดอยู่ในสวนดอกไม้ ศาลาริมน้ำตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม และโคมไฟของพระราชวังในยามค่ำคืนก็ประดับประดาดุจสวรรค์บนดิน

ชุนหลิงมองไปรอบๆ อย่างอดไม่ใจไม่ไหวในขณะที่ถือกล่องต่างๆ ไว้ในอ้อมกอด

นางรู้สึกทึ่งกับความพลุกพล่านของหอเต๋อเซิ่ง และตกใจกับความหรูหราของทั้งสองตระกูลที่นางเดินผ่านมา แต่ในยามนี้นางไม่อาจละสายตาไปได้

การมาของพวกนางทำให้ทั้งงานคึกคักขึ้น

“ดูสิ ดูนั่นสิ นั่นคือแม่นางจู…”

ดวงตานับไม่ถ้วนบวกกับโคมไฟอันสั่นไหวครอบไปบนกายของแม่นางจู

ภายใต้แสงสียามค่ำคืน หญิงสาวที่แต่งหน้า ทาริมฝีปากแดง แปะแผ่นดอกเหมยบนหน้าผาก มวยผมสูง นัยน์ตาสั่นไหวทว่าไม่ละสายตาไปไหน ก้าวเท้าสั้นๆ แต่เร็ว กระโปรงยาวราวกับผีเสื้อหลากสีสันกำลังม้วนตัว

“ดังที่คาดไว้ งดงามราวกับโบตั๋น ทั้งยังสวยงามราวกับดอกเหมยแห่งเหมันต์ สมกับที่เป็นนางโลม”

บรรดาท่านชายน้อยที่อยู่ใกล้ๆ สรรเสริญซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สิ่งนี้ทำให้พวกแม่นางน้อยที่อยู่ใกล้เคียงไม่ค่อยสบอารมณ์

“ต่อให้เป็นนางโลมอย่างไรก็เป็นนางบำเรอของขุนนาง”

“ไม่เห็นมีอะไรน่ายกย่อง”

“ใช้เรือนร่างบริการคนอื่นก็เท่านั้น”

คำพูดของเหล่าหญิงสาว เหล่าท่านชายก็ไม่ชอบฟังเช่นกัน ต่างเป็นพี่น้องกันในตระกูลของพวกเขาเอง ทว่าก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร จึงมีคนโต้แย้งเพราะความไม่พอใจ

“แม่นางจูเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์”

“มีความสามารถทั้งทางเพศและศิลปะ ย่อมน่ายกย่องอยู่แล้ว”

ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ข้างๆ ได้ยินพลันยิ้มและส่ายหัว

“ชายหนุ่มก็เด็ก เดี๋ยวนี้เถียงกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้อย่างไร” ในมือเขาถือแก้วชา พร้อมกับหันหน้าไปกระซิบกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาด้วยรอยยิ้ม “ในเวลานี้ควรยิ้ม ทำเป็นไม่ได้ยินไป”

ชายหนุ่มด้านข้างหัวเราะ มองชายหนุ่มที่รายล้อมไปด้วยหญิงสาวตัวเล็กหลายคนนั่น

“…บริสุทธิ์หรือ บริสุทธิ์อย่างไร คนที่ออกมาจากกองสังคีตจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร”

“…พ่อของแม่นางจูเป็นถึงขุนนางเชียวนะ…เพียงแค่ถูกใส่ร้ายจึงได้เข้าไปที่กรมสังคีต…”

“แหม เช่นนั้นตอนนี้พ่อของนางได้กลับคำพิพากษาแล้ว ไฉนนางถึงยังอยู่ที่กรมสังคีตเล่า”

“นั่นเป็นคุณธรรมสูงส่งและบริสุทธิ์ของนาง”

“นั่นเป็นเพราะนางคุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้ ให้นางไปใช้ชีวิตอันปกติสุขไม่ได้แล้วอย่างไรเล่า”

“คนมายาไร้ความจริงใจ คนค้าประเวณีไร้คุณธรรม”

“แม่นางน้อยอะไรเล่า กรมสังคีตมีแต่โสเภณี!”

เสียงทะเลาะกันของชายหญิงดังขึ้นไปทุกที และไม่มีทีท่าว่าจะหลบหลีก ไม่มีความจำเป็นต้องหลบเลี่ยงด้วย

แต่ละประโยคถาโถมโจมตีเข้ามา ทำให้ชุนหลิงหน้าเสียเข้าไปทุกที

นางเพิ่งเคยเห็นว่าแม่นางน้อยต้องเผชิญกับประสบการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก

ในอดีตล้วนเป็นงานเลี้ยงของผู้ชาย ไม่มีญาติผู้หญิงเช่นนี้อยู่ในงาน สิ่งที่พวกนางพบต่างเป็นคนที่แสวงหาผู้หญิง ความรังเกียจและการดูถูกที่ไม่ปิดบังเช่นนี้ทำให้นางหวาดกลัว

แสงไฟระยิบระยับ ของตกแต่งอัญมณีอันเจิดจ้าส่องประกายอยู่ตรงหน้า ซึ่งทำให้ชุนหลิงสับสนอลหม่านเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปที่แม่นางจูตรงหน้า

แม่นางจูตัวตรง ทุกย่างก้าวยังคงเหมือนเดิม ดวงตาไม่หันเห และดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบ

แต่เมื่อมีคนเรียกชื่อนาง ก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“แม่นางจู”

แม่นางจูหยุดและหันกลับมา

“แม่นางมีอะไรให้รับใช้หรือ” นางเอ่ยพลางทำความเคารพ

“เจ้ามานี่”

แม่นางตัวน้อยโบกมือพลางเอ่ย

แม่นางจูขานตอบ เดินเข้าไปยืนต่อหน้าแม่นางน้อยแล้วทำความเคารพอีกครั้ง

ชุนหลิงตามไป มองหญิงสาวสี่ห้าคนข้างหน้า เสื้อผ้าของพวกนางนั้นด้อยกว่าของแม่นางจูมาก แต่ชุนหลิงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่านางไม่ต้องการเห็นชุดของแม่นางจูที่นางเคยชื่นชมอีกต่อไป

ที่แท้ความตื่นตาในฝูงชนนั้นก็ทำให้รู้สึกอับอายในบางครั้งเช่นกัน

“แม่นางจู พ่อของเจ้าได้รับการพิสูจน์แล้ว แต่เจ้าไม่ได้ย้ายที่อยู่ เป็นเพราะเจ้าละอายใจหรือเปล่า” แม่นางน้อยเอ่ยถาม

แม่นางจูยิ้ม

“ข้าไม่ได้ละอายใจในตัวเอง เพียงแต่ข้ายอมรับชะตาชีวิตเท่านั้น” นางก้มศีรษะเอ่ย “ถึงข้าจะย้ายที่อยู่ ข้าก็เปลี่ยนชีวิตไม่ได้ ครั้งหนึ่งข้าเคยอยู่ในกรมสังคีต เหตุใดต้องย้ายที่อยู่อีกเล่า”

คำพูดนี้ทำให้บรรดาชายหนุ่มโดยรอบรู้สึกสงสารมากขึ้น บางคนถึงกับถอนหายใจ

“พูดเสียน่าฟัง สุดท้ายก็เพราะอับอายอยู่ดี” แม่นางน้อยส่งเสียงเฮอะ ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อเจ้ากลัวความอับอาย เหตุใดเจ้าไม่ระวังให้มากกว่านี้ ยังจะมาเป็นนางโลม แล้วปรากฏตัวต่อฝูงชนทำไมอีก”

ชุนหลิงก้มศีรษะลงต่ำ

แม่นางจูยังคงยิ้ม

“คือ ข้าไม่ได้คิดมากเพียงนั้น” นางพูด “ข้าแค่คิดว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ก็อยากจะทำให้ดีที่สุดกระมัง”

คำพูดนี้ทำให้เหล่าแม่นางน้อยเผลอยิ้ม ก่อนที่แม่นางน้อยจะตอบ ก็มีคนพูดขัดขึ้นมาก่อน

“พูดได้ดี”

เสียงของชายหนุ่มชัดเจนจนทุกคนมองมาที่เขา

ทางเดินตรงหัวมุม ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมเขียวครามและเข็มขัดหยก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ชุนหลิงเห็นดวงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลง

ท่านชายของตระกูลโจว!

“เช่นนี้ จะได้ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียใจ” ชายหนุ่มพูดพลางมองแม่นางจู ยกแก้วน้ำชาในมือขึ้น “แด่แม่นางน้อย”

เมื่อเอ่ยจบก็ดื่มจนหมด

แม่นางจูยิ้ม ก้มศีรษะและโค้งตัวทำความเคารพ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

เขาเป็นคนที่ช่วยแม่นางพูดหรือเนี่ย…

อีกอย่างเมื่อเขาพูดแล้ว คนรอบข้างก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก…

ตระกูลโจวช่างทรงพลังจริงๆ…

ชุนหลิงอดกลั้นการเต้นแรงของหัวใจ และหันไปมองอีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ท่านชายหวังสิบเจ็ดไม่มีอะไรดีเลย!

เขา ปกป้องแม่นางจู แสดงว่าคงคิดอะไรกระมัง…

ชุนหลิงกัดริมฝีปากล่างและหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว

เดินออกมาเพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงคึกครื้นดังอยู่ข้างหลัง

“อ้าว มีคนมาแล้ว”

ใครมาหรือ

ชุนหลิงหันไปมอง ก็เห็นว่าท่านชายตระกูลโจวเดินไปทางนั้นก่อนแล้ว และบรรดาแม่นางน้อยที่เมื่อครู่เพิ่งเหน็บแนมนายหญิงของนางไป กับเหล่าท่านชายก็หลั่งไหลเข้ามาทางนี้เช่นกัน

ภายใต้แสงโคมยามราตรี อีกด้านหนึ่งก็มีคนมามากมายเช่นกัน พวกเขาห้อมล้อมหญิงสาวคนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

มีผู้คนมากมาย แต่ไม่ว่าผู้ใด สายตาต่างก็ตกไปอยู่บนร่างของหญิงสาวคนนั้นในแวบแรก

นางสวมยังคงสวมอาภรณ์สีเข้ม ครึ่งเก่าครึ่งใหม่ แขนกว้าง กระโปรงยาวลากพื้น เอวบางมีเข็มขัดหนาคาดอยู่ ไร้ซึ่งเครื่องประดับใดๆ บนร่างกาย แต่นางได้กลายเป็นบุคคลที่ตระการตาที่สุดในเมือง

บางทีอาจเป็นเพราะสายตาของผู้คนต่างจดจ่อ หรืออาจจะเป็นเพราะนัยน์ตาลึกของนาง และอาจจะเป็นเพราะอาภรณ์สีเข้มขับลำคอที่มีผิวเกลี้ยงเกลานั้น

เป็นนาง…

ยังคงเป็นนาง…

หากตอนนั้นนางไม่ไล่ตนออกไป สาวใช้สองคนที่อยู่ข้างกายนางในตอนนี้ จะเป็นพี่น้องพวกนางหรือไม่

ความเจ็บปวดทำให้ชุนหลิงได้สติ มีรสขมปร่าที่ริมฝีปาก

ที่แท้ก็เป็นเพราะกัดริมฝีปาก

“แม่นางน้อยผู้นี้ก็คือแขกคนสำคัญในวันนี้”

มีเสียงของแม่นางจูมาจากข้างหู

ชุนหลิงหันหน้าไปมอง เห็นว่าแม่นางจูหยุดเดินและมองไปทางนั้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

แม่นางน้อยที่ถูกผู้คนห้อมล้อมภายใต้แสงไฟ เปล่งประกายราวอัญมณี

“ช่างเป็นคนงามเสียจริง” นางยิ้มบาง พลางเอ่ย

นางมองอีกหน ก่อนจะละสาย

“ไปเถิด แขกคนสำคัญมาแล้ว พวกเราต้องรีบเตรียมตัวแล้ว” นางเอ่ย ก่อนจะเดินต่อไปอย่างสั่นไหว

ชุนหลิงมองด้านนั้นอีกครั้ง ก่อนจะละสายตา ก้มหน้าแล้วเดินตามไปอย่างรวดเร็ว หายตัวไปในความสลัว พร้อมกับแม่นางจู