สุราถูกนำมาวางเรียงกันบนโต๊ะ
“นี่คือสุราที่ตระกูลข้าหมักเอง รสชาติสดชื่นชุ่มคอ เหมาะสำหรับหญิงสาวดื่ม” ฮูหยินฉินเอ่ยและยิ้มให้เฉิงเจียวเหนียงด้านข้าง “เจ้าชิมดูสิ”
เฉิงเจียวเหนียงยังไม่ได้เอ่ยอะไร ท่านชายฉินสิบสามตรงข้ามนางพูดก่อนแล้ว
“ท่านแม่ แม่นางเฉิงไม่ชอบดื่มสุรา ชาก็ไม่ต้อง ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมเลย” เขาเอ่ย
ฮูหยินฉินเหลือบมองเขาทีหนึ่ง
สาวใช้ได้เตรียมน้ำเปล่าให้เฉิงเจียวเหนียงตามที่ท่านชายฉินสิบสามสั่งแล้ว
เสียงผีผาที่ดังกึกก้องอยู่ในงานหยุดลง
แม่นางจูที่นั่งอยู่ลุกขึ้นโค้งคำนับ
เสียงชื่นชมโดยรอบขัดจังหวะการพูดคุยของทางด้านนี้
“ไม่ทราบว่าฮูหยินอยากฟังเพลงหรือว่าดูการเต้นรำเจ้าคะ”
แม่นางจูคำนับพลางถาม
“แม่นางจูเต้นรำเก่ง” ฮูหยินฉินเอ่ย
แม่นางจูคำนับพลางยิ้มสดใส
“ข้าคิดการเต้นรำมาใหม่ หวังว่าทุกท่านจะชอบ” นางเอ่ย
ฮูหยินฉินไม่ได้ปฏิเสธ ทว่าก็ไม่ได้สนใจ หันไปพูดกับเฉิงเจียวเหนียง
แม่นางจูถอยออกมาสองสามก้าว ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้ดีดพิณ ผู้ดีดพิณปรับสายเล็กน้อย จากนั้นเสียงดนตรีก็ค่อยๆ ดังขึ้น
“วัดในหุบเขารอคอยดอกเหมยบาน…”
เสียงดนตรีอันอ่อนหวานชวนคล้อยตามดังขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามที่เพิ่งดื่มชาไปหนึ่งอึก ก็สำลักออกมา
การเคลื่อนไหวของเขาดึงดูดผู้คนให้มองมา และแม่นางจูบนเวทีก็หยุดลง
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร เพลงของแม่นางจู…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเอื้อมมือไปรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ส่งมาให้ ก่อนจะปิดปาก
แม่นางจูเม้มปากยิ้มบางๆ ภายใต้แสงสียามค่ำคืนและดวงจันทร์สว่างไสว ดวงตาอันสวยงาม ทำให้บรรดาชายหนุ่มในงานอดไม่ได้ที่จะมองเหม่อ
“เรียนท่านชาย ข้าเคยดูตัวอักษรห้าตัวไร้นามที่วัดเฉี่ยถิง ชอบมาก พินิจอย่างละเอียดวันหนึ่ง ได้รับแรงบันดาลใจจึงมาเรียบเรียงการเต้นรำนี้ ดังนั้นจึงใช้ตัวอักษรห้าตัวนี้เป็นประโยคเริ่มต้น” นางงอเข่าโค้งคำนับ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน “ท่านชายว่าไม่เหมาะสมหรือไม่”
นางเอ่ยเช่นนี้ คนอื่นก็คิดได้ ต่างพากันยกยิ้ม
“ท่านชายสิบสาม ท่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นตัวอักษรห้าตัวนั้นสักหน่อย ตกใจเช่นนี้ทำไมกัน” มีคนหยอกล้อ
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม พลางเอื้อมมือออกไปส่งสัญญาณขอโทษ
“เปล่า เปล่า” เขาเอ่ย “แม่นางจูตามสบาย”
แม่นางจูยิ้ม พลางคำนับ ผู้ดีดพิณบรรเลงเพลงอีกครั้ง เสียงดนตรีและการเต้นรำเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ชุนหลิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาของเสา จ้องไปที่ชายหนุ่มและเห็นว่าเขาจดจ่ออยู่กับแม่นางจูที่ร่ายรำไปมาบนเวที อดไม่ได้ที่จะตาเป็นประกาย
ผู้ชายคนไหนในโลกที่สามารถเมินแม่นางจูได้เล่า…
“ท่านชายฉินสิบสามช่างตลกเสียจริง…”
มีเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากคนข้างกาย
“…ท่านชายฉินคงตั้งใจให้แม่นางจูพูดกระมัง…”
ชุนหลิงหันกลับไป
“ท่านชายฉินคือผู้ใด” นางถามอย่างตกใจ
บ่าวที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นจึงชี้นิ้ว
“ท่านชายฉินก็คือท่านชายฉินน่ะสิ อยู่บนที่นั่งหลัก ท่านชายสิบสามแห่งตระกูลฉิน เจ้ามาบ้านคนอื่นแต่ไม่รู้จักเจ้าของบ้านหรือ” บรรดาบ่าวเอ่ยเสียงเบาพลางยิ้ม
ชุนหลิงงงงันก่อนจะหันกลับไป
ท่านชายฉินสิบสาม!
เจ้าเป๋ตระกูลฉิน คนที่พิการตั้งแต่เด็ก ผู้มีความรู้มากมายน่ะหรือ!
เขาก็คือท่านชายฉินสิบสามหรือ!
นางอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักหน้าเวที ดวงตาของชายหนุ่มละออกไปแล้ว เขาเผยรอยยิ้มไปในทิศทางหนึ่ง ขยับปาก พูดอะไรบางอย่างออกมาอย่างไร้เสียง สีหน้าเต็มไปด้วยไมตรีจิต…
ชุนหลิงมองไปตามสายของเขา หญิงสาวในอาภรณ์เรียบง่ายนั้นก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ” ฮูหยินฉินใช้ข้อศอกกระทุ้งฮูหยินเฉินที่อยู่ด้านข้าง “ไม่รู้ว่าทำหน้าทำตาส่งสัญญาณอะไรกัน”
ฮูหยินเฉินยกสุราขึ้นดื่ม
“ส่งสัญญาณว่าไม่มีใจต่อกัน” นางกระซิบพลางยิ้ม
ฉินฮูหยินถลึงตามองนาง
“เจ้าอิจฉาริษยา” นางส่งเสียงฮึ ก่อนจะเอ่ย “เห็นว่าสิบสามของข้ากับแม่นางเฉิงสนิทกันสินะ”
“สนิทกันมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์” ฮูหยินเฉินยิ้มพลางเอ่ย ก่อนจะใช้พัดตีนาง
“ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าบนโลกนี้ความรักของคนจะเอาชนะกฎเกณฑ์บ้าๆ นี่ไม่ได้” ฮูหยินฉินเอ่ย ก่อนจะชะงัก มองหญิงสาวที่หุบยิ้มแล้วตั้งใจดูการเต้นรำ
ยามนี้บนเวทีกำลังบรรเลงดนตรีและการร่ายรำอันงดงาม เสียงหัวเราะดังลั่นรอบด้าน บ่าวรับใช้นั่งเบียดกันอยู่รอบข้าง แสงไฟสว่างไสวในยามราตรี บรรยากาศครึกครื้นและสนุกสนาน อย่างไรก็ตามเมื่อมองแม่นางน้อยที่นั่งตัวตรงอยู่ ข้างกายแม่นางน้อยยังมีแม่นางเฉินสิบแปดและเฉินตันเหนียงที่กำลังกระซิบกระซาบและหัวเราะ แต่แม่นางน้อยคนนั้นยังคงสามารถปลีกวิเวกท่ามกลางความครึกครื้นและสนุกสนานได้ในชั่วพริบตา
เจ้าเด็กนี่…
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า จะทำให้นางหัวเราะไม่ได้” ฮูหยินฉินพูดกับตัวเอง
……
เมื่อแสงยามเช้าสว่างขึ้น ประตูเมืองสูงสามศอกตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านชาย ท่านชาย อย่าหลับนะขอรับ”
บ่าวชราเลิกม่านขึ้นพลางเอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดคอพับและหลับตาอยู่ในรถแล้ว
“ท่านชาย อาจจะมีคนมาส่งที่นอกประตูเมืองก็ได้…” บ่าวชรากระซิบ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหลับตาและโบกมืออย่างรำคาญ
“รีบออกมาเช้าเพียงนี้ ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว คนตระกูลโจวก็ตามมาอยู่ไม่ใช่หรือ จะมีใครมาส่งอีก!” เขาเอ่ย
พูดเช่นนี้ก็ถูก บ่าวชราพยักหน้า เพียงแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกว่าน่าจะมีคนอีกมากมายมาส่ง…
คิดมากไปหรือ
เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดม่านลง และนั่งในรถพลางมองไปข้างหน้า องครักษ์สิบกว่าคนของตระกูลโจวขี่ม้าตัวสูงใหญ่อยู่ด้านหน้าอย่างอึกทึก ด้านหลังตามด้วยรถม้าของแม่นางตระกูลเฉิง จากนั้นก็ตามด้วยรถม้าของพวกเขา ถัดไปคือรถม้าบรรทุกของอีกสองคันตามหลัง
บ่าวชรามองรถม้าข้างหน้า รู้สึกว่ามีบางเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
เดิมทีพวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการเดินทางกลับบ้านจากเมืองหลวง แต่เมื่อแม่นางคนนั้นเอ่ยปาก ตระกูลโจวก็ทำทุกอย่างจนเสร็จสิ้น…
เอ่อ เหตุใดเขาถึงบอกว่า หลังจากที่แม่นางคนนั้นเอ่ยปากเล่า
ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์ คนขับรถม้าก็ดึงบังเหียนม้า
บ่าวชราได้สติพลางขมวดคิ้ว
ขณะนี้ยังเช้าอยู่ แต่มีรถม้าและคนเดินถนนจำนวนมากเข้าออกเมือง ประตูเมืองย่อมแน่นขนัดโดยง่าย
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความแออัด คนเดินถนนและรถม้ากระจัดกระจาย ดูเหมือนจะเป็นการเปิดทางให้กับการเดินทางของพวกเขาโดยเฉพาะมิปาน
เปิดทางให้กับการเดินทางของพวกเขาโดยเฉพาะ…
เขาคิดมากไปอีกแล้วหรือเปล่า
“ท่านปู่กู่ ด้านหน้ามีคนมาส่ง คนของตระกูลโจวไปแล้วขอรับ” ผู้ติดตามคนหนึ่งวิ่งมาบอก
มีคนมาส่งจริงๆ หรือ
“เป็นผู้ใด” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“ต้าเฉวียนบอกว่าฮูหยินตระกูลโจว” ผู้ติดตามเอ่ย
ฮูหยินตระกูลโจวหรือ เมื่อเช้าตอนที่นายใหญ่โจวมาส่งพวกเขา บอกว่าฮูหยินโจวไม่สบายยังไม่หายดี จึงไม่สะดวกมาไม่ใช่หรือ
หรือว่าป้ากับหลานรักกันเพียงนั้น ท้ายที่สุดดึงดันจะมาส่งให้ได้อย่างนั้นหรือ
ในเมื่อคนของตระกูลโจวมาแล้ว ท่านชายหวังสิบเจ็ดจำต้องออกไปด้วย
“ท่านชาย ท่านชาย รีบตื่นเร็ว ฮูหยินโจวมาส่งแล้ว” เขาเอ่ย
“ไม่ได้มาส่งข้าเสียหน่อย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดพึมพำ
บ่าวชราจะไม่ตามใจเขาให้ทำเช่นนี้ ดึงเขาขึ้นมาแล้วรีบเดินไป ดังคาดมีผู้หญิงคนหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยสาวใช้ยืนอยู่หน้ารถม้า อาภรณ์หรูหรา ดวงหน้างามหยด ในเวลานี้ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ถึงได้ยกแขนขึ้นปิดปากพลางยิ้ม
ไม่เห็นเหมือนคนป่วยตรงไหน!
“เอ๋ ฮูหยินโจวอยู่ที่ไหน” ท่านชายหวังสิบเจ็ดพูดพลางมองไปรอบๆ
บ่าวชราตกตะลึงเล็กน้อย และหันไปมองท่านชายของเขา
“ก็นั่นไง…” เขาชี้พลางเอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดขมวดคิ้วและมองไป
“ไหนเล่า” เขาถาม
“นั้นอย่างไรเล่า!” บ่าวชราชี้อีกครั้งพลางเอ่ย เห็นผู้ติดตามเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม “นั่น ต้าเฉวียนไปทำความเคารพแล้ว”
“เหตุใดถึงมาช้าเพียงนี้” ฮูหยินฉินเอ่ยยิ้ม มองเฉิงเจียวเหนียงที่ลงมาจากรถม้า
“ฮูหยินป่วยอยู่ ยังอุตส่าห์ตามมา…” ผู้ติดตามตระกูลหวังพยักหน้า โค้งคำนับพลางเอ่ย
คราวก่อนเข้ามีทีท่าไม่ดี จึงถูกตี คราวนี้…
เห็นสาวใช้คนหนึ่งยกมือขึ้น ผู้ติดตามหันหน้าไป ได้ยินเสียงเล็กแหลมดังขึ้น
บ่าวชราหลับตาอย่างลืมตัว แล้วหันหน้าหนี
เหตุใดถึงโดนตีอีกแล้วล่ะ…