“เจ้าเด็กนี่ พูดจาอะไรกับฮูหยินของข้า!”
สาวใช้ตบเสร็จแล้วยังไม่จบไม่สิ้น ตะคอกพลางเลิกคิ้ว พร้อมกับชี้นิ้วคนที่ถูกตบ
บ่าวชราไม่กล้าละเลย ก่อนจะรีบเดินเข้าไป
“คนสบายดี มาแช่งว่าป่วยได้อย่างไร เป็นธรรมเนียมของตระกูลไหนกัน” สาวใช้ยังคงเลิกคิ้วตะคอกด่า
แช่งให้ป่วยหรือ
บ่าวชราโค้งคำนับอย่างรวดเร็วเพื่อไถ่โทษ พร้อมกับตำหนิคนของตัวเอง ก่อนจะดึงผู้ติดตามออกมา
ฮูหยินฉินไม่ได้โกรธกับบ่าวรับใช้เหล่านี้ด้วยตัวเอง นางเดินไปตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง ก่อนจะพูดคุย ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน บ่าวใช้รอบกายต่างพากันหัวเราะ
มีเพียงเฉิงเจียวเหนียงเท่านั้นที่ไร้ความรู้สึก
“โอ้ย ยังไม่ตลกอีกหรือ ข้าอุตส่าห์มาส่ง ก็ยิ้มสักหน่อยเถิด” ฮูหยินฉินเอ่ย เอื้อมมือไปประคองไหล่เฉิงเจียวเหนียงพลางยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง
“หลิวหลิงมักจะดื่มด่ำกับสุราและปล่อยตัวปล่อยใจ บางครั้งก็ถอดเสื้อผ้าและเปลือยกายอยู่ในบ้าน มีคนเห็นก็พากันหัวเราะเยาะ หลิวหลิงเอ่ยว่า ข้าถือว่าสวรรค์และโลกเป็นบ้าน บ้านเป็นกางเกง เหตุใดเจ้าถึงเข้ามาในกางเกงของข้าเล่า”[1]
ผู้คนที่อยู่ในนั้นตกตะลึง ฮูหยินฉินที่ได้สติและหัวเราะในทันที ตอนนั้นเองที่คนอื่นก็เพิ่งจะโต้ตอบ และพิจารณาอีกรอบ และหัวเราะเช่นกัน
“เจ้าเด็กนี่ เจ้าเด็กนี่!” ฮูหยินฉินหัวเราะจนยืนไม่ตรง ใบหน้าแดง เอื้อมมือไปกุมท้อง จับสาวใช้พลางพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มและงอเข่าคำนับนาง
บ่าวชราที่อยู่อีกด้านยังคงดึงผู้ติดตามแล้วดุเสียงเบา
“…ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไร เพียงแค่ถามไถ่ฮูหยินโจว…” ผู้ติดตามกุมหน้าพลางเอ่ย
พูดตามตรงว่าครั้งนี้ไม่เจ็บ แต่น้ำตาของผู้ติดตามก็แทบจะไหลออกอยู่แล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้หลั่งน้ำตาง่ายๆ จนกว่าจะมีเรื่องที่เสียใจจริงๆ
เหตุใดเขาต้องถูกทุบตีทุกครั้งที่เอ่ยปากกันนะ ช่างอยุติธรรมเสียจริง!
“เจ้าจำผิดคนแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะตีเจ้า” ท่านชายหวังสิบเจ็ดหาวพลางเอ่ย เพราะไม่ใช่ฮูหยินโจว เขาจึงขี้เกียจเข้าไปทักทาย “นี่ไม่ใช่ฮูหยินโจว”
ไม่ใช่จริงๆ ด้วย
เช่นนั้นนางเป็นใคร ดูจากลักษณะท่าทางการเดินเหินแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่
บ่าวชรารีบถามผู้ติดตามของตระกูลโจวที่อยู่ข้างๆ
“แม้แต่ฮูหยินคนนี้ พวกเจ้าก็จำไม่ได้หรือ” ผู้ติดตามเงยหน้าขึ้น สองรูจมูกดำหันไปทางคนตระกูลหวัง แม้ว่าจะมีประโยคหนึ่งที่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เหมือนกับคนของตระกูลหวังทุกคนต่างได้ยินกันหมด
ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย!
“ระยะเวลาที่เรามาเมืองหลวงนั้นสั้น ท่านพี่โปรดชี้แนะ” บ่าวชรายิ้มพลางเอ่ย
“ดูรถม้าสิ” บ่าวตระกูลโจวแหงนหน้าพลางเอ่ย
ทุกคนในตระกูลหวังต่างมองรถม้า รถม้างามไม่เบานี่…
“จี้ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลฉินแห่งจวนองค์หญิง!” บ่าวของตระกูลโจวไม่อาจทนมองคนบ้านนอกพวกนี้ได้อีกต่อไป จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านนี้ก็คือฮูหยินฉิน”
ตระกูลฉินแห่งจวนองค์หญิง!
แม้จะจำไม่ได้ ทว่าเคยได้ยินนามนี้มาก่อน ตระกูลหวังทุกคนต่างตกตะลึงโดยพลัน
ไม่ว่าตระกูลโจวจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ถึงเข้าที่ต้องให้ตระกูลฉินมาเอาใจกระมัง
หรือว่า…
“ฮูหยิน ฉิน ผู้นี้ มา…ส่ง…แม่นางเฉิงหรือ” บ่าวชราเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
บริวารของตระกูลโจวส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะมองไปที่บ่าวชรา
“หรือจะให้มาส่งพวกเจ้ากันเล่า” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
ในสายตาของฮูหยินฉิน ผู้คนบนท้องถนนค่อยๆ กลายเป็นจุดดำ
“ฮูหยิน แม้จะส่งได้ไม่ถึงสิบลี้ แต่เท่านี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
ฮูหยินฉินพยักหน้า
“แม่นางน้อยแปลกประหลาดผู้นี้ คิดๆ ดูแล้ว ก็น่าสนใจจริงๆ” นางยิ้ม หันกลับไปมองที่ประตูเมืองที่อยู่ไม่ไกล “มิน่าเล่า เจ้าเด็กโง่นี่ถึงได้อาลัยอาวรณ์เพียงนี้”
บรรดาสาวใช้มองไปตามสายตาของนาง จุดสูงสุดของประตูเมือง มีคนคนหนึ่งยื่นอยู่
เหตุใดถึงไปได้อย่างเด็ดขาดเช่นนี้
เหตุใดถึงไม่อาลัยอาวรณ์เลย
อย่างไรเสียก็อยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้…
ตั้งแต่ไม่อยู่ในสายตา จนถึงอยู่ในสายตาท่ามกลางการเหน็บแนม จนกระทั่งวางแผนร่วมกันอย่างลับๆ…
ในสายตาของนาง ไม่มีความแตกต่างเลยหรือ
ท่านชายฉินสิบสามมองท้องนภาที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
วงศ์ตระกูล คุณสมบัติ ไม่มีอะไรแตกต่าง ต่างก็เหมือนกัน
เหตุใดถึงไม่มีสิ่งแตกต่างกันเล่า
คนสองคนจะเหมือนกันได้อย่างไร
คนสองคน…
คน…
ท่านชายฉินสิบสามก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับยอดกำแพง หรือว่าคนคนนี้ไม่ได้หมายถึงคนอื่น แต่หมายถึงนาง
คนอื่นจะมองนางอย่างไร จะปฏิบัติต่อนางอย่างไร…
“หากท่านรู้เรื่องกฎของข้า ยังอยากให้ข้ารักษาขาของท่านอยู่ไหม”
ใบหน้าของแม่นางน้อยปรากฏขึ้นตรงหน้า
ท่านชายฉินสิบสามส่ายหัวอีกครั้งและยิ้ม ดังนั้น มีตรงไหนไม่เหมือนกันเล่า ตัวเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ!
แม่นางเฉิงคนนี้นี่นะ…
อันที่จริงไม่ได้โหดร้ายกับคนอื่น แต่เพื่อโหดร้ายกับตัวเองสินะ
ท่านชายฉินสิบสามอยากจะก้าวเท้าและลงไปข้างล่าง แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ขยับ ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต
อีกาหลายตัวบินข้ามชายคาด้วยเสียงร้องแปลกประหลาด
“ชิ่วๆ”
เสียงของเด็กดังมาจากด้านหลัง
จิ้นอันจวิ้นอ๋อง หันกลับมามององค์ชายรองที่อุ้มอย่างระมัดระวังโดยขันทีหลายคน
วังนี้ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่และถูกทิ้งร้าง บนประตูเต็มไปด้วยวัชพืช
“โธ่ ฝ่าบาท ท่านนั่งตรงนี้ได้อย่างไร รีบลงมา หากล้มลงไปไม่ดีแน่!” ขันทีมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ก่อนจะร้องออกมาทันใด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มและส่ายขาบนราวบันไดของตึก เขาไม่พูดและไม่ได้กลับไปนั่ง
“ท่านพี่ มาที่นี่ทำไมหรือ” องค์ชายรองถาม พร้อมกับสะบัดขันทีออก ก่อนจะชูเสื้อและวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่นมือออกมาดึงตัวเขา กอดและนั่งข้างเขาท่ามกลางเสียงกรีดร้องของขันที
“โห ที่นี่มองเห็นได้ไกลมากเลย” องค์ชายรองไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย กลับโบกมือและตะโกนอย่างตื่นเต้น
“ใช่น่ะสิ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองไปยังที่ไกลแสนไกล “ที่นี่เป็นที่ที่มองได้ไกลที่สุดในวัง เมื่อครั้งยังเด็กข้าอยากมาบ่อยๆ แต่ไม่มีใครมากับข้า และไม่มีใครกล้าปล่อยให้ข้ามา บัดนี้ข้าโตแล้ว มาเองได้แล้ว”
“ท่านพี่มามองอะไรที่นี่หรือ” องค์ชายรองถาม
“ข้าน่ะหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองไประยะไกลแล้วยิ้ม “มาส่งเพื่อนน่ะ”
ส่งเพื่อนหรือ
ในที่เปลี่ยวและห่างไกลนี้ นอกจากอีกา ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดแล้วกระมัง
ขันทีตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นในตอนกลางวันเท่านั้น
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ลงมาเร็ว” พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้พวกเขาลงมาให้ได้
ไม่รอให้พวกเขาเดินเข้ามา จิ้นอันจวิ้นอ๋องอุ้มองค์ชายรองขึ้น
เหล่าขันทีปิดหน้าและกรีดร้อง…
ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังและกระโดดลงจากราวบันได ก่อนจะวางองค์ชายรองลงบนพื้นอย่างมั่นคง
“ท่านพี่ ท่านพี่ เอาอีก!”
องค์ชายรองตะโกนอย่างตื่นเต้น
“บินอีก!”
เหล่าขันทีรีบเข้าไป และพาองค์ชายรองออกมา ก่อนจะจ้องไปที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องด้วยความโกรธ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่สนใจการไม่เคารพของพวกเขา ก่อนจะเดินออกไปด้วยเสียงหัวเราะ
“ไปแล้ว ไปแล้ว” เขาพูด
“ไปจริงๆ หรือ”
ณ ตระกูลเฉิน เฉินที่สวมชุดอยู่บ้าน นั่งขัดสมาธิตามอำเภอใจ พลางฟังบ่าวพูด
“เช่นนั้นจะไปแบบหลอกๆ ได้หรือ” นายใหญ่เฉินถลึงตามองเขา “เกรงว่าแม่นางคนนี้ จะไม่รู้จักการยอมรับ ทว่าแสร้งปฏิเสธ พูดอะไรก็ทำเช่นนั้น”
เฉินเซ่าขานตอบด้วยรอยยิ้ม
“ตอนที่เชิญแม่นางเฉิงมา ก็ใกล้ๆ ช่วงเวลานี้” เขายิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าใกล้จะหนึ่งปีแล้ว”
หลังจากพูดเช่นนี้ เขาก็คิดได้ว่าแม่นางเฉิงเพิ่งอยู่ในเมืองหลวงได้เพียงปีเดียว
รู้สึกเหมือนนานมาก
ตอนนี้มานั่งคิด นับตั้งแต่ที่แม่นางเฉิงมา หนึ่งปีมานี้ไม่ได้หยุดหย่อนเลย นางทำให้เขาตกอกตกใจมากี่ครั้งแล้ว เขาก็จำไม่ได้
เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองม่านบังลมด้านหลังท่านพ่อ ในตอนนี้มีรอยบันทึกบางๆ หลายจุด ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนมากแล้ว
ชีวิตคน…
สิ่งเหล่านั้นจ่างเป็นชีวิตมนุษย์ที่อยู่ในมือของแม่นางน้อย…
แม่นางน้อยคนนี้ ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบห้าปีเองนะ
คนดุร้ายเช่นนี้ เขายอมรับความเจ้าเป๋ตระกูลฉินนั่นพูดถูก ตนเองพะว้าพะวงเกินไปจริงๆ
เขาโล่งใจเมื่อได้ยินว่าแม่นางน้อยคนนี้จะจากไปจริงๆ
กลับไปเถิด ผู้เย้าผู้ยิง กลับไปแต่งงานอย่างสบายใจ ปรนนิบัติสามี สอนลูกเถิด นี่ถึงจะเป็นชีวิตของสตรี…
ความคิดนั้นฉายวาบขึ้น และเฉินเซ่าส่ายหัวพร้อมยิ้มขมขื่น
พะวงกับหญิงสาวคนหนึ่งเช่นนี้ ควรพูดว่าตนเองระแวดระวังหรือขี้ขลาด
……………………………………………….
[1] แหล่งที่มา หนังสือ “เรื่องตกลจากอดีตถึงปัจจุน” <古今笑> เขียนโดยเฝิงเมิ่งหลง