แถบตะวันตกเฉียงเหนือยามกลางเดือนเก้าอากาศช่างหนาวเหน็บ
สวีเม่าซิวนอนหมอบอยู่บนเนินเขากว่าครึ่งค่อนวันจนแข้งขาชาไปหมด ทันใดนั้นก็มีคนค่อยๆ คลานมาจากอีกฝั่ง
“เป็นอย่างไรบ้าง” สวี่เม่าซิวเอ่ยเสียงแผ่ว
“กองไฟยังอุ่นอยู่” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยกระซิบ
“ถึงกับไม่เหลือคนไว้สักคน หนีไปกันหมด เพราะเหตุใดกัน” สวีเม่าซิวเอ่ยเสียงแผ่ว พลางชะเง้อมองภูเขาด้านหน้า
ต้นไม้ในหุบเขามีไม่มากนัก เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีและเพื่อความสะดวกในการตั้งรับจึงตัดต้นไม้ออกไปเสีย
มองปราดเดียวก็ยังเห็นว่ากระโจมผ้าใบยังอยู่ ทว่ากลับเงียบสงัดไร้ผู้คน มีเพียงเสียงนกสะท้อนก้องไปมาระหว่างภูเขา
สวีเม่าซิวขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง
“จากตรงนี้ไปถึงเมืองหลงกู่ก็ไม่ไกลนัก” เขาเอ่ย
“แล้วอย่างไรเล่า” ฟ่านเจียงหลินถาม
“หากจะซุ่มโจมตีก็ทำได้ง่ายนัก” สวีเม่าซิวตอบ
ฟ่านเจียงหลินเบิกตาโพลง
“ซุ่มโจมตีอย่างนั้นหรือ หัวหน้าหน่วยฝูเจียงอยู่ที่เมืองหลงกู่นะ! เขาคงบ้าไปแล้วหากคิดก่อกบฏ!” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“หากเป็นผู้อื่นที่บ้าเล่า” สวี่เม่าซิวพูด
ฟ่านเจียงหลินกำลังพูดต่อทว่าสวีเม่าซิวยกมือขึ้นปราม
“พวกเรากลับไปรายงานเหล่าใต้เท้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน ให้พวกเขาตัดสินใจ” เขาเอ่ย
ทั้งสองไถลลงจากเนินดิน ปลดเชือกม้าที่อยู่ด้านข้างก่อนจะควบออกไปอย่างรวดเร็ว
ยามห่างจากค่ายไปได้ห้าลี้บรรยากาศยังคงผ่อนคลาย แม้ตลอดการเดินทางจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ระยะทางอันยาวไกลนั้นสร้างความเหนื่อยล้าไม่น้อย พอประตูเมืองอยู่ห่างออกไปอีกไม่ถึงสิบลี้ เหล่าทหารก็เริ่มครื้นเครงขึ้นมายามนึกถึงที่หลับที่นอนอันสุขสบาย รวมทั้งสุราและอาหารในเมือง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ เมืองหลงกู่มีอันตรายอย่างนั้นรึ”
ผู้บัญชาการขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามสองคนตรงหน้า
การส่งคนออกไปสืบข่าวล่วงหน้าเป็นยุทธวิธีของทหารอยู่แล้ว ทว่าที่ผ่านมาก็ทำเป็นเพียงพอเป็นพิธีเท่านั้น ในเมื่อธงแม่ทัพของราชสำนักตั้งตระหง่านเสียขนาดนี้ คงไม่มีโจรกระจอกตาบอดที่ไหนวิ่งโร่เข้ามาหาเรื่องใส่ตัวหรอก
อีกไม่นานก็จะถึงกำแพงเมืองอยู่แล้ว แต่สายสืบสองนายกลับมาบอกว่าที่กำแพงเมืองมีอันตรายเสียอย่างนั้น
เมืองหลงกู่เป็นเมืองหน้าด่านที่ใหญ่ที่สุดของแถบตะวันตกเฉียงเหนือ มีกองทัพคอยคุ้มกันอย่างหนาแน่นมาโดยตลอด ใช่ว่าเหล่าโจรผู้ร้ายจากต่างแดนจะลักลอบเข้ามาได้ง่ายๆ
“หากเมืองหลงกู่ขาดกำลังพล ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…” สวีเม่าซิวเอ่ย
เมืองหลงกู่ขาดกำลังพลได้ด้วยหรือ
“อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร” ผู้บัญชาการตะคอกเขาพลางโบกมือไล่ “ไสหัวไป ไสหัวไป”
“ใต้เท้า พวกข้าเคยอยู่ที่เมืองหลงกู่มาก่อน เมืองหลงกู่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกซุ่มโจมตีมาก่อน…” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
เสียงถกเถียงของพวกเขาดึงดูดสายตาของผู้อื่นให้มองมา
“มีเรื่องอันใดหรือ” เหล่าแม่ทัพเอ่ยถาม
สวีเม่าซิวเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าคนที่เดินมาคือท่านชายโจวหก
ทว่าท่านชายโจวหกกลับไม่ปรายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ผู้บัญชาการรีบเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะรายงานข้อมูลที่สวีเม่าซิวและฝ่านเจียงหลินบอกเล่า
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เหล่าแม่ทัพไม่เชื่อก่อนจะส่ายหน้าไปมา “พวกที่อยู่ในฟานปู้ก็มามอบตัวหมดแล้ว จะมีเหตุซุ่มโจมตีได้อย่างไร อาจจะเป็นคนออกมาล่าสัตวก็ได้”
พวกเขาอาจจะคิดมากไปจริงๆ
อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้มาเยือนที่นี่กว่าสองปีแล้ว
สวีเม่าซิวและฟานเจียงหลินสบตากัน ก่อนจะก้มหน้าแล้วคำนับลา
“อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไปดูเสียหน่อยก็แล้วกัน”
จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยขึ้น
สวีเม่าซิวเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่เอ่ยปากคือท่านชายโจวหก ทว่าสายตาของชายหนุ่มยังคงไม่มองทางพวกเขา
“ใต้เท้าทั้งสองท่านก็อยู่ด้วย ระวังตัวไว้เสียหน่อยก็ดี” เขาพูดต่อ “ไปดูสักนิดก็ไม่เสียหายอันใดนี่”
เขาเอ่ยเน้นเสียงคำว่าใต้เท้าทั้งสองอย่างหนักแน่น ตลอดการเดินทางแม้ดูผิวเผินแล้วใต้ทั้งสองก็ดูปรองดองกันดี แต่ความจริงแล้วนั้นกลับไม่ลงรอยกัน ไม่เช่นนั้นระยะทางเพียงแค่นี้คงไม่ใช้เวลานานถึงขนาดนี้
หากเรื่องนี้ถูกคนคิดร้ายแพร่งพรายออกไป จากที่ไม่มีเรื่องก็อาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้
ไม่นานหลังจากตกลงกันได้ ก็สั่งการให้สวีเม่าซิวพาคนออกไปดูลาดเลา
“ข้าไม่เห็นด้วย!”
หลิวขุยตะโกนลั่น ถลึงตามองสวี่เม่าซิว
“ใต้เท้า ทำเช่นนี้ไปก็ไร้ประโยชน์”
ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ
เหล่าแม่ทัพขมวดคิ้ว
“หากมีแผนซุ่มโจมตีอย่างที่ว่าจริง คนพวกนั้นคงออกไปไกลแล้ว ถึงจะให้ทหารขี่ม้าตามไปอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าจะตามทัน” หลิวขุยเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
ระยะทางอันยาวไกลทำให้เท้าของม้าศึกสึกหรอไปมาก พวกเขาเดินทางกันมาจนถึงวันนี้ เหล่าม้าก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงวิ่งต่อไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไล่ตามหรือว่าแซงหน้าคนพวกนั้น ไหนจะต้องรีบควบม้ากลับมารายงานผลอีก…
หากทำอย่างที่ว่าไม่ได้ ถึงจะออกไปสืบก็ไร้ความหมาย…
เหล่าแม่ทัพที่อยู่ตรงนั้นได้แต่นิ่งเงียบ
“พวกเจ้าคิดหาโอกาสหนีอีกสินะ!” หลิวขุยเอ่ยตาโพลง
สวีปั้งฉุยถุยออกมา
“แต่ม้าของพวกข้าทำเช่นนั้นได้” ทันใดนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา
ทุกคนต่างเหลียวไปมอง ก็เห็นสวีเม่าซิวและพี่น้องอีกคนหนึ่ง
“ม้าของพวกข้าทำเช่นนั้นได้” เขาเอ่ยย้ำอีกครั้ง
หลิวขุยถ่มน้ำลาย
“ม้าของพวกเจ้าต่างจากของคนอื่นหรืออย่างไร อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้ขี่ม้าคู่ด้วย” เขาเอ่ย
ยามเดินทัพออกมาจากเมืองหลวง เหล่าทหารแต่ละนายล้วนแต่มีม้าประจำตัว แม้สวีเม่าซิวและพี่น้องเจ็ดจะได้ม้าจากเฉิงเจียวเหนียงอีกเจ็ดตัว ทว่ากลับไม่ได้รับการดูแลเยี่ยงทหารม้าคู่ ออกเดินทางได้ไม่นาน ม้าประจำตัวที่ทางการจัดหาให้พวกเขาก็ถูกเรียกคืนกลับไปได้ด้วยเหตุผลข้ออ้างสารพัด
“ไม่เหมือน” สวีซื่อเกินเอ่ย คนที่พูดไม่เก่งมาโดยตลอดเช่นเขา จู่ๆ ก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น “ม้าของพวกข้าแตกต่าง เท้าของม้าพวกข้ายังคงสมบูรณ์ดี”
คำพูดของพวกเขาชวนให้คนตกตะลง
“เป็นไปได้อย่างไร” ทุกคนขมวดคิ้วถาม
ที่พวกเขาเดินทางกันอย่างเชื่องช้า ประการแรกเป็นเพราะใต้เท้าทั้งสองเหน็ดเหนื่อยจากการควบม้าทางไกล ประการที่สองเป็นเพราะฝ่าเท้าของม้าได้รับบาดเจ็บระหว่างทาง จึงต้องเคลื่อนทัพกันมาอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีทางเลือก
ม้าของทุกคนต่างบอบช้ำ แต่เหตุใดม้าของพวกเขายังคงสมบูรณ์ดี ม้าของพวกเขาเป็นม้าจากสวรรค์หรืออย่างไร
“นี่เป็นม้าที่น้องสาวมอบให้แก่พวกข้า! ม้าที่น้องสาวของพวกข้ามอบให้ ย่อมเป็นม้าชั้นดี!” สวีปั้งฉุยตะโกนลั่น
นางนี่เอง!
ท่านชายโจวหกคิดได้ในทันใด เป็นเช่นนี้นี่เอง
ตามไปกลางดึกขนาดนั้น คงไม่ได้ให้ม้าธรรมดาอย่างแน่นอน!
ทว่าม้าเหล่านั้น ม้าที่ทุกคนต่างพากันมองอย่างสงสัยใคร่รู้ ก็ดูท่าทางธรรมดานี่…
สวีซื่อเกินจูงม้าเข้ามา ก่อนจะชี้ไปที่เท้าของม้าอย่างประหม่า
“เจ้าดูม้าของพวกข้า ฝ่าเท้าไม่มีรอยสึกหรอเลยแม้แต่นิด” เขาเอ่ย
คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันล้อมเข้ามา ก่อนหน้านี้พวกเขามิได้สังเกต แต่เมื่อมองดูตามปลายนิ้วที่เขาชี้ ก็เห็นว่ามีบางสิ่งสีดำขลับห่อหุ้มฝ่าเท้าของม้าทั้งเจ็ดตัว
“นี่คืออะไร” หนึ่งในแม่ทัพเอ่ยถามขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบคลำ
เหล็กหรือนี่…
“นี่คือ…” สวีซื่อเกินอ้าปากทว่ากลับพูดไม่ออก น้องสาวไม่ได้บอกว่าเจ้าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร เช่นนั้น…ยามนี้อยู่บนเท้าม้า แล้วก็ทำจากเหล็กกล้า… เช่นนั้น..
“นี่คือเกือกม้าเหล็ก! ใช้ป้องกันมิให้เท้าม้าสึกหรอ”
“ก็แค่เหล็กไม่กี่ชิ้นนี่น่ะหรือ” มีคนถามอย่างประหลาดใจ พลางก้มตัวลงดู ก็แค่เหล็กกล้าไม่กี่ชิ้น ดูเหมือนจะตอกเขาไปใต้ฝ่าเท้าม้า นอกจากนั้นภายนอกก็ไม่ได้มีลวดลายอันใด
“ก็แค่เหล็กไม่กี่ชิ้นนั่นแล” สวีซื่อเกินพยักหน้าเอ่ย “บวกกับการทะนุถนอมของข้า ตลอดทางที่ผ่านมาม้าของข้าจึงไม่สึกหรอแม้แน่น้อย”
แม้จะเห็นด้วยตาของตัวเอง ทว่าคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ยังสงสัย
“เอาเถอะ ยามนี้จะมัวชักช้าไม่ได้ ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง ในเมื่อม้าของพวกเจ้ายังสมบูรณ์ดี ยังวิ่งเร็วได้ เช่นนั้นก็รีบไปเถิด” ท่านชายโจวหกเอ่ย
“ท่านชายโจว เรื่องนี้ไม่มีเบาะแสแน่ชัด เพียงแค่ไม่มีคนในฟานปู้แล้ว จะหยั่งรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่มีแผนร้าย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ท่านจะรับผิดชอบหรือ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เหล่าคนจากต่างแดนที่เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์นั้นได้รับการต้อนรับอย่างดีมาโดยตลอด เพื่อจะได้มั่นใจว่าแถบชายแดนนั้นสงบสุข
หากถูกตั้งข้อหาขัดขวางการอภัยโทษ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ต่างหันไปมองท่านชายโจวหก
“ข้ารับผิดชอบเอง” ท่านชายโจวหกตอบอย่างไม่ลังเล สายตายังคงไม่ยอมสบตาสวีเม่าซิวและพรรคพวกดังเดิม “ข้าเชื่อนาง”
เขาพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
เชื่อผู้ใดนะ
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพากันมองตามท่านชายโจวหก ก่อนจะหันกลับมามองสวีเม่าซิวและพรรคพวก สีหน้าของพวกเขาดูสับสน
พวกเขา…รู้จักกันหรือ
“ยังต้องพูดอีกหรือ ไม่เชื่อพวกข้า จะเชื่อผู้ใดได้อีก ว่ากันตามหลักการแล้วข้าก็เป็นพี่ชายของเจ้าด้วยซ้ำ…” สวีปั้งฉุยเอ่ยพลางฉีกยิ้มกว้าง
พี่ชายอย่างนั้นหรือ
เหล่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยินก็ยิ่งตกตะลึง
สวีเม่าซิวหันไปจ้องเขาตาเขม็ง
“เขาไม่ได้เชื่อในตัวเจ้าหรือว่าข้า” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่เชื่อนาง”
“แล้วนางคือผู้ใด” สวีปั้งฉุยถาม
“น้องสาวอย่างไรเล่า” สวีเม่าซิวถลึงตามองเขา ก่อนจะควบขึ้นม้า “รีบไปกัน”
สวีปั้งฉุยขานรับพร้อมหัวเราะเฮฮา ก่อนจะขึ้นม้าตามไป
เหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ก็คว้าธนูและอาวุธของตนแล้วขึ้นม้าไป ทว่าขณะที่สวีซื่อเกินกำลังขึ้นม้ากลับถูกคนกระชากลงมา
“ทำอะไรของเจ้า”
สวีซื่อเกินตะโกน
คนผู้นั้นควบม้าออกไปไกล
“ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า! หากคิดหนีละก็ ข้าผู้นี้จะเป็นคนยิงพวกเจ้าให้ตายเอง” หลิวขุยที่อยู่บนม้าเหลียวหลังกลับมาตะโกน พลางชูธนูสามฉือที่ห้อยอยู่บนม้าของสวีซื่อเกิน
“ช่างเถิด เหล่าซื่อ เจ้าอย่าไปเลย” สวีเม่าซิวตะโกนพลางห้ามไม่ให้เหล่าพี่น้องควบม้าตามหลิวขุยไป “มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ”
ลมราตรีโบกพัด ธงศึกปลิวไสว ควันไฟจากคบเพลิงบนกำแพงเมืองลอยล่อยตามแรงลม
“ใต้เท้า ใต้เท้า พวกท่านชายต้านทานไม่ไหวแล้วขอรับ”
ทหารหนุ่มร้องตะโกนเดินเข้ามาพร้อมคราบเลือดที่อาบไปทั่วกาย
ผู้เฒ่าอายุราวหกสิบปี หนวดเคราขาวโพลน สีหน้าเคร่งเครียด เขาสวมชุดเกราะเทอะทะบนร่าง ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ความคล่องแคล่วของเขาน้อยลงเลย
“เคยมีครั้งใดบ้างที่ลูกชายข้าต้านทานไม่ไหว” เขาตะโกนเสียงก้อง “กล้าหยามกองทัพของข้าหรือ ตัดหัวมัน!”
พอสิ้นเสียงผู้ติดตามข้างกายก็ลงดาบในทันที
ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวนของทหารผู้นั้น ศีรษะและร่างกายขาดออกจากกันก่อนจะกลิ้งไปบนพื้น
บนกำแพงเมืองเงียบสงัด
“ชักธงขึ้นและจุดไฟทั้งหมด ทุกคนรวมทั้งนายทวารด้วย ขึ้นมาบนกำแพงให้หมด” แม่ทัพเฒ่าตะโกนพลางชี้นิ้วไปยังด้านล่างของกำแพง
เสียงขานรับกึกก้องไปทั้งกำแพงเมือง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าคึกโครม ภายใต้ความมืดมิดยามราตรี ไม่นานบนกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยธงศึกตั้งตระหง่านราวกับแมกไม้ในป่า เหล่าทหารเบียดเสียดดั่งฝูงมด ราวกับว่ากำแพงเมืองหลงกู่ที่ทอดยาวออกไปนั้นมีทหารอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว
ทว่าความจริงแล้วพวกเขามีกันไม่ถึงสามพันนายเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังมีคนบาดเจ็บอีกนับร้อย แถมยังอ่อนล้าจากการสู้รบมากว่าครึ่งค่อนวัน ธนูศึกคันยักษ์สูบเรี่ยวแรงของเหล่าทหารจนมือเท้าปวดเมื่อยไปหมด ธนูที่ยิงออกไปจึงอ่อนแรงไร้กำลัง พอจะนึกภาพได้ว่าหากถูกจู่โจมอีกระลอกหนึ่ง แล้วพวกเขาต้องยิงธนูสู้รบกับฝ่ายตรงข้าม ก็คงได้ยินเพียงเสียงของลูกศรที่กระทบกับเสื้อเกราะ แต่มิใช่เสียงร้องโหยหวน