แม่ทัพเฒ่ายืนอยู่บนกำแพงเมือง ไม่สนใจทหารข้างกายที่คอยรั้งไว้ สายตาจ้องมองไปที่ป่ารกอันมืดมิด
แม้ในป่าจะเห็นแสงไฟเพียงรำไร ทว่าสายตาของแม่ทัพเฒ่านั้นมองเห็นเหล่าโจรจากต่างแดนนับหมื่นกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด ม้าของพวกมันเป็นม้าชั้นดี มีเกราะกำบังหนาแน่น ในมือมีทั้งธนูและอาวุธครบครัน สายตาของพวกนั้นราวกับเสือร้ายที่กำลังจับจ้องมาที่เมืองของเขา
“ใต้เท้า พวกเราส่งข่าวไปแล้ว เหตุใดใต้เท้าผู้ตรวจการยังไม่นำทัพกลับมาอีก…” ทหารข้างกายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังดูร้อนรนอย่างปิดไม่มิด
“คงถูกล้อมโจมตีเหมือนกัน” แม่ทัพเฒ่าเอ่ย
“ใต้เท้า หากยังไม่มีกำลังเสริมมาช่วย พวกเราต้านไม่ไหวแน่…” ทหารข้างการเอ่ยเสียงแผ่ว
แม่ทัพเฒ่าไม่ได้หันไปมองเขา ทั้งยังไม่สั่งให้ตัดหัวเสียด้วย
เขาเหลียวกลับมามองในประตูเมือง
ภายในเมืองแสงไฟสว่างไสว แม้จะมองไม่เห็นคน แต่ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่ายามนี้คนทั้งเมืองกำลังหวาดกลัวมากเพียงใด
“ต้านไม่ไหวก็ต้องต้าน” เขาเอ่ย “ก่อนที่พวกเราจะตายกันไปหมด จะไม่ยอมให้ชาวเมืองแม้แต่คนเดียวต้องเสียเลือดเสียเนื้อ”
หากเมืองแตก ทั้งแถบตะวันตกเฉียงเหนือย่อมสั่นคลอนกันไปทั่ว ไม่ใช่เพียงแค่บ้านเรือนทรัพย์สินที่สั่นคลอน แต่ยังหมายถึงจิตใจที่หวาดกลัว
แน่นอนว่าแม่ทัพเฒ่าไม่ได้เอ่ยคำเหล่านั้นออกไป
พอสิ้นเสียง ภายในป่าก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น
พวกโจรจากต่างแดนกำลังจะเริ่มโจมตีอีกครั้ง
แม่ทัพเฒ่าสีหน้าตื่นตระหนก จังหวะที่กำลังจะสั่งการนั้น ก็ได้ยินเสียงมาจากในเมือง เสียงของสัญญาณควันไฟที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
พอเห็นดังนั้น สีหน้าของเหล่าทหารก็เปลี่ยนไปในทันใด
ด้านหลังก็ถูกโจมตีหรือนี่!
แม่ทัพเฒ่ารีบสาวเท้าไปยังกำแพงเมืองอีกฝั่ง ก่อนจะมองไปทางด้านหลัง
“ใต้เท้า ทำอย่างไรดีขอรับ”
เหล่าทหารคนสนิทตะโกนเสียงหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
“กลัวอะไร! มาคนหนึ่งก็ฆ่าทิ้งเสีย มาสองคนก็ฆ่าทิ้งเสีย! ก็มาสักกี่พันกี่หมื่นก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด!”
ความหวาดหวั่นที่มวนแน่นอยู่ในช่องท้องเพราะถูกโจมตีหายไปในทันใด เขาจ้องมองความมืดมิดบนท้องฟ้า ความฮึกเหิมก็พลันลุกโชนขึ้นมา แม่ทัพเฒ่าปลดเสื้อเกราะของตัวเองออก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าปะทะกับลมหนาวยามค่ำคืน
เพราะร่างกายถูกฝึกฝนมานานหลายปี แม้แม่ทัพเฒ่าในวัยหกสิบปีจะผอมบางลงไปบ้าง ทว่ายังคงความกำยำเหมือนในวัยหนุ่ม
“รัวกลองศึก!” เขาชี้นิ้วตะโกนลั่น
ตึงตึง! ตึงตึง! ตึงตึง!
เสียงกลองดังก้องไปทั่วผืนฟ้า พร้อมกับเสียงปืน ดาบ โล่ และธนูที่ปะทะกัน
ชัยชนะ! ชัยชนะ! ชัยชนะ!
เสียงตะโกนกึกก้องบนกำแพงเมืองขจรขจายไปตามสายลมแห่งยามราตรี
ร้ายกาจดั่งอรพิษ ไม่เกรงกลัว ไม่ถอยหนี
เสียงเช่นนี้แล เสียงเช่นนี้แล เสียงดังกึกก้องที่ดังขึ้นในความฝันมานับครั้งไม่ถ้วน!
ในที่สุดก็ได้ยินแล้ว! ในที่สุดก็ได้ยินแล้ว!
สวีเม่าซิวที่หมอบอยู่บนพื้นท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดบัดนี้ดวงตาแดงก่ำ ร่างทั้งร่างสั่นเทาไปหมด ฝ่ามือจิกแน่นลงบนพื้นดิน
“พวกนั้นเริ่มบุกโจมตีเมืองแล้ว…” หลิวขุยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ทั้งหมดมองไปเบื้องหน้า ค่ำคืนนี้เหล่าคนที่หมอบซ่อนตัวอยู่หลังเนินดินริมทางเริ่มผุดโผล่ขึ้นมาราวกับสัมภเวสีที่ล่องลอย พวกคนบนกำแพงรับรู้ถึงการมาถึงของพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องปกปิดเสียงฝีเท้าอีกต่อไป คบเพลิงถูกจุดจนสว่างขึ้นอีกครั้ง พริบตาเดียวก็เหมือนดั่งทะเลดาวที่กำลังเคลื่อนทัพจากโพรงป่ามุ่งหน้าสู่ประตูเมืองด้านหลังของเมืองหลงกู่
“โธ่เว้ย…” สวีปั้งฉุยกำลังจะกระเด้งตัวขึ้น
หลิวขุยรีบคว้าตัวเขาไว้
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!” เขากดเสียงต่ำ
“เจ้าตาบอดหรือไร!” สวีปั้งฉุยเอ่ยก็ตะโกนเสียงทุ้มก่อนจะกระชากแขนของหลิวขุยอย่างแรง
“เจ้าต่างหากที่ตาบอด พวกเรามีกันแค่หกคนนะ!” หลิวขุยพ่นน้ำลายใส่หน้าสวีปั้งฉุย “ฝ่ายฝูเจียงมีคนกี่ร้อย!”
“แล้วจะมองดูพวกนั้นเข้าบุกตีเมืองอย่างนั้นหรือ” สวีปั้งฉุยตะโกน ก่อนจะพ่นน้ำลายคืนใส่หน้าหลิวขุยเช่นกัน
หลี่ขุยผลักเขาออกอย่างแรง
“ม้าของพวกเจ้าวิ่งเร็วนักมิใช่หรือ ได้เรื่องจริงหรือเปล่า เหตุใดกองทัพใหญ่ยังตามมาไม่ถึงอีก”
ลมราตรีโหมกระหน่ำ เสียงร้องโหยหวนเบื้องหน้าดังขึ้นเรื่อยๆ
“เมืองหลงกู่ต้องขาดกำลังพลเป็นแน่ จึงถูกโจมตีเช่นนี้” สวีเม่าซิวเอ่ยเสียงนิ่ง “ทหารที่เหลืออยู่คงมารวมกันที่ด่านหน้าหมดแล้ว แถมยังรบมาทั้งวันแล้ว ยามนี้พวกนั้นถึงบุกโจมตีจากข้างหลัง พวกเขาคงไม่มีกำลังพลเพียงพอจะต้านรับ…”
“เรื่องนั้นไม่บอกก็รู้!” หลิวขุยสบถด่า มองดูประตูเมืองที่บัดนี้มอดไหม้อยู่กลางกองเพลิงร้อนแรง
“จุดไฟ” สวีเม่าซิวลุกขึ้นแล้วเอ่ยออกมา “หากิ่งไม้รอบๆ หาได้เท่าไหร่ก็เอามาเท่านั้น แล้วจุดไฟให้หมด…”
ฟ่านเจียงหลินและพรรคพวกขานรับแล้วแยกย้ายออกไป
“นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร” หลิวขุยตะเบ็งเสียง “มีแค่หกคนจะแสร้งลวงได้อีกสักกี่คนเชียว จะข่มขวัญผู้ใดได้”
สวีเม่าซิวยกมือขึ้นปลดธนูลงก่อนจะมองไปเบื้องหน้า
“ได้เท่าใดก็เท่านั้น” เขาเอ่ย
เสียงกลองศึกยังคงรัวกระหน่ำ
“ฆ่ามัน!”
“ลูกเมียและชาวบ้านอยู่ในเมือง พี่น้องทั้งหลายอย่าให้พวกโจรชั่วบุกเข้ามาได้เด็ดขาด!”
พร้อมกับเสียงตะโกนนั้น เหล่าพลทหารสามสี่สิบชีวิตบนกำแพงเตรียมพร้อมตั้งรับปกป้องชาวเมือง
ห่าฝนธนูโหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง เหล่าพวกพ้องพากันล้มลงที่ละคนสองคน ธงศึกที่โบกสะบัดหักลงทีละเสา เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นไม่หยุด
ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ สินะ…
“ผู้บัญชาการ ท่านดูสิ!”
มีเสียงคนร้องตะโกนขึ้น
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เสียงตะโกนนั้นช่างบาดหูนัก
ยามนี้แล้วจะต้องดูอันใดอีก
ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้นมามองก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ แม้สิ่งต้องแลกกับการตกตะลึงนั้นคือศรธนูที่ยิงทะลุเสียบต้นแขนของทหารนายหนึ่งก็ตาม
ทว่านายทหารผู้นั้นกลับดูไม่เจ็บปวดเลยสักนิด ทว่ากลับมุ่งหน้าวิ่งออกจากกำแพงเมือง สายตาทอดมองออกไปไกล
ไกลออกไปเหมือนมีกลุ่มดวงไฟผุดขึ้นราวกับดวงวิญญาณที่ล่องลอย กวาดสายตามองน่าจะมีนับหลายสิบดวงได้ แสงไฟวูบไหวนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
“กำลังเสริมมาแล้ว กำลังเสริมมาแล้ว!”
เหล่าทหารบนกำแพงขนลุกเกลียวไปทั้งร่าง ก่อนจะพากันตะโกนสุดเสียง
เสียงนั้นราวกับกำลังต้อนรับพวกเขา เสียงคึกโครมของฝีเท้าม้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แม้จะดูจำนวนไม่มากนัก แต่คาดว่าคงเป็นเพียงทหารทัพหน้าที่มาถึงก่อน
“โธ่เว้ย ชีวิตข้าไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อน!” หลิวขุยตะโกนลั่นขณะควบม้า พร้อมกับกิ่งไม้ที่ลากมาด้านหลัง กิ่งไม้เหล่านั้นถูกจุดไฟจนสว่างไปทั่วพื้น
“ขายหน้ารึ” ไกลออกไปไม่มากนักก็มีเสียงของสวีเม่าซิวตะโกนออกมา พร้อมกับง้างธนูในมือ “เช่นนี้เรียกว่าขายหน้าหรือ หากประเดี๋ยวเจ้าด่วนตายไปเสียก่อน หรือไม่ก็ฆ่าศัตรูไม่ได้สักคนต่างหาก เช่นนั้นถึงจะเรียกว่าขายหน้า”
ศรธนูในมือของเขาถูกยิงออกไปพร้อมกันขณะพูด ธนูดอกแล้วดอกเล่าถูกยิงออกไปยังฝ่ายศัตรูไม่หยุดหย่อน
ภายใต้แสงของเปลวไฟสายธนูของสวีเม่าซิวสั่นไหวราวกับภาพที่พร่ามัว ปลายธนูอันแหลมคมทะลุผ่านความเวิ้งว้างตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนไม่ขาดสาย
หากยืนอยู่ข้างหน้าเขา คงจะมองเห็นเหมือนดั่งพายุธนูที่โหมกระหน่ำ ทว่าทั้งหมดนี้ถูกยิงออกมาโดยเพียงคนคนเดียว
สำนวนที่ว่าหนึ่งคนเก่งเท่ากับแรงสิบคน คงจะความหมายประมาณนี้กระมัง
“เจ้าหมอนี่ ฝีมือธนูไม่เลวนี่!” หลิวขุยเอ่ยขึ้น พลางง้างธนูขึ้นยิงด้วยเพราะกลัวน้อยหน้า
กองกำลังจากฟานปู้ที่บุกโจมตีจากด้านหลังไม่ได้สวมเสื้อเกราะหนาแน่น ศรจากธนูสามฉือคันยักษ์ในมือของสวีเม่าซิวและพรรคพวกจึงแทงทะลุเกราะเนื้อบางของฝั่งตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย ผนวกกับทำเลกำบังอันเหมาะเจาะ ไม่นานเหล่าศัตรูที่อยู่หน้าประตูเมืองก็ราบเป็นหน้ากลอง
ศพนอนเกลื่อนเต็มพื้น การบุกโจมตีนั้นย่อมทำให้ใจคนหวาดกลัวอยู่แล้ว แต่ฝ่ายที่บุกโจมตีกลับถูกซุ่มโจมตีเสียเองยิ่งเสียขวัญยิ่งกว่า
กองกำลังของเหล่าโจรโกลาหล บวกกับพลังอันฮึกเหิมของเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันบนกำแพง ด้านหน้าบุกโจมตี ด้านหลังมีห่าฝนธนู ไกลออกไปยังมีแสงไฟที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อีก กองกำลังศัตรูกว่าสามร้อยชีวิตที่เดิมทียืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ บัดนี้กลับกลายเป็นโกลาหลวุ่นวายไปหมด
ไม่นานข่าวก็ถูกส่งมาถึงประตูหน้า
“กำลังเสริมมาแล้ว กำลังเสริมมาถึงแล้ว! ประตูหลังปลอดภัยแล้ว ประตูหลังปลอดภัยแล้ว!”
ทหารส่งข่าวตะโกนโห่ร้องบอกข่าวแก่ทุกคน
กำลังเสริมมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ
ท่อนบนเปลือยเปล่า แววตาของแม่ทัพเฒ่าที่เหงื่อโทรมกายท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนก็ไหววูบขึ้นมา ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ด้ามกลองศึกในมือรัวแรงยิ่งขึ้น ข่าวที่ได้รับและเสียงกลองศึกสร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าทหาร จากที่หางลู่หูตกก็กลับมายืดอกผงาดขึ้นอีกครั้ง
เหล่าทหารบนกำแพงเมืองกลับมารวมกำลังเพื่อต่อสู้อีกครั้ง ปืนและดาบเล็งไปที่เหล่าศัตรูที่ปีนขึ้นมาบนกำแพง เหล่าพลธนูที่อยู่ด้านหลังก็ประจำที่แล้วง้างธนูขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนโหมกระหน่ำพายุธนูออกไป
เหล่าศัตรูที่บุกขึ้นมาบนกำแพงพากันล่าถอย เพราะไม่อาจทำลายปราการด่านสุดท้ายของเมืองได้ ศึกครั้งนี้จึงยืดเยื้อออกไป
ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว ท่อนแขนของแม่ทัพเฒ่าชาดิกจนไร้ความรู้สึก สายตาของเขาจ้องมองไปเบื้องหน้า ทว่าในใจกลับกังวลอยู่ที่ประตูเมืองด้านหลัง
กำลังเสริมเล่า
กำลังเสริมเล่า
เหตุใดถึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดอีก
หรือว่าความจริงแล้วไม่มีทหารกองหนุนแต่อย่างใด…
คราวนี้เมืองจะแตกจริงๆ แล้วหรือ…
ใบหน้าของแม่ทัพเฒ่าเต็มไปด้วยหยดน้ำ ไม่รู้ว่าคือหยาดเหงื่อหรือหยดน้ำตา ทหารรอบกายก็ล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนที่โบกธงศึกยังต้องลงไปร่วมสู้
ชัยชนะ!
ชัยชนะ!
ราวกับมีเสียงโห่ร้องดังมาจากขอบฟ้า พร้อมกับเสียงโห่ร้องนั้นก็เหมือนเสียงฝีเท้าของม้านับหมื่นกำลังควบเข้ามา
“กำลังเสริมมาแล้ว! กำลังเสริมมาแล้ว!”
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับแตกต่างออกไป ทหารส่งข่าวยกนิ้วชี้ไปข้างหน้า
ไกลออกไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด มีแสงไฟสว่างเจิดจ้าไปทั่วแผ่นฟ้า
ชัยชนะ! ชัยชนะ!
เสียงโห่ร้อง เสียงกลองศึกยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ประสานกับเสียงกลองต้อนรับจนกึกก้องไปทั่ว
ในที่สุดกองกำลังศัตรูก็ส่งสัญญาณถอนกำลัง เหล่าโจรจากต่างแดนถอยทัพราวกับสายน้ำพัดผ่าน
ถอยทัพแล้ว! ถอยทัพแล้ว! ปลอดภัยแล้ว! ปลอดภัยแล้ว! ข้าจูเหล่าชีผู้นี้ เป็นทหารมานับสี่สิบปี จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยเสียสัตย์คำปฏิญาณ
แม่ทัพเฒ่าฝืนต่อไปไม่ไหว ทั้งร่างล้มลงบนกลองศึก
โชคดีนัก! โชคดีนัก!
…
เขาหยุดอยู่หน้าประตูเมืองหลงกู่ มองเห็นกองไฟที่ลุกโชนและศพที่นอนเกลื่อนพื้น ท่านชายโจว หกหยุดม้าลงในทันใด ใบหน้าของชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีภายใต้แสงจากคบเพลิงนั้นราวกับกำลังอยู่ในความฝัน
ภาพราวกับขุมนรกเบื้องหน้า กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว คือสิ่งไม่อาจประสบได้จากสนามฝึกซ้อม
ที่นี่คือหน้าด่าน ที่นี่คือสนามรบ นี่คือการเข็ญฆ่า นี่คือชะตาชีวิตของเหล่าทหารไม่ว่าจะยศใด!
ท่านชายโจวหกร้องคำรามออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะง้างธนูในมือแล้วยิงขึ้นบนฟ้า
“ผู้ใดช่วยพวกข้าไว้”
ประตูเมืองถูกเปิดออก เหล่าทหารและชาวเมืองออกมาต้อนรับอย่างตื่นเต้น พร้อมกับเสียงแหบพร่าของแม่ทัพเฒ่าที่ตะโกนอย่างฮึกเหิม
ท่านชายหนุ่มน้อยชะงักไปครู่หนึ่ง
ผู้ใดช่วยพวกเขาไว้กัน
แน่นอนว่าพวกเขาคือเหล่าทหารนับร้อยที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ พวกเขาคือทหารที่รัวกลองศึกและจุดคบเพลิงเคลื่อนกองร้อยมาถึงที่นี่
แต่ทว่าทัพทหารนี้มาที่นี่ได้อย่างไรกัน
เดิมทียามนี้พวกเขาคงอยู่ห่างออกไปนับสิบลี้ คงกำลังล้อมกองไฟดื่มสุรายาเมารอคนจากตระกูลเฉิงในวันพรุ่ง
ทว่าคนที่ช่วยปกป้องเมืองแห่งนี้…
หากสืบสาวราวเรื่องกันจริงๆ แล้ว ก็คงเป็นเหล่าม้าทั้งเจ็ดที่สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วบนทางไกลเช่นนี้
ม้าเจ็ดตัว ไม่ใช่ ยามนี้เหลือเพียงห้าตัวเสียแล้ว เพราะม้าอีกสองตัวที่รีบกลับมาบอกข่าวให้ส่งกองหนุน ตัวหนึ่งเหนื่อยตายไปกลางทาง อีกตัวหนึ่งก็ล้มตายลงยามมาถึงที่ค่าย…
หากไม่มีม้าเหล่านั้น…
หากไม่มีม้าเร็วเหล่านั้นไล่ตามจนรู้ว่าพวกคนฟานปู้ทรยศตลบหลัง หากไม่มีม้าเร็วเหล่านั้นกลับมาส่งข่าว เรื่องทั้งหมดนี้คงไม่อาจเกิดขึ้นได้
“ม้าช่วยพวกเจ้าไว้…” ท่านชายโจวหกเอ่ยพึมพำ
เพราะเสียงโห่ร้องดีใจในตอนนั้นทำให้ไม่ผู้ใดได้ยินเสียงเขา
ท่านชายโจวหกเหลียวไปมองขอบฟ้าทางทิศตะวันออก
ม้าเจ็ดตัว… ได้ช่วยปกป้องเมืองแห่งนี้ไว้…
หญิงผู้นั้น ยามที่นางมอบม้าให้ นางคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ได้เชียวหรือ…