แสงตะวันยามเช้าเจิดจ้า เขม่าควันปืนหลังสงครามยังจางหายไปไม่หมด แต่ทั่วทั้งในและนอกเมืองต่างเก็บกวาดกันจวนจะเสร็จแล้ว

เมื่อคืนนอกจากพวกเขาที่รีบตามมาแล้ว กองทัพใหญ่ที่นำทัพไปไล่โจมตีโจรตะวันตกด้วยกลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำก็กลับมากันแล้ว ทหารทั้งหมดไม่หลับไม่นอนกันทั้งคืนเพราะต่างพากันทำความสะอาดเก็บกวาดศีรษะเชลยที่อยู่ในสนามรบ ให้เหล่าแม่ทัพได้ปรึกษาหารือกันเรื่องสงครามในครานี้

ขณะที่ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ทหารลาดตระเวนซีเป่ยกับรองนายพลทหารม้าที่ถูกคุ้มกันอยู่ด้านหลังก็ต่างรีบร้อนมาเพื่อเลี่ยงอันตราย ทว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหล่าขุนนางทหารระดับสูงต้องเป็นผู้รับหน้า

หลังจากจบเรื่องยุ่งๆ ลงแล้ว สวีเม่าซิวกับพี่น้องคนอื่นๆ ถูกจัดให้พักผ่อนกันอยู่ในกระโจม

น้ำร้อนถูกเทลงถังไม้ขนาดใหญ่ บ่าวรับใช้สองนายพากันยกเข้าห้องมา

“ท่านทหาร น้ำใช้ได้แล้ว ไปอาบเถิด” พวกเขาค้อมตัวพยักเพยิดหน้าเอ่ย

สวีเม่าซิวพยักหน้าพลางหยิบเงินพวงหนึ่งโยนให้พวกเขา

สองคนนั้นรับเอาไว้ด้วยความปรีดาแล้วพากันขอบคุณยกใหญ่

เมื่อคืนทหารฉกรรจ์เหล่านี้มีปืนหนึ่งกระบอกกับม้าหนึ่งตัวบุกฝ่าเข้าไปในดงทหารนับร้อยด้วยแรงราวกับคนห้าคน เพื่อช่วยพวกเขาถ่วงเวลาและทำให้พวกโจรตะวันตกตกใจ ช่างสมกับชายอกสามศอกในสายตาของพวกเขาอย่างยิ่ง

สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ ชายฉกรรจ์เหล่านี้มีเงินติดตัวจำนวนมากอีกด้วย

เสียงของสวีปั้งฉุยดังขึ้นมาจากด้านนอก

“ยังมีน้ำร้อนอีกหรือไม่ น้ำร้อนมีหรือไม่”

บ่าวรับใช้ทั้งสองรีบแย่งกันออกไป แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะถูกบ่าวรับใช้อีกคนชิงตัดหน้าไปเสียก่อนแล้ว

“โธ่เว้ย พวกเจ้ารู้จักกฎรู้จักเกณฑ์กันบ้างหรือไม่ งานนี้ให้พี่น้องของพวกข้าทำ” สองคนนั้นไม่ทำแล้ว เอ่ยอย่างโหดเหี้ยม

บ่าวรับใช้อีกสองคนก็ไม่ใช่คนใจบุญศุลทานอะไร โดยเฉพาะยามเห็นกะละมังเนื้อชามใหญ่อยู่ตรงหน้า ได้ยินเข้าก็ส่งเสียงถุยออกมา

“ของพวกเจ้าหรือ เหตุใดตอนมีงานการเมื่อก่อนจึงไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาพวกเจ้า” พวกเขาเอ่ยถาม

สวีปั้งฉุยเห็นคนจะตีกันก็ทุบกระเป๋าเงินในมืออย่างไม่สบอารมณ์

“รีบหน่อยได้หรือไม่ ทะเลาะกันอยู่ได้ พวกข้ารออาบน้ำกันอยู่!”

ทั้งสี่คนจึงลามือแล้วมารับใช้บรรดานายท่านเหล่านี้ก่อนค่อยว่ากันใหม่

“แปลกนัก ดูๆ แล้วคนพวกนี้เหมือนทหารยาจก นึกไม่ถึงว่าจะร่ำรวยเช่นนี้…”

“มีเงินแล้วยังจะมาเป็นทหารอันใดอีก! แปลกประหลาดนัก!”

ทุกคนกระซิบวิพากษ์วิจารณ์พลางเดินออกไป

ขณะที่ยกน้ำร้อนเข้ามานั้น สวีปั้งฉุยก็กำลังนั่งพึงพอใจกับความอิจฉาขอเหล่าทหารคนอื่นอยู่ด้านนอก

“ไม่ใช่สตรีเสียหน่อย มาอาบน้ำอันใดกัน…” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความหมั่นไส้

“ไอ้หยา อาบที่บ้านจนชินเสียแล้ว พอออกมาข้างนอกเช่นนี้จึงแก้ไม่ได้” สวีปั้งฉุยเงยหน้าหัวเราะเอ่ยตอบ

“เจ้าคือสวีปั้งฉุยที่อยู่สังกัดป้อมปราการจย้าสือไม่ใช่หรือ”

ทันใดนั้น หนึ่งในบรรดาทหารที่ห้อมล้อมอยู่ก็ตะโกนขึ้น

สวีปั้งฉุยเบิกตาโพรงหันไปมอง เป็นคนรู้จักจริงๆ ด้วย

“ปั้งฉุย พวกเจ้าหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ” คนรู้จักคนนั้นตะโกนถาม

คำว่าหนีคำนี้ สวีปั้งฉุยไม่อยากฟังอย่างยิ่ง

“พวกเราไปร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมที่เมืองหลวงมาแล้ว ราชสำนักกลับคำพิพากษา ซ้ำยังออกมาประกาศมาตั้งนานแล้วด้วย” เขาบอก

คนรู้จักผู้นั้นก็เข้ามาล้อม พินิจมองสวีปั้งฉุยด้วยความตกใจ

“เพิ่งจะได้ยินมาว่าที่นี่มีนายทหารผู้ร่ำรวยอยู่นายหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้าเองหรือนี่ ปั้งฉุย พวกเจ้ามีเงินมีทองร่ำรวยแล้วหรือ” เขาเอ่ยถาม

สวีปั้งฉุยกำลังจะเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนรีบวิ่งเข้าไป แต่เห็นหลิวขุยแก้ผ้าล่อนจ้อนลงไปแช่ในถังไม้ใบใหญ่กำลังหลับตาลงอย่างสบายตัว

“…ไอ้หน้าเหม็นนี่ไสหัวออกไป…”

ภายในห้องโถงด้านหลังศาลาว่าการ เหล่าขุนนางทหารแต่ละสังกัดอยู่กันครบทุกนาย การหารือขั้นต้นเรื่องจัดสรรรางวัลก็ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย รายงานชัยชนะก็ได้พิจารณากันถึงสามรอบจึงได้มติเอกฉันท์ออกมา ดังนั้นเหล่าทหารจึงชูรายงานชัยชนะควบม้าออกจากโถงศาลาว่าการแล้วประกาศชัยชนะไปถ้วนทั่ว

ภายในเรือนที่ว่าการ ทหารชั้นผู้น้อยที่ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้านในต่างพูดคุยยืนรอกันอยู่หน้าประตู

ท่านชายโจวหกก็รวมอยู่ในนั้น และกำลังถูกผู้คนห้อมล้อมเอาไว้

“เด็กดี ยอดเยี่ยมนัก เพิ่งจะเข้าทัพมาก็ได้เป็นทัพหน้า สมกับที่เป็นทายาทตระกูลโจวของเราเสียจริง” ทหารมากอายุหน้าตาดำคล้ำนายหนึ่งยิ้มกว้างเอ่ยขึ้นพลางยื่นมือไปตบไหล่ของท่านชายโจวหก

“ท่านลุงถังกล่าวชมเกินไปแล้วขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ข้าไม่ได้ช่วยอันใดมาก พอศัตรูมาก็ถอยไปแล้ว”

“อย่าได้พูดเช่นนี้ กล้าที่จะมาก็นับว่ากล้าหาญแล้ว” ท่านลุงโจวถังยิ้มเอ่ย “มิฉะนั้นเจ้าก็คงได้คุ้มกันอยู่ด้านหลังเพื่อส่งใต้เท้าโจวแล้ว”

“ลุงคิดว่าเจ้าถูกพวกลุงๆ ที่เมืองหลวงเลี้ยงให้กลายเป็นแกะขาวตัวน้อยไปเสียแล้ว ที่แท้ก็ยังเป็นเสือน้อยอยู่” พวกผู้ใหญ่ตระกูลเดียวกันคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะเอ่ยออกมา

หลังจากสงครามใหญ่จบลง บรรยากาศชื่นมื่นของพวกผู้ชนะที่เหลือรอดต่างแผ่ไปถึงท่านชายโจวหก นี่คือรสชาติที่ปะปนกันของความโหดร้ายและยินดีปรีดาที่ในเมืองหลวง ในสำนักศึกษา และในห้วงฝันไม่มีทางได้สัมผัสถึง

ขณะที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มนายพลเดินออกมาจากภายในโถง ทุกคนต่างรีบยืนต้อนรับ

“เหล่าโจว” บุรุษผู้หนึ่งตะโกนเรียกขึ้นเสียงดังพลางเข้ามาทักทายท่านลุงโจวถัง

“นี่คือผู้บัญชาการทหารประจำเมืองหลงกู่ กัวสี่เฟิ่ง” ท่านลุงโจวถังกระซิบบอกท่านชายโจวหกพลางยืนตรงประสานมือคาราวะ “กัวตูเจียน[1]!”

กัวตูเจียนก้าวยาวๆ เข้ามา สายตาตกอยู่ที่ท่านชายโจวหก

“นี่คือวีรบุรุษหนึ่งในสามร้อยคนนั้นของเมื่อคืนหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ยังเด็กอยู่แท้ๆ ตระกูลโจวของพวกเจ้ารีบร้อนเกินไปหน่อยแล้ว ส่งเด็กอายุเพียงแค่นี้เข้ามาได้”

“เรียนตูเจียน แม้อายุยังน้อย แต่จิตใจที่อยากเข่นฆ่าศัตรูเพื่อแทนคุณแผ่นดินนั้นไม่น้อยเลยขอรับ” ท่านชายโจวหกยืดอกเอ่ยตอบเสียงดัง

กัวตูเจียนหัวเราะออกมายกใหญ่ ยื่นมือไปตบอกท่านชายโจวหก

“เด็กดี มีความตั้งใจดี อย่างกับวัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น” เขาหัวเราะเอ่ย

คนที่อยู่ด้านหลังต่างพากันหัวเราะออกมา

“ได้ยินว่าตอนที่ส่งหน่วยสอดแนมออกไปวันนั้น เป็นท่านชายโจวหกที่เสนอความคิดนี้ ซ้ำยังบอกอีกว่าหากเกิดอะไรขึ้นตัวเองจะรับผิดชอบเองอีกด้วยหรือ” มีคนเอ่ยถามขึ้น

แม้ความจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่การจะยอมรับกลับมิอาจยอมรับไปตรงๆ ทั้งอย่างนั้นได้

ท่านลุงโจวถังกำลังจะขยิบตาส่งสัญญาณให้ท่านชายโจวหก แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่กล้า เป็นใต้เท้าโจวกับใต้เท้าเจียงที่สายตาเฉียบแหลมอนุญาตให้ดำเนินการแล้วรับผิดชอบผลที่จะตามมา” เขายืนตัวตรงเอ่ยขึ้นเสียงดัง “พวกเราจึงได้กล้าเสี่ยงลองดูขอรับ”

ท่านลุงโจวถังถอนใจแล้วหัวเราะออกมา

คนในที่นั้นก็ต่างพากันหัวเราะตาม พยักหน้ายกย่องไปตามๆ กัน

ในเมื่อเอ่ยถึงคนของตระกูลโจว เหล่าพี่น้องตระกูลโจวที่อยู่ในกองทัพมีอยู่มากมาย ซ้ำยังห้าวหาญชาญชัย ทุกคนล้วนเกรงอกเกรงใจพวกเขา มีจำนวนคนไม่น้อยที่พูดถึงเรื่องคืนนั้น ชื่นชมใต้เท้าโจวและใต้เท้าเจียงที่วางแผนในกระโจม แต่ตัดสินชัยได้ไกลพันลี้ ชื่นชมความกล้าหาญของทหารสามร้อยนาย แล้วสั่งให้ท่านชายโจวหกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืนก่อนที่ตามไปช่วยเสริมกำลังอย่างไร

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้พวกเขาได้ฟังมาแล้วรอบหนึ่ง ยามนี้ที่ให้เล่าเพราะจะให้โอกาสท่านชายโจวหก ให้ทุกคนจดจำโอกาสนี้ของเขาไว้

สีหน้าท่านชายโจวหกปรากฏความลังเลอยู่เล็กน้อย

“ไม่เป็นไร เล่ามาเถอะ” ท่านลุงโจวถังกระซิบบอก นึกว่าเขากลัวว่าจะพูดตรงไหนได้ไม่ดีทำให้นายทหารชั้นสูงไม่พอใจ “เล่าแค่ว่าเจ้าทำเช่นไรก็พอ”

นี่เป็นโอกาสที่ทุกคนให้แก่เขา แน่นอนว่าต้องพูดถึงตัวเองเป็นสำคัญ

โอกาสเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครจะได้มาง่ายๆ มองดูเหล่าทหารคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ แววตาต่างปกปิดความอิจฉาเอาไว้ไม่มิด

ท่านชายโจวหกเงยหน้าขึ้นราวกับตัดสินใจได้แล้ว

“อันที่จริงเรื่องนี้แรกเริ่มคือโชคชะตา หากไม่ได้ความละเอียดรอบคอบจากหน่วยสอดแนม รวมถึงม้าหลายตัวที่สามารถควบแล่นได้ว่องไว…” เขาเอ่ย

โชคหรือ ไม่ใช่ว่าควรจะกล่าวถึงสายตาเฉียบแหลมของใต้เท้าหรือ

ซ้ำยังมีม้าอีก ไม่ใช่ว่าเพราะคนห้าวหาญหรอกหรือ นี่มันเกี่ยวอันใดกับม้ากัน

เป็นคราแรกสำหรับการกล่าวเช่นนี้ คนในที่นั้นต่างพากันตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง ทำเอาทุกคนแปลกใจในการบรรยายของชายหนุ่มคนนี้

ในตอนที่ผู้คนต่างกรูกันเข้ามาในกระโจมนั้น สวีเม่าซิวและพวกพี่น้องคนอื่นๆ ก็อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อย น้ำร้อนได้ขจัดความเหนื่อยล้าจากการทำสงครามข้ามวันข้ามคืนออกไปจนหมดสิ้น พอเปลี่ยนชุดทหารเสร็จก็ยืนขึ้นพูดคุยกับคนรู้จัก

“พี่ใหญ่สวี พวกเจ้าเปลี่ยนไปกันมาก…” คนรู้จักคนนั้นพินิจมองพวกเขาแล้วเอ่ยออกมา จากนั้นจึงหันไปมองพวกคนรับใช้ที่ปกติเกียจคร้านไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรก็ไม่ยอมขยับ แต่ในยามนี้กลับเก็บถังไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เพิ่งจะครึ่งค่อนวันเท่านั้น ข่าวคราวของทหารที่นี่ที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยก็แพร่สะพัดขึ้นท่ามกลางเหล่าบ่าวรับใช้ด้วยกัน

การโยกย้ายคนรับใช้ของเหล่าขุนนางทหารเป็นกฎของราชสำนัก แต่เหล่าทหารที่อยากจะโยกย้ายคนรับใช้ก็ต้องอาศัยผลประโยชน์เข้าว่าแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าคืนวันในอนาคตของสวีเม่าซิวกับเหล่าพี่น้องต้องสุขสบายแน่นอน

“พวกเจ้าไปร่ำรวยเงินทองกันอยู่ที่เมืองหลวงจริงหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้ “แล้วจะกลับมาเป็นทหารเสี่ยงชีวิตเช่นนี้อีกทำไมกัน”

สวีเม่าซิวยิ้มพลางส่ายหน้า

“เปล่า” เขาปฏิเสธ

กำลังจะเอ่ยต่อก็มีคนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาจากด้านนอก

“ผู้กล้าพวกนั้นที่ใช้แรงคนเดียวเอาชนะคนนับร้อยเหล่านั้นเล่า” ขุนนางที่อยู่หน้าสุดตะโกนถามขึ้น “ยืนขึ้นมาให้ข้าได้ดูหน่อย!”

“เป็นรองผู้บัญชาการ”

ทหารที่อยู่ที่นั่นต่างพากันเอ่ยเสียงเบาแล้วรีบหลบฉากไป

สวีเม่าซิวกับบรรดาพี่น้องรีบค้อมตัวคำนับอย่างไม่รอช้า สวีปั้งฉุยที่ตีไหล่หลิวขุยที่เพิ่งจะเริ่มอาบน้ำกระทั่งไม่ทันจะได้เช็ดตัวให้แห้งดีก็วุ่นวายสวมเสื้อผ้าวิ่งออกมา

รองผู้บัญชาการทหารประจำเมืองหลงกู่กวาดตามองไล่ดูทีละคน

“ดี ทำได้ไม่เลว เป็นบุรุษยอดเยี่ยมแห่งกองทัพเป่ยหรงของข้า” เขาเอ่ยขึ้นเสียงดัง

บุรุษยอดเยี่ยมแห่งกองทัพเป่ยหรง!

พวกเขาเป็นบุรุษยอดเยี่ยมแห่งกองทัพเป่ยหรง!

ไม่ใช่ทหารเลวหนีทัพแล้ว! ไม่ใช่ทหารเลวหนีทัพอีกต่อไปแล้ว!

สวีเม่าซิวกับพวกพี่น้องตื่นเต้นยินดียิ่ง

“สังหารศัตรูแทนคุณแผ่นดิน เป็นเรื่องที่สมควรทำ” พวกเขาเอ่ยขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“จริงสิ แล้วม้าของพวกเจ้าเล่า” รองแม่ทัพเอ่ยถามให้กำลังใจจบก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ได้ยินว่าวิ่งถึงพันลี้ก็ยังสามารถวิ่งได้เร็วอยู่หรือ”

……………………………………

[1] ตูเจียน ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารประจำเมืองนั้นๆ