ขณะที่สวีเม่าซิวพาคนเข้ามานั้น สวีซื่อเกินก็ยังอยู่แต่ในกระโจมม้าเหมือนวันที่ผ่านมา สีหน้ามืดมนราวกับกำลังโต้เถียงกับใครอยู่
เพราะไม่มีม้าแล้ว เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมในกองกำลังเสริม แต่ไปติดตามท่านชายโจวหกกับคนอื่นๆ จนฟ้าสางแล้วจึงมาถึง
“ใต้เท้า ข้าขอร้องท่านล่ะ เอาม้าที่ตายสองตัวนั้นกลับมาหรือฝังไว้เถอะ…” เขาจับทหารชั้นผู้น้อยไว้แล้วเอ่ยขอร้อง
“ข้ารู้ดีว่าเจ้ารักม้ายิ่งกว่าชีวิต แต่ นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะนำศพม้ากลับมา วิ่งตามรถมาหลายสิบลี้ ก็เพื่อมาลากศพสองศพนี้หรือไม่ก็หัวม้ากลับมา ถึงเราจะตายแล้ว ก็เป็นเพียงไฟกองหนึ่งบนพื้นเท่านั้น ม้าของเจ้ามีค่ากว่าคนอีกหรือ” นายทหารชั้นผู้น้อยเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว
“แน่นอนว่ามีค่า มีค่าอย่างมาก นั่นเป็นน้องสาวข้า…” สวีซื่อเกินพยักหน้าเอ่ย
เห็นคนพวกนั้นเดินเข้ามา นายทหารชั้นผู้น้อยก็ผลักเขาออกแล้วรีบเข้าไปรับหน้า พอรู้เจตนาที่มาก็ตกใจอยู่บ้าง แม้ครานี้ม้าพวกนั้นมีผลงานไม่น้อย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าท่านรองผู้บัญชาการทหารจะมาดูด้วยตัวเอง
หรือม้าพวกนี้จะมีค่าจริงๆ
“มาจากเมืองหลวงจริงหรือ” ท่านรองแม่ทัพย่อกายมองม้าตัวหนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้น
ได้พักผ่อนหนึ่งคืน ม้าที่เหนื่อยล้าก็ท่าทางกระปรี้กระเป่ากันขึ้นมาบ้าง พอถูกคนดึงเกือกมาดู ก็ร้องขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ท่านรองแม่ทัพมองไปพลางถามว่าถนนที่เดินทางมาเป็นถนนใด เดินทางมากี่ลี้ อะไรเทือกๆ นั้น สวีซื่อเกินก็ตอบทุกคำถามไปอย่างตั้งใจ
รองแม่ทัพฟังจบก็ตกตะลึง ท่าทางไม่อยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อย
“นึกไม่ถึงว่าจะลดการสึกลงได้…” เขาเอ่ยขึ้น “ใช้แค่เหล็กไม่กี่แผ่นนี้หรือ”
เขาเพิ่งจะถามจบก็มีคนเอ่ยต่อขึ้นมาว่า
“ให้ข้าดูหน่อย!”
เสียงแก่ชราปนแหบดังขึ้น
ทุกคนต่างหลีกทางให้ ทันใดนั้นก็ตกอกตกใจ
“ใต้เท้าเฒ่าจู!”
ผู้มาใหม่คือแม่ทัพเฒ่าจูซื่อที่รักษาเมืองหลงกู่ไม่ให้แตก วันนั้นเขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถูกตูเจียนสั่งให้คนหามเขาไปพัก นึกไม่ถึงว่ายามนี้จะถูกคนพยุงเดินเข้ามา
แม้ว่าตำแหน่งจะสูงอยู่บ้าง แต่รองตูเจียนเคารพนบนอบกับแม่ทัพเฒ่ามากประสบการณ์ท่านนี้อย่างมาก ถึงกับไปช่วยพยุงด้วยตัวเอง
“ท่านใต้เท้า เหตุใดท่านจึงมาด้วยได้เล่า”
ใต้เท้าจูไม่ตอบคำ จับคนที่พยุงเดินไปหยุดตรงหน้าม้าทันที เขาผลักคนพยุงออก นั่งยองๆ กับพื้นจ้องมองเกือกม้า
“ที่แท้…ที่แท้…นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงเลย…”
เขามองพลางพึมพำไป ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มราวกับอ่อนแรงจนจะล้มลง
ทุกคนต่างรีบเข้าไปพยุง แต่ก็เห็นแม่ทัพเฒ่าผู้นี้หมอบลงกับพื้นแล้ว
“อาวุธเทพจากสวรรค์ อาวุธเทพจากสวรรค์ ม้าตระกูลฮั่นของข้าก็ไม่กลัวว่าจะเลี้ยงยากแล้ว!” เขาหมอบลงกับพื้นคร่ำครวญ
ผู้คนรอบข้างต่างมึนงงกับการกระทำของเขา
ใต้เท้าเฒ่าจูลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เป็นใคร เป็นใคร” เขาละล่ำละลักเอ่ยถาม
แม้ว่าจะพูดไม่ค่อยชัดเจน แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาถามว่าอะไร ทันใดนั้นมีคนผลักสวีซื่อเกินที่โดนเบียดจนอยู่หลังสุดเข้าไป
“เจ้า!” ใต้เท้าเฒ่าจูเดินโซเซเข้าไปหาสวีซื่อเกิน จับไหล่เขาไว้อย่างแรง
แม้เขาจะแก่ชรา แต่การเข่นฆ่าตลอดสี่สิบปีฝังลึกถึงกระดูก สวีซื่อเกินที่อ่อนเยาว์จึงไม่กล้ามองสบตากับเขาตรงๆ
“เจ้า จะเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพซีเป่ยของเรา!” ใต้เท้าเฒ่าจูเขย่าไหล่สวีซื่อเกินอย่างแรงพลางตะโกนขึ้น
จะเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพซีเป่ยของเรา…
จะเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพซีเป่ยของเรา!
สวีซื่อเกินมึนงงไปหมด คนรอบข้างก็มึนงงเช่นกัน
“…มีเกือกพวกนี้…เกือกอะไรนะ…เกือกม้าเหล็ก…ก็จะไม่ต้องสูญเสียทหารม้าของเราไปมากเช่นนั้นแล้ว…”
“…สูญเสียน้อยลงก็จะได้อุปกรณ์เสริมที่มากขึ้น…”
“…ยามนี้ทหารรักษาชายแดนก็เพิ่มมาแล้ว ทหารม้าทั้งหมดไม่ถึงห้าพัน…ต่อไปต้องถึงหมื่นแน่…”
“…ทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย! ทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย! เด็กๆ ทั้งหลาย เราไปกำราบโจรชายแดนให้ราบคาบได้แล้ว! ไม่ชนะไม่กลับ!”
“…แล้วม้าที่ตายระหว่างทางนั่นทิ้งไปแล้วหรือ ทิ้งได้อย่างไร ไปเอากลับมา เอากลับมา แน่นอนว่ามีค่า แม้ต่อไปจะเลี่ยงพวกโจรตะวันตกมาเลียนแบบไม่ได้ แต่นำหน้าอยู่วันหนึ่งเราก็จะแข็งแกร่งกว่าวันหนึ่ง…”
“…อ้อใช่ๆ ข้าจะไปรายงานท่านตูเจียน ท่านผู้ตรวจการ ท่านรองผู้บัญชาการทหารม้า…”
ได้ฟังคำของใต้เท้าจู ผู้คนรอบด้านต่างเร่งรีบกันขึ้นมา แต่สวีซื่อเกินยังคงเหม่อลอยอยู่ ถูกคนชนจนโซเซล้มลงไปกองกับพื้น
สวีเม่าซิวและเหล่าพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างเหม่อลอยกันอยู่นาน ยามนี้จึงได้สติขึ้น
“มารดาข้าเถอะ แค่ม้าไม่กี่ตัวของพี่สี่ก็ได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งกองทัพอันยิ่งใหญ่แล้วหรือ” สวีปั้งฉุยพึมพำขึ้น
“พวกเราเข่นฆ่าศัตรูกันอย่างไม่คิดชีวิตยังไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้…” พี่น้องอีกคนพึมพำขึ้น “เหตุใดม้าไม่กี่ตัวนี้จึงกลายเป็นวีรบุรุษไปได้ล่ะ”
“เพราะ เราฆ่าฟันศัตรูเป็นแรงของคนคนเดียวที่ได้ผลลัพธ์เป็นศัตรูคนเดียว แต่ม้าเหล่านั้นสามารถทุ่นแรงได้ถึงร้อยคน พันคน หมื่นคน” สวีเม่าซิวเอ่ย เดินเข้าไปก้าวหนึ่งมองม้าที่เคี้ยวหญ้าอย่างสบายอารมณ์อยู่ในคอก “ก็เหมือนหมอคนหนึ่งทำได้แค่รักษาคน แต่หมอหมื่นคนรักษาได้ทั้งแคว้น”
เขาเอ่ยพลางหันหน้าไปมองขอบฟ้าทางทิศตะวันออก
“ของขวัญชิ้นที่สามของน้องสาวนี้ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน…”
อีกด้านหนึ่ง ท่านชายโจวหกกำลังมองขอบฟ้าทิศตะวันออกอยู่เช่นกัน
“เสี่ยวลิ่ว คนพวกนั้นเป็นอะไรกับเจ้าหรือ” ท่านลุงโจวถังที่อยู่ด้านหลังขมวดคิ้วถาม “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาโอกาสนั้นถวายพานให้พวกเขาไปเสียแล้ว”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเฮอะออกมา
“พวกเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ข้าไม่รู้จักพวกไร้ค่านั่น” เขาเอ่ย เอ่ยจบก็ยิ้มบางๆ “ข้าเพียงแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น”
ท่านลุงโจวถังขมวดคิ้ว พูดตามความจริงก็ต้องดูกาลเทศะด้วยสิ
ท่านชายโจวหกมองขอบฟ้าทิศตะวันออก เห็นเมฆดำกลุ่มหนึ่งลอยเข้ามาปกคลุม เสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังมาแต่ไกล
ฝนจะตกแล้ว!
สตรีนางนั้นยามนี้กำลังทำอะไรอยู่กันนะ
สายฟ้าพาดผ่านลงมา เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากในรถ
“ไม่ไปแล้ว!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเลิกม่านเปิดออกอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนว่า “ฟ้าร้องดังเช่นนี้ จะไปได้อย่างไร เดี๋ยวฝนจะตกแล้ว!”
ทั้งคนทั้งรถด้านหน้าเคลื่อนไปต่อ
“นายหญิงของเราบอกแล้วว่าวันนี้ฝนไม่ตก อีกเดี๋ยวฟ้าก็ไม่ผ่าแล้ว” คนผู้หนึ่งหันมาตะคอก
นายหญิงข้าบอกว่า นายหญิงข้าบอกว่า มารดามันเถอะ ตลอดทั้งทางเหตุใดจึงมีแต่นายหญิงข้าบอกว่า!
ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนสั่งให้หยุดรถ แล้วกระโดดลงจากรถมา
“ท่านชายขอรับ!” บ่าวรับใช้ที่รีบลงมาจากหลังรถตะโกนเรียก แต่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเดินไปด้านหน้ารถม้าเสียแล้ว
“เฉิงเจียวเหนียง! เจ้าจะเชื่อฟังหรือไม่” เขายืนอยู่ข้างรถม้า ยื่นมือไปเลิกม่านหน้าต่างขึ้น ตะคอกอย่างโมโหว่า “เป็นข้า…”
ขณะนั้นเองเสียงฟ้าก็ดังขึ้นกลบเสียงของท่านชายหวังสิบเจ็ดไป ปั้นฉินเห็นคุณชายตรงหน้าปากอ้าๆ หุบๆ ไร้เสียงเหมือนกับปลาอย่างไรอย่างนั้นก็ปิดปากหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เสียงฟ้าร้องเงียบลง ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็แทบจะยืนไม่อยู่
“ท่านต้องการอย่างไร” เสียงสตรีในรถเอ่ยถามขึ้น น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่ทราบว่าเมื่อใดที่ลำคอของสตรีนางนี้หายแล้ว ไม่มีเสียงแหบไม่น่าฟังนั่นอีกต่อไป แต่ฟังดูแล้วก็ไม่ได้สบายหูนัก
“เฉิงเจียวเหนียง เป็นข้าที่ส่งเจ้ากลับบ้าน ไม่ใช่เจ้าจับข้ากลับบ้าน การเดินทางนี้ต้องฟังเจ้าหรือฟังข้ากันแน่” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะคอกถามพลางถลึงตามองภายในรถ
สตรีในรถนั่งตัวตรง กระโปรงสีดำคลี่บานดั่งดอกไม้ที่แย้มบาน ชายแขนเสื้อที่ขลิบขอบใหญ่สีทองนั้นเผยให้เห็นมือเรียวขาวที่ถือตำราม้วนหนึ่งไว้ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“ฟังท่านน่ะสิ” นางตอบ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างรถเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
สตรีที่งดงามดั่งภาพวาดเป็นเช่นนี้เอง ไม่ว่าเวลาใดนางล้วนไม่ขยับดั่งน้ำนิ่ง แต่มองดูแล้วกลับงดงามกระชากวิญญาณคน
“ท่านชายขอรับ”
เสียงบ่าวชรากระซิบเรียกจากด้านหลัง
ท่านชายหวังสิบเจ็ดได้สติขึ้นมา คนงามงดงามนัก แต่ก็ไม่อาจตามใจจนเหลิง สิ่งที่เรียกว่าคนงามที่โอหัง คือการที่เขาอยากให้โอหังจึงอนุญาตให้พวกนางโอหัง ไม่ใช่พวกนางอยากโอหังก็โอหัง
“ฟังข้าหรือ” เขาตะคอกเสียงดัง “ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงมา ประโยคใดบ้างที่เชื่อฟังข้า”
“กลับบ้านน่ะสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดถูกตอกหน้าก็นิ่งอึ้ง
ฟ้าร้องครืนๆ ขึ้นอีกครา
“อย่างอื่นไม่พูดถึงแล้ว ยามนี้รีบหาที่หลบฝนก่อน เปียกปอนไปกลางทางจะตายเอาได้!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะคอก
“ไม่เปียกฝนหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยิ้มบาง “ไม่ใช่ว่าพวกเราฟังคำท่าน หาที่หลบฝนก่อนหรอกหรือ”
รถม้าเดินหน้าต่อ ท่านชายหวังสิบเจ็ดถูกดันไปอยู่ด้านข้าง
“ท่านชายขอรับ รีบขึ้นรถเถอะ” บ่าวชรากระซิบกล่อม
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกัดฟันกรอด
“หาที่หลบฝนหรือ นี่ฟังคำข้าหรือ นอกจากคำตามตัวอักษรของข้าแล้ว อย่างอื่นยังมีอะไรที่เป็นของข้าอีก” เขาตะคอกถาม พุ่งไปด้านหน้ารถม้าแล้วถลึงตาใส่ “ไม่เปียกฝนหรอก เจ้าพูดอย่างกับสนิทกันกับสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น!”