บทที่ 317.1 ระหว่างทาง (1)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ฟ้าร้องลั่นดังคาด ทว่าท้ายที่สุดฝนกลับไม่ตก ท้องนภาค่อยๆ มืดลง ก่อนจะมีม้าสองตัววิ่งจากด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

บ่าวชรายื่นหน้าไปมองสองคนนั้น เห็นว่าคุยอะไรกับพ่อบ้านตระกูลโจวสองสามประโยค ก่อนที่พ่อบ้านคนนั้นหันม้าไปทางรถม้าเฉิงเจียวเหนียง

“นายหญิง เนื่องจากอากาศไม่ดี หอพักม้าด้านหน้าคนเต็มหมดแล้ว ไม่มีห้องแล้ว ที่นอนปูพื้นก็เต็มแล้วเช่นกัน” พ่อบ้านเฉาเอ่ย

ม่านรถถูกเลิกขึ้น

“ในเมื่อไม่มีที่แล้ว เช่นนั้นก็เดินต่อเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

พ่อบ้านเฉาขานรับ ก่อนจะบอกต่อคำสั่งออกไปอย่างไม่กังวล

เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด…

บ่าวชราตั้งสติมองพ่อบ้านเฉาที่อยู่ข้างหน้า สายตาตกไปอยู่ที่รถม้าของเฉิงเจียวเหนียง

เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม่นางผู้นี้ตัดสินใจทุกเรื่อง

เช่นการออกจากเมืองหลวงในครั้งนี้ ว่ากันว่าจะพาแม่นางผู้นี้กลับไปพร้อมกัน แต่ก็เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น เดิมทีพวกเขาคิดว่าตระกูลโจวไม่ให้แม่นางสติไม่ดีคนนี้ไปไหน หรืออาจจะอยากไล่ไปให้พ้นใจจะขาด ทว่าสุดท้ายกลับไม่ใช่ ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น ราวกับการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับตระกูลโจว

เขานึกถึงเสียงร้องไห้ของผู้ชาย ตอนที่ยืนอยู่หน้าเรือนเฉิงเจียวเหนียงในวันนั้นขึ้นทันใด

ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ยามนี้หวนกลับไปคิด ภายในเรือนของเฉิงเจียวเหนียงในเวลานั้นมีเพียงแค่นายใหญ่โจวเพียงผู้เดียว…

นายใหญ่โจวร้องไห้ให้กับแม่นางน้อยคนนี้หรือ

บ่าวชราคิดว่าสมองตนเองน่าจะพังแล้ว ถึงได้คิดเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้ได้

ทว่าหากไม่ใช่ เช่นนั้นจะอธิบายได้อย่างไร

เห็นบ่าวใช้เหล่านี้ของตระกูลโจว ท่าทีที่มีต่อแม่นางเฉิงมาตลอดทาง ก็เข้าใจได้ว่าตระกูลโจวปฏิบัติอย่างไรต่อเฉิงเจียวเหนียง

คำว่ารักและปกป้อง ใกล้ชิดสนิทสนมนั้นไม่ค่อยเหมาะสมเสียเท่าไร พูดให้ถูกก็คือเคารพยำเกรง

หากรัก ปกป้องและใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานสาวตนเองนั้นยังพอเข้าใจได้ ทว่าเคารพยำเกรงนี่คืออะไรกัน

แถมยังมีคนตระกูลฉินแห่งจวนองค์หญิงมาส่ง และก็ฝูงชนรายล้อมบนถนนเทียนเจียในเทศกาลโคมไฟในวันนั้น บางทีตระกูลโจวอาจจะไม่เป็นได้ผู้ที่ได้รับสิ่งนี้ ในทางกลับกัน เป็นไปได้ว่าตระกูลโจวมีชื่อเสียงได้เพราะนาง…

เพราะนางหรือ!

เกิดแสงระเบิดในหัวของบ่าวชรา ทั้งร่างแข็งทื่อในทันใด

หรือว่า…จะเป็นนาง

เขาเอื้อมมือไปจับผู้ติดตระกูลโจวที่อยู่ใกล้ๆ อย่างลืมตัว

“ตระกูลพวกเจ้า…” เขาเอ่ยปาก

ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีคนตะโกนเสียงดังข้างหู กลบเสียงของเขาจนไม่ได้ยิน

“อะไรนะ”

เมื่อท่านชายหวังสิบเจ็ดได้ยินคนข้างกายบอกว่าต้องเดินต่อไป จึงเปิดม่านรถออกมา แล้วถลึงตาถาม

“ยังต้องเดินต่อไปอีกหรือ ไหนบอกว่าถึงโรงเตี๊ยมแล้วอย่างไรเล่า”

“ท่านชายหวัง หอพักม้าข้างหน้าเต็มแล้ว พักไม่ได้” ผู้ติดตามตระกูลโจวเอ่ย ท่าทางไม่ได้มีความเคารพยำเกรงเท่าไรนัก กลับกันกลับมีความดูถูกอยู่เล็กน้อย

ท่านชายคนนี้เรื่องมาก ทำตัวอ่อนแอปวกเปียกมาตลอดทาง เมื่อเดิมทางเร็วขึ้นก็บ่นว่าเจ็บปวดร่างกาย เมื่อเดินทางช้าก็ไม่ยอมนอนในป่า พวกเขาต่างสับสนแล้วว่านายหญิงของพวกเป็นชายหนุ่ม มาส่งท่านชายตระกูลหวังผู้เป็นแม่นางน้อยร่างกายบอบบาง…

ดังคาดเขายังไม่ทันเอ่ยจบ แม่นางน้อยตระกูลหวังคนนั้นก็ตะโกนเสียงแหลมขึ้นทันที

“พักไม่ได้หรือ เหตุใดจะพักไม่ได้ มีเงิน ไฉนถึงจะพักที่หอพักม้าไม่ได้” เขาตะคอก “ไส้แห้งเสียจริง! โยนเงินก้อนหนึ่งไป หากมากพอก็ให้คนอื่นออกไป แล้วเอาห้องพักให้เรา ท่านชายอย่างข้ามีเงิน! ท่านชายอย่างข้าจะใช้เงินซื้อความสบาย! ข้าไม่ได้ให้พวกเจ้ามาออกเงินเสียหน่อย จะแสร้งทำตัวไส้แห้งทำไมกัน!”

เมื่อเขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ตบรถ ก่อนจะตะคอกบ่าวชรา

“เอาเงินมา เอาเงินมา แล้วไปเหมาหอพักม้ามาให้ข้าทั้งหมด!”

บ่าวชรามีสีหน้าไม่สู้ดี

“ท่านชาย มีอะไรก็ค่อยๆ พูด…” เขาเกลี้ยกล่อมเสียงเบา

“จะพูดอย่างไร มีอะไรให้พูดอีกหรือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกน ก่อนจะยืนขึ้นบนรถ แล้วชี้ไปข้างหน้า “เจ้าหยุด หยุดเดี๋ยวนี้”

แม้คนทั้งขบวนจะมองท่านชายหวังสิบเจ็ดเป็นตาเดียว ทว่าก็ไม่ได้หยุดการเดินทาง คนรถของเฉิงเจียวเหนียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“หนวกหู” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะวางหนังสือในมือลง “หยุดเถิด”

ปั้นฉินเปิดม่านออกไปบอกให้หยุด คนขับรถจึงดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า

“ท่านชายหวัง ท่านทำอะไรของท่านอีก” ปั้นฉินลงจากรถมาถาม

“ข้าจะไปพักที่โรงเตี๊ยมตรงหน้า” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย “อากาศไม่ดี จะมืดแล้วด้วย รีบเดินทางต่อไป จะหาที่พักได้ไหม”

“ฝนไม่ตกหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย มองเขาพลางยิ้ม “นอนในป่าได้”

นอนในป่าหรือ

“เจ้าบ้าไปแล้วกระมัง มีที่ให้นอนไม่นอน แต่จะไปนอนในป่า! เจ้าช่างโง่เสียจริง!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยเสียงดัง “ข้าไม่นอนในป่า เดี๋ยวก็ถูกหมาป่าคาบไปกินหรอก!”

“ต้องเปลืองน้ำลายไปไย อีกอย่าง บางครั้งคนก็น่ากลัวกว่าหมาป่านัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ไม่อย่างนั้นก็ด่าว่าเป็นหญิงบ้าเลยสิ! เวลามีเรื่องอะไรก็คร้านจะออกหน้า!

ท่านชายหวังสิบเจ็ดถ่มน้ำลาย

“เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร! ข้าพูดคำไหนคำนั้น” เขาตะโกน “ข้าจะนอนหอพักม้า! หากเจ้าไม่ฟัง เจ้าก็เดินทางไปเอง”

หากรู้ว่าพาหญิงสาวคนนี้เดินทางมาด้วย แล้วจะวุ่นวายเช่นนี้ ก็ไม่พานางมาหรอก!

เมื่อสิ้นคำ หัวใจของบ่างชราเต้นแรงอย่างอดไม่ได้

ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับไม่ได้เร่งม้าให้เดินต่อไป

“ในเมื่อบอกว่าจะไปด้วยกัน ไฉนจะไร้สัจจะได้เล่า” เฉิงเจียวเหนียงมองท่านชายหวังสิบเจ็ดพลางเอ่ย

แหมๆ นี่อ้อนวอนแล้วใช่ไหม ใช้หลักศีลธรรมมาบังคับเขาแล้วใช่ไหม

ตนเองสัญญาแล้วว่าจะพานางกลับบ้าน ก็ไม่อาจกลับคำแล้วอย่างนั้นหรือ

คนงามดั่งภาพวาดมีข้อเสียตรงนี้ เมื่อเอ่ยคำอ้อนวอนก็เอ่ยอย่างแข็งทื่อ ประโยคนี้ควรพูดพร้อมน้ำตาถึงจะถูก

“ครั้งนี้ช่างเถิด หากเจ้าไม่เชื่อฟัง ทำตามใจตัวเอง คิดเองเออเองอีกละก็ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดส่งเสียงฮึ ก่อนจะเอ่ย

เงยหน้ามองพ่อบ้านเฉาของตระกูลโจวที่อยู่ด้านข้าง เห็นสายตาที่เขามองตน

“มองอะไร” เขาตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์

สายตาอะไรกันเนี่ย! พิลึกคน!

พ่อบ้านเฉายิ้ม ก่อนจะละสายตา

“แล้วก็ เป็นผู้หญิงยิงเรือจะเดินนำอยู่ข้างหน้าได้อย่างไร ทั้งยังตัดสินใจเองมาตลอดทางอีก” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยต่อ “ไปข้างหลัง ข้าจะอยู่ข้างหน้าเอง”

เมื่อเขาเอ่ยจบก็เร่งรถม้าของตัวเอง ให้ไปอยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียงตามที่เอ่ย

ปั้นฉินมองเฉิงเจียวเหนียง

“เรื่องแค่นี้เอง” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าพลางเอ่ย ส่งสัญญาณบอกให้นางว่าขึ้นมาได้

ปั้นฉินยิ้ม ก่อนจะขึ้นรถ

บ่างชรารีบตามคนตระกูลหวังไปข้างหน้าอย่างกระอักกระอ่วน

“อยู่ข้างหน้า แสดงว่านำทางได้แล้วหรือ”

เมื่อได้ยินผู้ติดตามตระกูลโจวกระซิบกระซาบพลางยิ้ม

“เจ้าโง่นี่ช่างตลกจริงๆ!”

“นายหญิงตามใจเขาเกินไปแล้ว!”

คำพูดนี้ทำให้บ่าวชราไม่อาจทนได้ หันหน้าไปถลึงตาใส่ผู้ติดตามด้วยความโกรธเคือง เพื่อเป็นการเตือน

ผู้ติดตามคนนั้นถลึงตามกลับอย่างไม่ยอมแพ้

รถม้าหลบหลีกไปข้างหน้า

ขบวนรถเดินหน้าต่อไป

บ่าวชราถอนหายใจโดยพลัน

“พวกเราก็ควรจะหาคนของตัวเองมาส่งด้วยเช่นกัน” เขาเอ่ย “เช่นนี้หากถูกเขาทิ้งก็ไม่ต้องกลัว…”

ผู้ติดตามด้านข้างร้องเอ๋ เอียงหน้ามองบ่าวชราอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านปู่กู่ ใครจะถูกใครทิ้งหรือ” เขาถามอย่าตกใจ

บ่าวชรามองเขาทีหนึ่งทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร

“หากจะให้ข้าพูด นายหญิงเกรงใจเกินไปแล้ว” พ่อบ้านเฉาเอ่ย พร้อมเม้มปาก “เจ้านี่…”

เขาโพล่งออกมาและคิดว่าคนคนนี้เป็นคู่หมั้นของ เฉิงเจียวเหนียง ว่ากันว่านางเป็นคนตกปากรับคำเอง ด่าคู่หมั้นของนาง ก็เท่าด่านางด้วยไม่ใช่หรือ

พ่อบ้านเฉากระแอมสองที ก่อนจะเผยความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้า

ไม่จำอะไรเอาเสียเลย ต่อหน้าแม่นางผู้นี้ ต้องพูดน้อย เชื่อฟังให้มาก ให้ทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นก็พอ! ปากมากอะไรนักหนา!

“…หอพักม้าแบบนี้คุยง่าย ข้าไปให้เงินค่าน้ำร้อนน้ำชาสักหน่อยก่อน” เขารีบพูด

เมื่อได้ยินเสียงของอืมของเฉิงเจียวเหนียงในรถ จึงรีบเร่งม้าไปข้างหน้า

“นายหญิง เดี๋ยวนี้อารมณ์ท่านดีจริงๆ” ปั้นฉินยิ้มเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงอิงโต๊ะชาพลางมองนาง

“เมื่อก่อนข้าอารมณ์ไม่ดีหรือ” นางถามด้วยรอยยิ้ม