บทที่ 11 ยังจำได้ไหม เซียนผู้ถามหลักมรรคา

ท่องภพสยบหล้า

ริมแม่น้ำสายเล็กที่มีน้ำไหลระเรื่อย เด็กชายกำกระบี่ไม้เล่มเล็กไว้แน่น พลางจ้องเขม็งไปทางชายผมขาวที่ขี่กระบี่เข้ามาหา

“รากฐานของเจ้าดีมาก อยากติดตามข้าหรือไม่” ชายผมขาวเอ่ยเช่นนี้

แม้เขาอายุยังน้อย แต่จะมองไม่เห็นภาพทิวทัศน์ของอนาคตอันกว้างไกลได้อย่างไร ขณะที่กำลังจะอ้าปากตอบรับ กลับได้ยินเสียงที่ดื้อดึงอีกเสียงดังขึ้นมาข้างๆ “พาข้าไป!”

เจ้าของเสียงคือเพื่อนเล่นของเขา และก็เป็นผู้พ่ายแพ้ในการ ‘ดวลกระบี่’ กับเขาเมื่อครู่

เด็กชายรู้ความดื้อรั้นของสหายเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นการ ‘ดวลกระบี่’ ในวันนี้ ตัวเขาพ่ายแพ้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่สหายผู้นี้ก็พยายามจะเอาชนะกลับให้ได้เพียงเพราะแพ้ก่อนหน้านี้ครั้งเดียว

เด็กชายคิดในใจ ‘เช่นนั้นพวกเราฝึกบำเพ็ญไปด้วยกันก็ได้’

รายละเอียดยิบย่อยมากมายเขาจำไม่ได้แล้ว แต่เขายังจำดวงตาทั้งคู่ของชายผมขาวได้ ใสกระจ่างดุจสายน้ำ แต่ก็ลุ่มลึกห่างไกลราวกับผืนฟ้า

ชายผมขาวใช้ดวงตาคู่นั้นมองพวกเขา มองเด็กน้อยสองคนที่ตัวติดกันตั้งแต่เด็ก มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ ที่ยากจะเข้าใจความหมายปรากฏ

“ข้ารับศิษย์แค่คนเดียว” ชายผมขาวกล่าว

เขาเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “พวกเจ้าทั้งสองคนไม่เลวเลย แต่ข้าจะพาไปเพียงคนเดียว”

‘ทำอย่างไรดี’ เด็กหนุ่มคิดในเวลานั้น

แต่เขาทันได้คิดเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น พริบตาต่อมาก็ถูกผลักลงไปในแม่น้ำ

ตูม!

เสียงน้ำแตกกระจายดังขึ้น

เพื่อนของเขา เพื่อนที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยเปลือยก้น และยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่นึกว่าจะผลักเขาตกน้ำอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

ท่ามกลางคลื่นน้ำที่สั่นกระเพื่อม เขามองเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของ ‘สหาย’ รวมไปถึงแววตาที่นิ่งสงบอยู่ตลอดของชายผมขาว

หลังจากนั้น แสงกระบี่ดุจน้ำค้างแข็งสายหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้า

เพื่อนตัวน้อยของเขากับชายผมขาวถูกหุ้มอยู่ในแสงกระบี่ที่งดงามเจิดจ้านั้น มาเร็วไปไวประดุจสายฟ้าตอนกลางวันแสกๆ

ก็เหมือนกับตำนานของเซียนผู้ถามหลักมรรคานับไม่ถ้วน ซึ่งเดินเฉียดไหล่เหล่ามนุษย์ที่สามัญธรรมดาและน่าเศร้าไปเช่นนั้น

สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกที่เกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้ง ไม่อยากจะเชื่อ และไม่อาจปล่อยวางได้!

……

เจียงวั่งลืมตาขึ้น ความมืดสนิทปกคลุมรอบด้านและตัวเขา ในห้องพักเงียบเป็นพิเศษ ลมหายใจยาวของหลิงเหอกับตู้เหยี่ยหู่มาพร้อมจังหวะที่พิเศษเฉพาะ

เจียงวั่งรู้ พวกเขากำลังฝึกพื้นฐานการกำหนดลมหายใจเข้าออก ถึงแม้จะเป็นพื้นฐานง่ายๆ แต่ก็มีเพียงศิษย์สายในเท่านั้นที่จะได้เรียน นี่เป็นวิชารากฐานที่มีมานับร้อยปีของสำนักเต๋ารัฐจวง

การคัดเลือกเข้าสำนักสายในของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไม่น่ากังวลเท่าใดนัก หลิงเหอ ตู้เหยี่ยหู่ และเจ้าหรู่เฉิงเป็นศิษย์สายในคนใหม่กันหมดแล้ว ชื่อถูกบันทึกลงในบันทึกหยกนักพรตที่อยู่ในวิหารสักการะเรียบร้อย

เพียงแค่ก่อนที่ชีพจรเต๋าจะปรากฏยังไม่ถือว่าเป็นนักพรตชุดผ้าป่านก็เท่านั้น

ลูกกลอนเปิดชีพจรมีราคาแพงยากจะเอื้อมถึง แม้สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินจะได้รับความเคารพนับถือจากรัฐ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแจกของให้แก่ศิษย์ทุกคนเปล่าๆ พวกเขาในฐานะกลุ่มศิษย์สายนอกที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ถูกเลือกเข้ามาในสำนักสายใน ปกติอย่างน้อยต้องใช้เวลาสักหนึ่งปี สั่งสมคุณงามความดีจนเพียงพอ จึงจะมีคุณสมบัติได้รับลูกกลอนเปิดชีพจร

ศิษย์สายนอกผู้มีคุณงามความดีอันดับหนึ่งของทุกๆ ปีเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้คุณูปการแลกลูกกลอนเปิดชีพจรได้หนึ่งเม็ด นี่เป็นแรงกระตุ้นที่สำนักเต๋ามีต่อศิษย์สายนอกโดยเฉพาะ ดังนั้นรอบนี้เมื่อมีเจียงวั่งแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นเดินตามรอยเขาได้อีก

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจียงวั่งก็อาบเลือดสังหารอย่างเอาชีวิตเข้าแลกถึงจะสะสมคุณงามความดีจนได้รับลูกกลอนเปิดชีพจรมา และในรัศมีร้อยลี้ของเมืองเฟิงหลิน ยามนี้ก็ไม่เหลือโจรเขาประจิมกลุ่มอื่นให้เข้าไปปราบอีกต่อไป

เมื่อฝากตัวเข้าสำนักสายนอกก็หมั่นเพียรฝึกฝน เอาชนะผู้ท้าชิงมากมายเข้าสู่สำนักสายใน หลังจากเข้าสำนักสายในแล้วยังต้องพยายามฝึกตนต่อ ขณะเดียวกันก็สะสมคุณงามความดีจากภารกิจ สุดท้ายได้รับลูกกลอนเปิดชีพจร ก้าวเข้าสู่วิถีเหนือมนุษย์ นี่จึงจะเป็นเส้นทางของผู้ฝึกตนทั่วไปในรัฐจวง และเป็นหนทางที่สะดวกราบรื่นที่สุดทางหนึ่ง

ทว่าหากเทียบกับพวกที่ชีพจรเต๋าเด่นชัดแต่กำเนิด เข้าสู่สำนักสายในก็เริ่มฝึกวิชาเต๋าได้เลย คนรุ่นเยาว์ที่เดินบนเส้นทางธรรมดาเหล่านี้จะต้องใช้เวลามากเกินไปจริงๆ

เส้นทางการฝึกบำเพ็ญ ก้าวแรกช้าก้าวต่อๆ ไปยิ่งเชื่องช้า นี่เป็นสาเหตุที่เจียงวั่งทุ่มสุดชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จตอนเป็นศิษย์สายนอก ขณะเดียวกันก็เป็นสาเหตุที่ฟางเผิงจวี่อดกลั้นความละโมภไว้ไม่ได้ ไม่มีใครยอมเสียเวลารอหลายปีเพียงนั้น!

ดังนั้นเจียงวั่งจึงเข้าใจความปรารถนาของฟางเผิงจวี่ แต่ไม่สามารถอภัยให้กับวิธีการของเขาได้

จอมยุทธ์ที่เก่งเหนือคนทั่วไปอย่างพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นหลิงเหอหรือตู้เหยี่ยหู่ ใครเล่ามีความปรารถนาที่จะเหนือกว่ามนุษย์สามัญน้อยกว่าฟางเผิงจวี่บ้าง ทว่าพวกเขาก็ไม่ทำเรื่องชั่วช้าต่ำทรามเช่นนั้น

บิดามารดาของเจียงวั่งเคยพูดประโยคหนึ่งว่า คนเราตัดสินได้จากตัวเลือกของเขา เจียงวั่งก็เห็นด้วยเช่นนั้น

ส่วนเขาเองก่อนหน้านี้ก็ตกอยู่ในการเลือกที่ยากลำบากเช่นกัน

ทุกคนล้วนรู้กันว่า ผู้ฝึกตนทั้งเก้าระดับจะยึดระดับหนึ่งเป็นจุดสูงสุด ระดับเก้าถูกมองเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวผ่านมนุษย์สามัญ และสัญลักษณ์ของการสำเร็จระดับเก้าก็คือการสำเร็จกระแสวนเต๋า รากพลังเต๋ากำเนิดขึ้นมาเองได้

ผู้ฝึกตนใช้ชีวิตผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนานจนยากจะคำนวณได้มาแล้ว ย่อมมีการค้นคว้าวิจัยก้าวแรกของการเหนือกว่ามนุษย์ไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งยิ่ง

กระดูกสันหลังถูกมองว่าเป็นมังกรยักษ์ในร่างกายมนุษย์ ชีพจรเต๋าจะซ่อนอยู่ในกระดูกสันหลัง หลังจากที่ชีพจรเต๋าปรากฏ ผู้ฝึกตนสามารถส่งพลังเลือดลมสะท้อนกลับไปยังชีพจรเต๋า จากนั้นสร้างรากพลังเต๋าออกมา รากพลังเต๋าเป็นรากฐานของวิชาเต๋าทั้งหมด และถือเป็นพื้นฐานของการเหนือกว่ามนุษย์สามัญด้วย

ยกชีพจรไส้เดือนของเจียงวั่งเป็นตัวอย่าง ทุกครั้งที่กระตุ้น ‘ไส้เดือน’ จำเป็นต้องถ่ายโอนพลังเลือดลมพอๆ กัน เมื่อเคลื่อนผ่านมังกรยักษ์กระดูกสันหลังเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะสร้างรากพลังเต๋าขึ้นมาได้เม็ดหนึ่ง ส่วนผู้ฝึกตนระดับเจียงวั่ง ทุกวันสามารถฝึกทะลวงชีพจรได้มากสุดสองครั้ง สะสมรากพลังเต๋าได้สองเม็ด ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายาม แต่เป็นเพราะร่างกายไม่อำนวย หากใช้เลือดลมมากจนเกินไปจะทำร้ายถึงต้นกำเนิดวิญญาณ ได้ไม่คุ้มเสียเลยสักนิด

หลังจากสะสมรากพลังเต๋าได้ ขั้นต่อไปก็คือการควบคุมรากพลังเต๋า จัดการวางตำแหน่งตามแผนผังรากฐานจนครบถ้วน เมื่อวางจุดพลังเสร็จสิ้น กระแสวนเต๋าจะถือกำเนิดขึ้นมา

ในฐานะผู้ที่เปิดชีพจรแล้ว สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินย่อมถ่ายทอดแผนผังรากฐานให้ นั่นคือแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดที่ใช้กันทั่วไปในรัฐจวง มีทั้งหมดแปดสิบเอ็ดจุดพลัง หรือก็คือถ้าจัดเรียงแผนผังรากฐานโดยไม่มีจุดผิดพลาด อย่างน้อยเขาก็ต้องใช้เวลาถึงสี่สิบเอ็ดวัน กินเวลาเกือบเดือนครึ่ง จึงจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับเก้าอย่างแท้จริงได้ (รากพลังเต๋าสองเม็ดที่เจียงวั่งสะสมมาก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปในการต่อสู้แล้ว)

ก่อนหน้านี้แน่นอนว่าเจียงวั่งไม่ลำบากใจอะไร ทว่าตอนนี้เขาเข้าไปในมิติมายาห้วงจักรวาลโดยไม่คาดฝัน และยังรับสืบทอด ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แดนร้างกระจ่างสัจจะ’ ของจั่วกวงเลี่ย คลายผนึกเวทีเสวนากระบี่กับเวทีแสดงเต๋าที่สัมพันธ์กันแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีความยุ่งยากเรื่องใหม่ตามมา

หลังจากที่เขาได้รับแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดมาเมื่อวาน เพื่อที่จะทดสอบประสิทธิผลของเวทีแสดงเต๋า จึงใช้แต้มหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบแต้มไปกับการอนุมานแผนผังรากฐาน สุดท้ายก็ได้รับแผนผังจักรวาลดาราที่ซับซ้อนอย่างยิ่งมา ทั้งแผนผังรากฐานมีสามร้อยหกสิบห้าจุด!

ยังไม่ต้องพูดถึงความยากในการจัดเรียงของแผนผังจักรวาลดารา แค่การสลักแผนผังรากฐานให้สมบูรณ์แบบ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะสร้างกระแสวนเต๋าวงแรกสุดได้

ส่วนการเพิ่มระดับจากเก้าเป็นแปดหลังจากนี้ ก็ต้องสร้างกระแสวนเต๋าสามวง ระดับแปดขึ้นไปเป็นเจ็ดต้องสร้างกระแสวนเต๋าเก้าวง

ถ้าคำนวณจากจุดนี้ ช่างใช้เวลานานเหลือเกิน!

แผนผังจักรวาลดาราแข็งแกร่งกว่าแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การวางรากฐานของมันต้องใช้เวลานาน นี่คือจุดที่เจียงวั่งลังเล เขาต้องรีบพัฒนาพลังบำเพ็ญให้เร็วที่สุด จึงจะสามารถไล่ตามผู้ฝึกตนที่ชีพจรเต๋าเด่นชัดแต่กำเนิดพวกนั้นได้ ทว่าเวลาก็ไม่เคยรอใครอีก

แต่หลังจากตื่นขึ้นมาในคืนนี้ เขาก็ตัดสินใจเลือกได้

เจียงวั่งหลับตาลง กระตุ้นรากพลังเต๋าที่เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวจากการทะลวงชีพจรเมื่อวาน ก่อนเคลื่อนย้ายไปในกระดูกสันหลังอย่างแช่มช้า ภายใต้การควบคุมรากพลังเต๋าและโลกแห่งการรับรู้อันเลือนราง นี่เป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างหาขอบเขตไม่ได้ผืนหนึ่งเลยทีเดียว

เพราะว่ามังกรยักษ์อยู่ที่นี่ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่าทะเลกระดูกสันหลัง

แต่จากการบอกต่อกันมาของผู้ฝึกตน มันยังมีอีกชื่อที่ดีกว่าคือ…จุดผ่านสวรรค์!

ทะลวงจุดผ่านสวรรค์ เปิดประตูฟ้าดิน นี่คือการเปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนขั้นต้นไปสู่ขั้นกลาง

ในจุดผ่านสวรรค์ที่ไร้ขอบเขต รากพลังเต๋าเม็ดหนึ่งเล็กราวกับฝุ่นทราย ทว่าไม่ได้ไหลไปตามคลื่น กลับเคลื่อนไหวตามปณิธานของเจียงวั่งอย่างแน่วแน่และไม่ยอมแพ้ ค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาหยุดตรงจุดที่ต้องการ

นั่นคือตำแหน่งดวงอาทิตย์บนแผนผังจักรวาลดารา

ตอนที่รากพลังเต๋าเม็ดนี้หยุดลง เจียงวั่งประหนึ่งมองเห็นดวงตาของผู้ฝึกตนผมขาวสมัยเขายังเด็กคนนั้น

เขาไม่มีวันลืมตอนที่ถูกผลักตกน้ำ

ดวงตาคู่นั้นราวกับกำลังพูดกับเขาว่า…

‘เส้นทางแห่งการฝึกบำเพ็ญก็คือการแย่งชิง’

……………………………………….