บทที่ 12 บทบาทไร้ที่สิ้นสุด

ท่องภพสยบหล้า

“มรรคไร้รูปร่าง แต่บทบาทกลับไร้ที่สิ้นสุด กว้างไกลราวต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง! ลบคมความหลักแหลมของมัน ขจัดความคิดฟุ้งซ่านของมัน ปรับมุมมองที่หลากหลายของมัน ผสานเข้ากับโลกโลกีย์ มรรคหลบซ่อนลี้หาย คล้ายมีคล้ายไม่มี ข้าไม่รู้มรรคกำเนิดจากสิ่งใด แต่ดุจดำรงอยู่แล้วก่อนฟ้าและดิน”

เสียงนักพรตเต๋าที่กำลังท่องบทสวดดังแผ่วเบา แต่กลับชัดเจนในหูของทุกคนที่ฟังอยู่ในหอภาวนา ตอนที่เขาพูดคำสุดท้ายจบ คิ้วก็ลู่ลงโดยพลัน ราวกับว่าพริบตาต่อมาจะหลับไป ลักษณะเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง

เจียงวั่งไม่กล้าชักช้า คารวะตามเหล่าศิษย์พี่อย่างนอบน้อม จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกมา

อย่ามองว่าเขาเป็นเพียงคนแก่ที่ลืมตาไม่ขึ้น คนผู้นี้เป็นถึงซ่งฉีฟาง รองเจ้าสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน พูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ ก่อนที่ต่งเออจะมา เขานี่เองที่เป็นเจ้าสำนักที่แท้จริงของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองเฟิงหลินมาหลายสิบปี เสียแต่อายุของเขาล่วงเข้าแปดสิบไปแล้ว ทว่าพลังบำเพ็ญกลับย่ำอยู่ที่ระดับเจ็ดมาตลอด ไม่อาจเปิดประตูฟ้าดินได้เสียที ด้วยเหตุนี้จึงสูญสิ้นความคิดที่อยากจะก้าวหน้า และหันมาสนใจแต่คัมภีร์ ทุ่มเทให้กับการสั่งสอนถ่ายทอดมรรคา หนำซ้ำดูจะชื่นชอบเสียด้วย

หลังจากที่ต่งเออมาถึง เขาก็ไม่คิดแก่งแย่งชิงดี กลับให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ให้ต่งเออขึ้นดูแลสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินอย่างราบรื่น ส่วนต่งเออก็ให้ความเคารพเขาอย่างสูงเพื่อเป็นการตอบแทนเช่นกัน

ทั่วทั้งเมืองเฟิงหลิน ถ้าพูดเรื่องคุณธรรมสูงส่งบารมีเปี่ยมล้น ก็ไม่มีใครเกินซ่งฉีฟางไปได้

……

จนกระทั่งเดินออกจากประตูหอภาวนา ใจของเจียงวั่งก็ยังไม่อาจสงบลง แต่จมดิ่งอยู่ในความปลงอนิจจังอย่างยิ่ง

มรรคคืออะไร มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ แต่มีอยู่ทุกที่ ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด เช่นนั้นจะไปรู้จัก ทำความเข้าใจ และไล่ตามมันได้อย่างไร ยิ่งไล่ตาม ยิ่งเข้าใจ ยิ่งรู้จัก ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองแสนจะเล็กจ้อย

ทำได้เพียงถอนใจเอ่ยว่า ‘กว้างไกล!’ กว้างไกลเสียเหลือเกิน!

หลิงเหอเดินไปท่องไป อดคิดทบทวนซ้ำไม่ได้ เจ้าหรู่เฉิงแม้จะไม่เคยให้ความสำคัญกับการเรียน แต่ก็คล้ายตกอยู่ในภวังค์ความคิด มีเพียงตู้เหยี่ยหู่ที่หาวหวอด ราวกับเพิ่งได้นอนชดเชยมา

ทุกปีคนที่ถูกคัดเลือกเข้าสำนักสายในสิบคนจะเสวนาวิธีควบคุมลมหายใจขั้นพื้นฐาน พัฒนาการของตู้เหยี่ยหู่อยู่รั้งท้ายเพียงเจียงวั่งที่ชีพจรเต๋าเด่นชัดออกมาก่อนเวลา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามีพรสวรรค์ ทว่าสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์มหามรรคาพวกนั้น เขาฟังไม่เข้าหูเลยจริงๆ ตรงกันข้าม พอถึงชั้นเรียนวิชาต่างๆ เขากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

สำนักสายในเท่านั้นถึงเรียกว่าเป็นสำนักเต๋าที่แท้จริง คำพูดนี้จริงแท้ที่สุด ตอนแรกที่อยู่สำนักสายนอก จะได้รับการถ่ายทอดเพียงวิชายุทธ์ง่ายๆ บางวิชา บางช่วงถึงจะมีศิษย์พี่สำนักสายในมาชี้แนะร่วมกันบ้าง ทว่าหลังจากเข้าสำนักสายใน ห้าวันจะมีชั้นเรียนคัมภีร์หนึ่งครั้ง สิบวันได้เล่าเรียนทักษะวิชาหนึ่งครั้ง ช่วงแรกเรียนคัมภีร์ ช่วงหลังฝึกวิชา ทุกอย่างถ่ายทอดให้โดยผู้ลึกซึ้งในมรรคา ปกติหากมีข้อสงสัยอะไรในการฝึกบำเพ็ญ ก็สามารถขอคำชี้แนะจากเหล่าอาจารย์ได้ตลอดเวลา พวกวิชายุทธ์ที่ต้องใช้คุณงามความดีแลกมาตอนยังเป็นศิษย์สายนอก ก็เปิดกว้างให้ศิษย์สายในอย่างไม่มีขีดจำกัด

เสียแต่ไม่มีแรงดึงดูดอะไรมากนักสำหรับศิษย์สายในของสำนักเต๋า ไม่ใช่ว่าวิชายุทธ์ไม่ทรงพลัง แต่โลกการฝึกบำเพ็ญทั่วทั้งรัฐจวงล้วนยึดการฝึกวิชาเต๋าเป็นหลัก สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินแม้จะรวมรวบวิชายุทธ์บางส่วนไว้ แต่ก็นำมาเสริมชั่วคราวให้กับศิษย์สายนอกเท่านั้น ย่อมมีอานุภาพไม่มากสักเท่าใด ยังห่างชั้นจากพลานุภาพของวิชาเต๋าอยู่อีกไกล ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะทิ้งสิ่งใกล้ตัวไปแสวงหาสิ่งที่ไกลตัว

……

“ศิษย์พี่เจียงหยุดก่อน!” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง

เจียงวั่งหันหน้าไป จำได้ว่าเป็นฟางเฮ่อหลิงที่เข้าสำนักสายในรุ่นเดียวกัน…คนผู้นี้มาจากสามตระกูลใหญ่ของเมืองเฟิงหลิน ฟางเผิงจวี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา

จะว่าไปเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนักเต๋าสายในด้วยซ้ำ แต่การเลือกคนเข้าสำนักสายในทุกครั้ง สามตระกูลใหญ่จะต้องได้ที่ว่างหนึ่งตำแหน่ง นี่แทบจะเป็นกฎที่ยอมรับโดยทั่วกัน ฟางเผิงจวี่ถูกเลือกย่อมเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว ส่วนฟางเฮ่อหลิงไม่รู้ว่าตระกูลฟางแอบจ่ายอะไรให้

นี่คือเรื่องจริงแท้ แม้การฝึกบำเพ็ญจะเป็นเส้นทางก้าวข้ามมนุษย์สามัญ แต่บนโลกนี้ขอแค่เป็นเส้นทางที่มนุษย์เดิน อย่างไรก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่เสมอ ไม่มีทางที่จะขาวสะอาดไปตลอด สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินเองก็ไม่มียกเว้น

“มีอะไรหรือ” เจียงวั่งถามเสียงเรียบ

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก” ฟางเฮ่อหลิงอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวอมฟ้า ประสานมือคารวะแล้วดูสง่างามอย่างชัดเจน “เพียงจะขออภัยท่านในความโฉดชั่วทะเยอทะยานของฟางเผิงจวี่ เขาถูกตัดออกจากผังวงศ์ตระกูลแล้ว ตระกูลฟางของข้าไม่มีคนที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้อยู่”

“เขาก็คือเขา เจ้าก็คือเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องมาขอโทษแทนเขา สิ่งที่เขาทำไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

เจียงวั่งพูดจบก็เดินจากไป เขาไม่มีอารมณ์จะมาร่วมแสดงละครกับคุณชายประเภทนี้

แต่ทางฟางเฮ่อหลิงกลับรู้สึกว่าตนเองถูกหยามหมิ่นอย่างชัดเจน ตนเองเกิดในสามตระกูลใหญ่ของเมืองเฟิงหลิน ต้องมาขอโทษคนที่ฐานะต่ำต้อยอย่างเจียงวั่งด้วยตนเอง ทว่าเจียงวั่งไม่แม้แต่จะรู้สึกซาบซึ้ง อย่างน้อยก็ควรจะจับมือมองหน้ากัน ถนอมน้ำใจกันบ้างกระมัง ทำไมจึงได้เย็นชาเช่นนี้

“ศิษย์พี่เจียงรีบร้อนอะไรหรือ” ฟางเฮ่อหลิงรีบสาวเท้าอ้อมมาด้านหน้าเจียงวั่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ลืมบอกกับศิษย์พี่เจียงไป เมื่อวานข้าเพิ่งกินลูกกลอนเปิดชีพจร ชีพจรเต๋าเด่นชัดขึ้นมาแล้ว”

เขาพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ความโอหังได้ใจก็ยังคล้ายจะฉายชัดออกมา

“แล้วอย่างไร” เจียงวั่งถาม

ฟางเฮ่อหลิงตกตะลึง จากนั้นเอ่ยว่า “การเลือกศิษย์เข้าสำนักสายในครั้งนี้ มีเพียงพวกเราสองคนที่ชีพจรเต๋าเด่นชัดขึ้นมาล่วงหน้า เราน่าจะสนิทสนมกันไว้ให้มาก”

อย่างไรเสียเขาก็ยังอายุน้อย ถึงแม้ตั้งแต่เด็กจะได้รับการอมรมให้รักษามารยาท แต่คำพูดที่มีนัยอื่นแฝงก็คือการไม่เห็นคนอื่นในสายตาแล้ว เหมือนที่เรียกกันว่าวีรบุรุษใต้หล้ามีเพียงเจ้ากับข้าสองคน

เขาไม่ได้อาฆาตแค้นเจียงวั่งเพราะการตายของฟางเผิงจวี่ ถ้าฟางเผิงจวี่ไม่ตาย เขาคงไม่มีโอกาสอย่างในวันนี้! หากไม่ใช่เพื่อไม่ให้เสียชื่อของสามตระกูลใหญ่ ต้องรักษาตำแหน่งรายชื่อเข้าสำนักสายในของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไว้ ต่อให้บิดาของเขามีแววได้เป็นประมุขตระกูลฟางรุ่นต่อไปแล้ว ก็ยังยากที่จะกล่อมให้ตระกูลใช้เงินมหาศาลซื้อลูกกลอนเปิดชีพจรมา

ถ้าเช่นนั้นการเข้าสำนักสายในของเขาก็ต้องรอไปถึงปีหน้า หรือบางทีปีหน้าก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เข้า ถึงอย่างไรหนึ่งปีก็มีเพียงสิบตำแหน่งเท่านั้น ทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินมีสายตาจับจ้องอยู่ตั้งเท่าไร หากตระกูลมีลูกหลานคนอื่นที่ยอดเยี่ยมกว่าเขา บิดาของเขาก็ทำอะไรชัดเจนเกินไปไม่ได้เหมือนกัน การที่ฟางเผิงจวี่ถูกกำหนดให้ได้ตำแหน่งนั้นล่วงหน้าคือข้อพิสูจน์

“โอ้”

เจียงวั่งร้องโอ้ จากนั้นก็เดินอ้อมฟางเฮ่อหลิงแล้วเดินต่อไปโดยไม่สนใจ

เขารู้อยู่แล้วว่าฟางเฮ่อหลิงเป็นทายาทของว่าที่ประมุขตระกูลฟาง เป็นสายเลือดตรงของสามตระกูลใหญ่ เขารู้ว่าอย่างน้อยตอนนี้ฟางเฮ่อหลิงก็ไม่มีความคิดที่จะขัดแย้งอะไรกับเขา กระทั่งเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลฟางไว้ คนผู้นี้ยังเรียกเขาว่าสหายด้วยกันอย่างเป็นมิตรด้วยซ้ำ

แต่ว่าถือดีอะไร ทำไมคนที่ยอดเยี่ยมอย่างฟางเผิงจวี่กลับอ้อนวอนขอลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดหนึ่งมาไม่ได้ จนกระทั่งตัวเขาใจร้อนหัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากเขาตายไปไม่กี่วัน ฟางเฮ่อหลิงคนนี้กลับได้มาเสียแล้ว ฟางเฮ่อหลิงมีสายสนกลในอย่างไรคนอื่นไม่รู้ แต่พวกเขาเหล่าพี่น้องจะไม่รู้ได้หรือ

ถ้าเขามีอนาคตอยู่บ้าง ตอนแรกตระกูลฟางจะให้ฟางเผิงจวี่ออกหน้าได้อย่างไร!

ต่อให้ฟางเผิงจวี่ตายไปเร็วด้วยความเนรคุณก็ตามที แต่คุณชายที่ไม่รู้อะไรเลยตรงหน้าคนนี้มีคุณสมบัติมาเหยียบย่ำเขาหรือ

เจียงวั่งไม่ได้โมโห ทว่าสงวนท่าทีไว้

พวกของหลิงเฮ่อตู้เหยี่ยหู่ยิ่งไม่มองฟางเฮ่อหลิงเลยแม้แต่น้อย

คนทั้งหมดเดินจากไป เหลือแค่ฟางเฮ่อหลิงที่ยังยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ แข็งค้าง

เขาไม่คิดว่าตนเองจะถูกมองข้ามเช่นนี้

หลังจากที่เขากินลูกกลอนเปิดชีพจร จนชีพจรเต๋าเด่นชัดและเข้ามาอยู่สำนักสายใน กลับยังคงถูกมองข้ามอีก!

เขาคิดถึงตอนที่เพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์สายนอก และได้พบกับศิษย์สายนอกผู้มีอิทธิพลหลายคนนอกสำนักเต๋า เขาเข้าไปหาอยากจะทักทายเหล่าผองเพื่อนของลูกพี่ลูกน้องอย่างตื่นเต้นดีใจ อยากจะทำความรู้จักเสียหน่อย

ลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่มองเขาด้วยซ้ำ กลับโอบหลังโอบไหล่เดินจากไปพร้อมกับคนพวกนี้

ความหดหู่ในตอนนั้นเขาไม่เคยลืมเลยสักนิดเดียว ดังนั้นสิ่งแรกที่ทำหลังจากเปิดชีพจรก็คือมายืนต่อหน้าพวกเจียงวั่ง

เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะยืนยันอะไร แต่อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ต้องเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้าง

ทว่าไม่ใช่เลย

ทั้งที่ทั้งหมดเปลี่ยนไปแล้ว แต่กลับเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

‘เจียงวั่ง!’

ฟางเฮ่อหลิงตะโกนขึ้นในใจ

เขาอยากควบคุมสีหน้าอารมณ์อย่างสุดกำลัง ทว่าสีหน้ากลับบูดบึ้งเหลือประมาณแล้ว

……………………………………….