บทที่ 336 ลืมเลือน (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 336 ลืมเลือน (2)

หลายวันให้หลัง…

ตระกูลเฟ่ย

จันทร์เสี้ยวถูกเมฆดำบดบังตลอดเวลา ท้องฟ้ามีเสียงครืนครันดังมาอย่างเลือนรางเป็นระยะ

ครืน

สายฟ้าสีน้ำเงินสายหนึ่งวาดผ่านห้องมืดมิด แสงสีขาวอมฟ้าย้อมสิ่งของทั้งหมดในห้องเป็นสีขาวซีด

เฟ่ยไป๋หลิงกอดผ้าห่มขดตัวบนเตียงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

นับตั้งแต่น้องสาวชิงชิงหายตัวไปในครั้งก่อน นางก็ได้ไปหาบิดาและเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่นานนัก วันต่อมาเฟ่ยชิงชิงก็ปรากฏตัว ทั้งยังเล่นกับนางเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

เฟ่ยไป๋หลิงถามเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับชิงชิง แต่ผู้เป็น้องสาวกลับทำท่าไม่รู้เรื่อง นี่ทำให้จิตใจของนางเย็นเยียบ

บิดาไม่รู้ว่าเริ่มยิ้มแย้มตลอดเวลาตั้งแต่ตอนไหน เหมือนกับใบหน้านั้นถูกแช่แข็งไว้ในลักษณะยิ้ม

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่คนอื่นๆ ในตระกูลเฟ่ยก็มักทำหนายิ้มแย้มซึ่งทำให้คนรู้สึกเย็นเยียบเหมือนกับ

เฟ่ยไป๋หลิงเคยทดลองจะออกจากคฤหาสน์ของตระกูล แต่น้องสาวที่ไม่รู้โผล่มาตอนไหนก็เรียกนางไว้ทุกครั้ง

ชิงชิงมักจะโผล่ขึ้นด้านหลังอย่างกะทันหัน พร้อมกับร้องเรียกให้เฟ่ยไป๋หลิงไปเล่นกับนางด้วยรอยยิ้มเป็นประจำ

เฟ่ยไป๋หลิงมักจะเหม่อลอยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จากนั้นก็ละทิ้งความคิดจะจากไป แล้วกลับไปที่คฤหาสน์ หลังจากเล่นกับน้องสาวอย่างเลอะเลือนเสร็จ ชิงชิงก็จะหายไปอีก ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

สิ่งที่ทำให้นางกลัวที่สุดก็คือ ทุกๆ ครั้งที่ตกดึก คฤหาสน์ตระกูลเฟ่ยจะเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด อีกทั้งทุกคนยังรวมตัวกันในห้องจัดเลี้ยงเพื่อจัดงานเลี้ยงสุรา บรรยากาศคึกครื้นเป็นพิเศษ

ทว่าตอนที่เฟ่ยไป๋หลิงแอบไปดูก็พบว่า ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงล้วนยิ้มอย่างแข็งทื่อและไม่รู้ว่าพึมพำพูดอะไรอยู่

เสียงสนทนาคล้ายกับดังมาจากสถานที่ที่อยู่ห่างออกไป ทั้งๆ ที่อยู่ไม่ไกล นางกลับไม่ได้ยินรวมถึงฟังไม่เข้าใจ

“ชิงชิง…ชิงชิง…” เฟ่ยไป๋หลิงกอดเข่าน้ำตาไหลพราก พลางส่งเสียงเรียกชื่อของน้องสาวเบาๆ

“ท่านพี่…ท่านกำลังเรียกข้าอยู่หรือ” เงาคนขนาดเล็กสีขาวอมเขียวสายหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากในความมืดด้านหลังเฟ่ยไป๋หลิง

“อยากจะเล่นด้วยกันหรือไม่” เสียงของชิงชิงดังมาจากด้านหลังเฟ่ยไป๋หลิง

เฟ่ยไป๋หลิงพลันตัวแข็งทื่อ ค่อยๆ เบือนหน้าไปอย่างติดๆ ขัดๆ

ควับ…!

ด้านหลังไม่มีอะไรสักอย่างเดียว หลังจากนางถอนหายใจโล่งอก ก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว มุดหน้าเข้าไปร้องไห้ในผ้าห่ม ทว่านางไม่กล้าส่งเสียงและไม่กล้าเรียกชื่อใครอีกแล้ว

อาการหูฝาด ตาฝาด และการคิดไปเองในช่วงเวลานี้ทำให้นางหดหู่ท้อแท้จนหมดเรี่ยวแรงจะโต้ตอบ

นางเพียงอยากจะพักผ่อน นอนหลับให้สบายสักครั้ง ด้วยหวังว่าเช้าวันพรุ่งหลังตื่นนอน ทุกสิ่งจะกลับเป็นสภาพเดิม

หลังจากร้องไห้สักพัก เฟ่ยไป๋หลิงก็ค่อยๆ นอนลง มุดศีรษะเข้าไปในผ้าห่มและขดตัว นางไม่กล้าเข้าใกล้ผนัง รวมถึงไม่กล้าเข้าใกล้หัวเตียงหรือปลายเตียง เพราะกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างยื่นออกมาจากรอบๆ อย่างกะทันหัน

ครู่ต่อมา นางก็เปลี่ยนท่าอีกครั้ง พยายามทำให้ร่างกายของตนเองนอนอยู่ตรงกลางให้มากที่สุดเพื่อให้ผ้าห่มพองออก เมื่อเป็นแบบนี้พอมองมาจากด้านนอก จะเหมือนมีแค่ผ้าห่มที่ไม่ได้พับกองหนึ่งอยู่บนเตียง มองไม่ออกว่ามีคนหลับอยู่ด้านใน

นางไม่อยากให้ใครรู้ว่านางหลับอยู่ตรงนี้ การนอนอยู่ในห้องนี้ให้ความรู้สึกปลอดภัยมาก

เฟ่ยไป๋หลิงนอนอยู่เช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จากนั้นนางก็เกิดความง่วงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สติค่อยๆ พร่ามัว ใกล้จะหลับไหลแล้ว

ก๊อกๆๆ

จู่ๆ ประตูก็ถูกเคาะ

เฟ่ยไป๋หลิงตัวสั่น ความง่วงปลาสนาการไปมากกว่าครึ่ง นางไม่กล้าขยับตัว

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเร่งร้อนมาก ดังมาก คล้ายกับมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ

เฟ่ยไป๋หลิงหลับตา ร่างสั่นระริก คิดจะแกล้งทำเป็นไม่มีใครในห้อง

ทว่าเสียงเคาะประตูดังซ้ำไปซ้ำมา เหมือนไม่มีท่าทีจะหยุดอย่างไรอย่างนั้น

‘อาจจะเป็นพวกท่านแม่มาช่วยก็ได้…’ ความคิดประหลาดผุดขึ้นจากในห้วงสมองของนาง

ในที่สุด เฟ่ยไป๋หลิงกล้าขึ้นเล็กน้อย นางเลิกผ้าห่มออก สูดหายใจลึก จากนั้นก็ลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เดินไปถึงด้านหลังประตู ก่อนจะแอบมองไปด้านนอกผ่านรูกุญแจ

รูกุญแจขนาดเท่าเม็ดข้าวเหลือรูดำที่ใช้มองดูด้านนอกได้พอดี เฟ่ยไป๋หลิงมองผ่านรูดำไปด้านนอกอยางระมัดระวังเป็นพิเศษ

ด้านนอกประตูมีคนอยู่ หนำซ้ำยังยังมากกว่าหนึ่งคน อย่างน้อยมีถึงห้าหกคน ต่างสวมชุดที่มีลักษณะและสีที่แตกต่าง จุดร่วมเพียงหนึ่งเดียวคือชุดเก่าไปบ้าง

เฟ่ยไป๋หลิงถอนใจเล็กน้อย นับว่าสิ่งที่ได้เจอในครั้งนี้ปกติแล้ว เจอคนอย่างไรก็ดีกว่าเจอเรื่องราวประหลาดพิสดารเหล่านั้น ก่อนหน้านี้นางเจอคนมาเคาะประตูหลายครั้ง ทว่าด้านนอกไม่มีใครสักคนเดียว

ก๊อกๆๆ

ประตูถูกเคาะอีกรอบ

เฟ่ยไป๋หลิงเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึก กำลังจะถามสถานะของคนด้านนอก

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง

ยังไม่พูดถึงว่าคนพวกนี้มาเคาะประตูกลางดึกกลางดื่น แต่ว่าเหตุใดระหว่างพวกเขาถึงไม่มีการติดต่อสื่อสารกันเลย เพียงแต่มองมายังประตูอย่างพร้อมเพรียงกันเท่านั้น

แถมสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่ายืน…ของพวกเขา…แข็งทื่อมาก

นางก้มหน้าแอบมองผ่านรูดำอีกครั้ง

ควับ!

ด้านนอกรูดำ คนทั้งห้าก้มตัวลงมาจับจ้องสองตาของเฟ่ยไป๋หลิงเขม็งผ่านรูดำนั้น

กรี๊ด!

นางตกใจจนร้องเสียงหลง ก่อนจะล้มลงไปด้านหลัง เหงื่อกาฬไหลหลั่งทั้งร่าง

ในห้องว่างเปล่า ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาอีก

เฟ่ยไป๋หลิงสงบสติอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยหยัดกายขึ้นมา แล้วเดินไปมองผ่านรูดำออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวังอีกครั้ง

ด้านนอกกลับไม่เห็นเงาคนสักคน

นางถอนใจยาว

ก๊อกๆๆ!

ทันใดนั้นที่หน้าต่างทางขวามือ ก็มีเสียงเคาะที่รุนแรงรวดเร็วดังมา

นางขนลุกขนชัน เกือบจะกรีดร้องออกมาแล้ว ก่อนจะหันไปมองดู

ด้านนอกหน้าต่างมีเงาคนห้าสายที่เมื่อก่อนหน้านี้ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ เงาของพวกเขาถูกแสงจันทร์ส่องทาบบนหน้าต่างจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ก๊อกๆๆ!

ก๊อกๆๆ!

ก๊อกๆๆ!

ก๊อกๆๆ!

เสียงเคาะยิ่งมายิ่งดัง ยิ่งมายิ่งระรัว

เฟ่ยไป๋หลิงกรีดร้องในทันที นางลุกขึ้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียง

นางเหงื่อแตกโชกจนเสื้อชั้นในที่รัดรูปเปียกแฉะ

‘ข้า…ข้า…!?’ เฟ่ยไป๋หลิงหายใจถี่รัว รู้สึกจะหายใจไม่ออกแล้ว นางมองด้านในห้องนอน นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครเลยสักคนเดียว

‘ฝันอีกแล้วหรือ’ นางแยกแยะไม่ออกแล้วว่าอันไหนคือฝัน อันไหนคือความจริง

นางพลิกตัวลงจากเตียงแล้วมองไปทางหน้าต่างโดยสัญชาตญาณ แสงจันทร์ตรงนั้นส่องกิ่งไม้ด้านนอก เงากิ่งไม้บนหน้าต่างโยกไหวเบาๆ เงียบสงัดเป็นพิษ

‘จะทนแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว…’ เฟ่ยไป๋หลิงรู้ว่าตระกูลเฟ่ยต้องเกิดปัญหาแน่ นางจะหลอกตัวเองแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ต้องขอความช่วยเหลือ!

สงบสติอารมณ์อยู่นานสองนาน นางค่อยลุกขึ้นเดินไปที่ประตู ขณะกำลังจะเปิดประตู กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ที่ดังมาจากด้านนอก

‘มีคนหรือ’ เฟ่ยไป๋หลิงงุนงง ดึกขนาดนี้แล้ว นางมองนาฬิกาบนโต๊ะ เป็นยามโฉ่ว เวลาที่ทุกคนล้วนหลับ แม้แต่หญิงรับใช้และคนคุ้มกันควรจะเข้านอนในเวลาแบบนี้ เหตุใดด้านนอกจึงมีเสียงฝีเท้าเล่า

นางคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลั้นหายใจพร้อมกับย่อตัวลง จากนั้นก็มองไปด้านนอกผ่านรูดำใกล้ๆ รูกุญแจ

คนที่สวมชุดเก่าซอมซ่อห้าคนปรากฏตรงหน้า เฟ่ยไป๋หลิงเกือบจะหยุดหายใจ นางผุดสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง นึกฉากที่ฝันเห็นเมื่อครู่ได้ทันที

‘ทำอย่างไรดีๆๆ!?’ นางกลัวและกระสับกระส่าย กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

โครม!

ประตูเรือนพลันถูกผลักเปิด

ซือหม่าซิ่วถือมีดสั้นด้วยสีหน้าเยือกเย็น พลางกวาดตามองสถานการณ์ในคฤหาสน์

เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของตระกูลเฟ่ยได้ หลังจากได้รับหนังสือเลือดขอความช่วยเหลือฉบับหนึ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ หลังจากเขาอ่านหนังสือเลือดฉบับนั้นและกำลังจะบันทึกเข้าไปในเอกสารลับของกลมหยินหยาง มันกลับหายไปอย่างพิสดาร

คนที่ร้องขอความช่วยเหลือคือสตรีชื่อเฟ่ยไป๋หลิง จากข้อมูลที่ตรวจสอบมา เฟยไป๋หลิงคือคุณหนูสามที่เป็นสายตรงของตระกูลเฟ่ย ไม่มีคุณสมบัติสายเลือดตั้งแต่เด็ก เป็นเพียงแค่คนทั่วไป ไม่มีความโดดเด่นในตระกูลแม้แต่น้อย และไม่มีความผิดปกติใดๆ

ทว่าหนังสือเลือดที่คุณหนูสามผู้นี้เขียนกลับอันตรธานไปต่อหน้าต่อตาผู้ตรวจการณ์แห่งกรมหยินหยางเช่นเขา

กรมหยินหยางซึ่งเป็นโครงสร้างการปกครองขนาดมหึมาที่ควบคุมคนมากกว่าพันหมื่นคนในเขต มีผู้ตรวจการณ์ในสังกัดมากกว่าร้อยคน หนำซ้ำยังแบ่งเป็นขุนนางเก้าระดับ ตามเหตุผลแล้ว เขาซือหม่าซิ่วเป็นเพียงผู้ตรวจการณ์ธรรมดาคนหนึ่งในพื้นที่ละแวกนี้เท่านั้น หนังสือเลือดฉบับนั้นไม่น่าจะมาถึงมือเขา แต่ควรจะไปถึงมือผู้ตรวจการณ์าที่รับผิดชอบอาณาเขตของตระกูลเฟ่ยมากกว่า

ทว่าสิ่งที่ทำให้ซือหม่าซิ่วประหลาดใจก็คือ หนังสือเลือดมาถึงมือเขาจริงๆ และสิ่งที่พิสดารก็คือ เขาเพิ่งรายงานเจ้ากรมไป และทางเจ้ากรมก็ได้ให้ความสำคัญระดับสูง เตรียมจะส่งคนไปตรวจสอบที่ตระกูลเฟ่ย ทว่าเขาเพิ่งผละมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ตอนที่ไปพบเจ้ากรมอีกครั้ง อีกฝ่ายกลับจดจำอะไรไม่ได้เหมือนสูญเสียความทรงจำ

ทุกๆ ครั้งที่ซือหม่าซิ่วนึกถึงที่นี่ จิตใจจะรู้สึกเย็นเยียบ เจ้ากรมเป็นบุคคลระดับใด ผู้เข้มแข็งระดับปฐมปฐพี ผู้เข้มแข็งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของคนนับไม่ถ้วน

ยอดฝีมือแบบนี้กลับได้รับผลกระทบที่พิสดารถึงเพียงนี้ เป็นที่เห็นได้ถึงความแปลกประหลาดของหนังสือเลือด

พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองด้านหลัง

‘ไม่มีใครมาสักคนจริงๆ’

ด้านนอกประตูเรือนด้านข้างของตระกูลเฟ่ย มีแต่เงาร่างอันเดียวดายของเขาคนเดียว บริวารในกรมที่นัดกันมาตรวจสอบความจริงด้วยกันไม่มีใครมาเลย

ต่อให้เป็นพวกที่จงรักภักดีกับเขาที่สุดก็ไม่มาเช่นกัน คาดว่าคงลืมเลือนเรื่องนี้ในพริบตาเดียวเหมือนกับเจ้ากรม

ระดับความแปลกประหลาดของเรื่องนี้ เหนือกว่าความคาดหมายของซือหม่าซิ่วไปแล้ว ด้านหนึ่งเขาได้ส่งข่าวและการแจ้งเตือนไปให้ระดับสูงที่ตนติดต่อได้ เพื่อดึงดูดความสนใจของบุคคลยิ่งใหญ่แล้ว อีกด้านหนึ่งเขามักได้ยินเสียงร้องไห้อันน่าสงสารของเฟ่ยไป๋หลิงในฝันทุกครั้ง

หลังจากเป็นแบบนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว มายังตระกูลเฟ่ยเพียงลำพัง

ซือหม่าซิ่วยืนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนใหญ่ของตระกูลเฟ่ย ในเรือนคือผืนหมอกขมุกขมัวสีเทา โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏในความมืดมิด ทั้งบริเวณเงียบกริบจนทำให้คนขนลุกขนพอง

ซือหม่าซิ่วสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่มีความคิดขอความช่วยเหลือคนอื่นๆ อีก เขาเข้าร่วมกรมหยินหยางเพราะไม่ต้องการให้โศกนาฏกรรมในตอนนั้นเกิดขึ้นอีกไม่ใช่หรือ

‘ดังนั้น…ข้ายังจะลังเลอะไรอีกเล่า’ เขานึกถึงพี่สาวของตน เรื่องราวในตอนนั้น ถ้าเขาไปถึงทันทีและพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล บางทีอาจหยุดไม่ให้โศกนาฏกรรมนั้นเกิดขึ้นได้

น่าเสียดายที่เขาลังเลและหวาดกลัว…

‘ข้าลังเลมาครั้งหนึ่งแล้ว’ ซือหม่าซิ่วหวนนึกถึงคำสาบานที่ตนได้ปฏิญาณตอนเข้าร่วมกรมหยินหยาง ใบหน้าที่งดงามราวสตรีแสดงความเด็ดเดี่ยว

เขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปพร้อมกับชักมีด

ตุบ เสียงรองเท้าหนังสีดำเหยียบลงบนพื้น ผงฝุ่นสีขาวเล็กๆ ที่ตลบขึ้นกระจายไปสองฟากข้าง

เงาร่างสูงชะลูดของเขาค่อยๆ หายไปในคฤหาสน์ตระกูลเฟ่ย

แอ๊ด…

ลมกลุ่มหนึ่งพัดผ่าน ประตูเรือนค่อยๆ งับปิด เหมือนกับถูกลมพัดให้ปิดลง

ชิ้ง!

กลางลานบ้าน ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นอยางกะทันหัน ม่านตาปรากฏสีทองหลายสาย

‘ในสารกายมีสิ่งเจือปน’ เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด

ถ้าหากเป็นยอดฝีมือธรรมดาอาจจะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของสารกายในเมืองไม่ได้ แต่เขาแตกต่างออกไป แม้เปลือกนอกเขาจะเป็นแค่ศิษย์จริงแท้ระดับพันธนาการ แต่ร่างหลักกลับเป็นราชามารระดับสูงสุดที่สำเร็จวิชามาร จึงมีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงของพลังงานและสารกายถึงขีดสุด

“สิ่งเจือปนลอยมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่ด้านหลัง” เขากำหนดตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว

คฤหาสน์หลังใหญ่ด้านหลังเหมือนกับเป็นของตระกูลใหญ่ที่มีแซ่ว่าเฟ่ย

ลู่เซิ่งหลับตาลงใหม่ “ช่างเถอะ ยังไงเราก็ไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมอยู่แล้ว”

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สารกายกลุ่มหนึ่งถูกดึงลงมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นและสิ่งเจือปนเหมือนก้อนกรวด

ลู่เซิ่งชะงักในทันที

เขาลืมตาและลุกขึ้น

‘พรุ่งนี้ค่อยทำความสะอาดที่อยู่อาศัยรอบๆ ใครกล้าเข้ามาในรัศมีสองร้อยหมี่ มันต้องตาย!’

ปัง!

เขาหมุนตัว ปิดประตู เข้าไปหลับในห้องนอน

……………………………………….