บทที่ 337 ลืมเลือน (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 337 ลืมเลือน (3)

เช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งพลิกตัวลงจากเตียง แล้วนำกระบี่ยาวที่สำนักมอบให้ ออกไปเดินเล่นด้านหลัง

ระหว่างทางเขาซื้อขนมเปี๊ยะทอดไส้หมูสับ จากนั้นก็กินไปพลางเดินบนถนนอย่างช้าๆ ไปพลาง จนมาถึงด้านหน้าคฤหาสน์ด้านหลังเรือนแห่งนั้น

ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์มองประตูไม้ที่ปิดสนิท จากนั้นก็เหลือบมองป้ายที่แขวนอยู่ด้านบน

“คฤหาสน์ตระกูลเฟ่ยหรือ” เขาอ่านออกเสียงตัวหนังสือบนนั้น

บนประตูไม้สีเทาวาดหัวหมาป่าดุร้ายสองหัว หว่างคิ้วของหมาป่ามีดวงตาที่สาม ทั้งแสดงสีหน้าเคร่งขรึมน่ายำเกรง

ลู่เซิ่งเข้าไปเคาะประตู

ก๊อกๆๆ

เสียงดังอยู่ด้านหลังประตู ทั้งยังมีเสียงสะท้อนตอบมา

ก๊อกๆๆ

“ผู้ใด” เสียงของชายชราที่เป็นมิตรดังมาจากด้านข้าง

ลู่เซิ่งมองไปตามเสียงอย่างงุนงง กลับเห็นว่ามีชายชราอาภรณ์ขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นคนหนึ่งเดินออกมาจากในตรอกเล็กๆ ทางขวามือของคฤหาสน์ตระกูลเฟ่ย

“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนของคฤหาสน์ตระกูลเฟ่ยหรือ” เขาถาม

“ฮ่าๆ น้องชายล้อเล่นแล้ว ตระกูลเฟ่ยนี้มีกิจการใหญ่โตรุ่งเรือง ข้าก็แค่เคยเฝ้าประตูให้พวกเขาก็เท่านั้น” ชายชราหัวเราะ เขาพิจารณาเครื่องแต่งกายของลู่เซิ่ง คิดว่าถ้าอีกฝ่ายไม่รวยก็สูงศักดิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ภาษาให้เกียรติ

“ท่านไม่ต้องเสียเวลาหรอก ตระกุลเฟ่ยไม่มีคนเข้าออกมาหลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น พอหลายคนออกไปจากคฤหาสน์ก็ไม่กลับมาอีก ตอนนี้ในนี้ไม่มีแม้แต่คนคุ้มกันกับหญิงรับใช้ด้วยซ้ำ”

“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ก่อนมองดูรอบๆ อย่างละเอียด โดยเฉพาะใต้ฝ่าเท้า บนบันไดมีรอยเท้าอยู่แค่ประปรายจริงๆ เมื่อแยกแยะอย่างตั้งใจ นอกจากเขาแล้ว มีรอยเท้าเหลืออยู่แค่แถวเดียว สถานที่อื่นๆ มีฝุ่นจับหนาเตอะ

‘ปกติเวลานี้ไม่ควรจะมีฝุ่นมากขนาดนี้นะ’ ลู่เซิ่งเกิดความเคลือบแคลง เขามองดูชายชราที่กำลังโบกพัดอยู่ด้านข้างอีกรอบ

“อย่ามองข้า ข้าไม่รู้อะไรเลย ก่อนหน้านี้หลังจากคนกลุ่มนั้นออกไป คฤหาสน์ตระกูลเฟ่ยที่ใหญ่โตแห่งนี้ก็ไม่เห็นแม้แต่คนเฝ้าประตูกับคนหาบอุจจาระไปทิ้งอีก ข้าล่ะสงสัย ตระกูลเฟ่ยเป็นตระกูลใหญ่ที่มีคนหลายคน แต่ต่อให้คนพวกนี้ย้ายไปก็ต้องใช้เวลาไม่ใช่หรือ” ชายชรากล่าวอย่างสงสัย

“พอแล้ว ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามากที่กล่าวเตือน” ลู่เซิ่งพยักหน้า มองชายชราเดินโบกพัดเข้าไปในร้านขายซาลาเปาข้างทางอย่างเอื่อยเฉื่อย หลังจากเดินออกจากตรอก

ลู่เซิ่งหันกลับมามองประตูใหญ่ด้านนอกต่อ

ผ่านไปนานแล้วยังไม่มีคนเปิดประตู ดูเหมือนด้านในจะไม่มีใครจริงๆ เขายื่นมือไปทาบกับตำแหน่งกลอนประตูพร้อมกับเคลื่อนปราณจริงแท้

แกร๊ก

กลอนประตูพลันส่งเสียงหัก

ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดเข้าไปด้านในอย่างไร้สุ้มเสียง กลิ่นอายเย็นเยียบพัดจากด้านในมาปะทะใบหน้า

ด้านหลังประตูมีบ่อน้ำที่ไม่ใหญ่บ่อหนึ่ง หอเล็กๆ สองหอที่สูงกว่าประตูใหญ่ช่วงหนึ่งตั้งอยู่สองฟากข้างของบ่อน้ำ เวลาเช้าตรู่ เงาของหอเล็กที่ทอทาบลงมาปกคลุมบ่อน้ำทั้งหมด มีแต่เส้นแสงบางส่วนเท่านั้นที่ลอดลงมาและส่องด้านในบ่อ

เรือนทั้งเรือนเย็นเยียบและมืดสลัว

‘ที่นี่…’ ลู่เซิ่งหยีตา รู้สึกสนใจเล็กน้อย เขาก้าวเข้าประตูใหญ่ ก่อนจะปิดงับมันอย่างช้าๆ จากนั้นก็ลงสลักประตู

ตึง

เสียงสลักประตูไม้หุ้มเหล็กชนใส่ไม้ ส่งเสียงกังวานเบาๆ เกิดเสียงสะท้อนด้านในเรือนอย่างต่อเนื่อง

บนเรือนเต็มไปด้วยฝุ่นหนา

พื้น กำแพง กรอบหน้าต่าง รวมถึงระเบียงเหมือนกับไม่มีใครใช้มาหลายปีแล้ว หน้าต่างของห้องบนทางระเบียงหลายบานถูกเปิดอ้าไว้พร้อมกับโยกไหวเบาๆ ตามสายลม

ลู่เซิ่งเดินเอื่อยๆ เข้าไปในตัวเรือน เขาอ้อมผ่านบ่อน้ำ กวาดมองปลาหลีฮื้อหลายตัวที่ตายในบ่อมานานแล้ว จากนั้นก็ละสายตากลับมาตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวรอบๆ

ตุบ

ฉับพลัน เมื่อเดินถึงสุดทางระเบียง เงาคนสายหนึ่งก็ปรากฏแวบขึ้นตรงหัวมุมอันมืดครึ้ม จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่แผ่วเบาออกห่างไปไกลอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปในทางระเบียงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าทันที ก่อนจะมองไปยังด้านซ้าย เห็นชายเสื้อสีขาวหายลับไปจากหัวโค้งอย่างรวดเร็วเข้าพอดี

เขากำลังจะไล่ตามไป แต่กลับหยุดลงอย่างกะทันหัน แล้วก้มมองไปที่พื้น

บนระเบียงเต็มไปด้วยฝุ่นผงหนาสีขาว แต่ไม่มีรอยเท้าสักรอย

‘ไม่มีรอยเท้า…ต่อให้เป็นผู้เข้มแข็งยอดฝีมือของตระกูลเฟ่ย คงไม่ถึงกับใช้วิชาตัวเบาในการเดินทางตลอดเวลาหรอกมั้ง’ ต่อให้เป็นเขาเอง เวลาอยู่บ้านก็ไม่ถึงกับใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนไหวตลอดเวลา

‘น่าสนใจอยู่บ้าง…’ ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าและเห็นชายเสื้อชัดๆ แต่ตอนนี้กลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย แม้เขาจะใช้พลังรับรู้ก็ยังไม่เห็นสิ่งใดตรงหัวโค้งของทางระเบียง

ไม่มีผู้คน ไม่มีสิ่งของ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ

ไม่มีปราณหยิน ไม่มีปราณมาร เห็นได้ชัดว่าตระกูลเฟ่ยเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้นครเขตที่มีขนาดใหญ่โตกลับไม่พบ นี่น่าสนุกอยู่บ้าง

เขายืนครุ่นคิดอยู่หน้าทางระเบียง ยังคงตัดสินใจสาวเท้าเดินเข้าไปในส่วนลึก

เฟ่ยไป๋หลิงลืมตา แสงสีขาวด้านนอกหน้าต่างส่องใบหน้าจนทำนางแสบตาอยู่บ้าง

นางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น จุดที่มือสัมผัสอยู่คือพื้นอันเย็นเฉียบ

‘ข้า…ข้า…’ นางจึงค่อยพบว่าตนเองนอนหลับอยู่บนพื้น

เฟ่ยไป๋หลิงพยายามลุกขึ้น เพียงแต่เพราะเมื่อคืนนอนอยู่บนพื้นอันเย็นเยียบ นางจึงปวดเนื้อปวดตัว ทั้งยังปวดเมื่อยเอวเล็กน้อย

‘จำได้ว่า สุดท้ายมีคนมาเคาะประตู จากนั้น…จากนั้น…’ เฟ่ยไป๋หลิงกุมศีรษะ ไม่ว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น

นางก้มหน้าพร้อมกับนวดเบ้าตา ทันใดนั้นก็เห็นว่าบนพื้นรอบๆ เต็มไปด้วยฝุ่นหนา

เป็นฝุ่นหนาสีขาวเทาที่เหมือนไม่มีคนทำความสะอาดมานาน

‘นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน’ นางยื่นมือไปลูบฝุ่น จากนั้นฝุ่นก็ถูกมือนางวาดจนกลายเป็นรอยยุบที่ชัดเจนผิดปกติ

อยู่ๆ นางก็สังเกตเห็นว่ารอบๆ ตำแหน่งที่ตนเองนอนมีรอยเท้าที่ชัดเจนคู่หนึ่ง

รอยเท้าชี้มาทางเฟ่ยไป๋หลิง มันมีขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนกับมีคนที่ตัวเล็กๆ คนหนึ่งเคยยืนก้มมองนางที่หลับไหลอยู่ด้านหน้า

‘นี่มัน…!’ เฟ่ยไป๋หลิงมือสั่นระริก เอาปลายนิ้วไปแตะรอยเท้านั้นอย่างไม่รู้ตัว

นางเกิดความหวาดกลัวกว่าเดิม

น้องสาวหายตัวไป ภายหลังบิดากับคนอื่นๆ ก็เริ่มผิดปกติ ต่อจากนั้น ตระกูลเฟ่ยทั้งตระกูลก็เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น

แม้แต่ตนเอง บางครั้งก็สลบ บางครั้งก็ตื่น

นางจินตนาการออกว่า เมื่อคืนหลังจากที่ตนหลับใหลไปอย่างน่าประหลาด มีคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ตัวนาง ทั้งยังก้มมองนางอย่างเงียบๆ และดูจากระดับความหนาของฝุ่นในรอยเท้าแล้ว เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าคนผู้นี้มองนางอยู่ทั้งคืน!

เฟ่ยไป๋หลิงขนลุกขนชัน นางกลืนน้ำลายเอื๊อก รู้สึกหนังศีรษะชา หนังไก่เพราะขนลุกผุดขึ้นมาทั่วทั้งตัว

นางค่อยๆ คืบคลานขึ้นโดยเอาหลังพิงประตู

ทันใดนั้น เฟ่ยไป๋หลิงก็หมุนตัวไปเปิดประตู ก่อนจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

โครม

นางรีบร้อนเกินไป จึงล้มลงตรงตีนบันไดด้านหน้าประตู เข่าถลอกออกจนเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าหยุดนิ่ง คืบคลานขึ้นมาแล้ววิ่งไปยังประตูเรือนต่อ

ในเรือนอันเงียบสงัดและว่างเปล่าเต็มไปด้วยฝุ่นเหมือนกัน เฟ่ยไป๋หลิงตัดทะลุซุ้มประตูไปอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็ออกจากเรือนมาถึงบนเส้นทางอันเย็นเยียบระหว่างคฤหาสน์

ตระกูลเฟ่ยมีขนาดใหญ่มาก ในเรือนใหญ่ๆ มีเรือนเล็กๆ อยู่มากมาย ระหว่างเรือนเล็กๆ เหล่านี้คือทางเดินที่ประกอบขึ้นจากกำแพงหลายแนว

เส้นทางมีขนาดกว้างมาก มากพอให้ม้ากำยำสามตัวเรียงแถวเดินผ่าน

หลังจากเฟ่ยไป๋หลิงพุ่งออกจากประตูเรือน นางก็กวาดตามองซ้ายขวา สุดปลายเส้นทางสองด้านล้วนเป็นทางเข้าของสิ่งก่อสร้างที่มืดครึ้มเงียบสงัด ความเย็นยะเยือกพัดพรูมาจากสองด้านอย่างต่อเนื่องจนทำให้นางอดกอดอกแน่นไม่ได้

‘ทางออก…ทางออก…’ นางนึกทบทวนอย่างละเอียด จากนั้นก็พุ่งไปทางด้านขวาอย่างฉับพลัน

นางต้องออกไปจากที่นี่! ออกจากสถานที่ประหลาดที่อันตรายขึ้นเรื่อยๆ แห่งนี้!

โครม!

นางชนใส่ร่างกายกำยำสูงใหญ่อย่างไม่ทันระวัง

“เอ๋? ที่นี่มีคนด้วยหรือนี่” ผู้ตรวจการณ์ซือหม่าซิ่วระบายลมหายใจอย่างแรง แล้วก้มมองเฟ่ยไป๋หลิงที่นั่งคร่อมอยู่บนร่างตนเองด้วยใบหน้าซีดขาว

เปรี้ยง

ลู่เซิ่งตบฟาดประตูไม้ที่ขวางทางด้านหน้าจนแหลก แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่นำพา

ในห้องนอนเต็มไปด้วยฝุ่น กระแสอากาศที่ตลบขึ้นเพราะการเข้ามาของเขา พัดพวกมันให้กลายเป็นสีเทาขมุกขมัวจนทำให้คนสำลัก

ลู่เซิ่งปล่อยปราณจริงแท้เล็กน้อยออกมาปกคลุมร่างกาย พลางพิจารณาห้องนี้อย่างละเอียด

เตียงไม้ ตู้ไม้ โต๊ะประทินโฉม หน้าต่างไม้ ทั้งหมดเป็นสีเหลืองมัวซัว สมุดคัดลอกที่เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ หมึกที่ฝนไว้แล้ววางอยู่ด้านข้างในสภาพที่แห้งกรัง

ลู่เซิ่งเข้าใกล้โต๊ะหนังสือ ก่อนจะอ่านตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้

‘ทะเล ท้องฟ้า กว้าง จิต’ ตัวอักษรใหญ่สี่ตัวถูกเขียนไว้บนกระดาษสีขาว คำว่าจิตอันเป็นคำสุดท้ายเขียนไม่เสร็จ เพียงเขียนไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง

ข้างๆ ยังมีสมุดเล่มเล็กสีขาววางอยู่ มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ ปักรูปรวงข้าวกับดอกไม้เล็กๆ สีแดงอ่อนอันประณีตไว้บนปก

ลู่เซิ่งหยิบขึ้นมาพลิกดู ช่วงแรกเป็นบันทึกชีวิตประจำวันทั่วไป มองออกว่าเจ้าของสมุดเล่มนี้เป็นสตรีนางหนึ่ง ตัวหนังสืองดงามวิจิตร

ลู่เซิ่งอ่านไปหลายหน้า รู้สึกเบื่อหน่าย จึงพลิกไปหน้าสุดท้ายโดยตรง

‘…ข้าไม่อยากได้แบบนี้ ช่วงนี้หัวหน้าตระกูลประชุมถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนหวาดกลัวมาก หวังว่าจะเจอวิธีรักษาโรคนี้ แต่ว่าแพทย์ที่เชิญมา ไม่มีใครเห็นความหวังสักคนเดียว หรือว่าพวกเราจะต้องเดินไปถึงขั้นสุดท้ายจริงๆ’

บันทึกหวัดๆ ด้านบนแสดงให้เห็นว่าตอนนั้นเจ้าของที่เขียนมันหวาดผวาถึงขีดสุด

‘โรคหรือ’ ลู่เซิ่งหรี่ตา ‘สำนักใหญ่ๆ ต่างก็มีแพทย์หรือหมอสมุนไพรเก่งๆ ทั้งนั้น ระดับของหมอสมุนไพรที่เชิญมาจากด้านนอกธรรมดา จะสู้หมอสมุนไพรประจำสำนักไม่ได้ ตระกูลเฟ่ยนี้ไม่ไปติดต่อกับสำนักเพื่อรักษา แต่เชิญหมอสมุนไพรในป่ามาหรือ’ เขาสันนิษฐานในใจ

ลู่เซิ่งวนอยู่ในห้องอีกสองสามรอบ แต่ไม่พบเบาะแสอะไรอื่นอีก จึงถอยออกไป

เดินบนระเบียงไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า สำหรับลู่เซิ่งที่เคยใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมของสำนักมารกำเนิดมานาน ระเบียงอันมืดครึ้มก็แค่มืดสลัวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบอะไรอย่างอื่นเลย

หลังจากอ่านบันทึกประจำวันเสร็จ เขาก็รู้สึกสนใจตระกูลเฟ่ยมากขึ้นเรื่อยๆ น่าเสียดายหลังจากเข้าไปตรวจสอบในห้องที่เหลือบนระเบียง เขาก็ไม่เจอสมุดที่เหมือนบันทึกประจำวันซึ่งคล้ายกันอีก

เขาเดินออกจากระเบียงมาถึงสวนดอกไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง ในสวนดอกไม้มีชิงช้าที่โยกเยกตามลม บนกำแพงมีเชือกสีแดงที่แขวนไว้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและบันดาลโชคลาภ

ตามธรรมเนียมของเขตจันทราสารท หากขมวดเชือกเป็นปมเก้าสิบเก้าปม จากนั้นสานทุกๆ เก้าปมเป็นช่อเดียวกัน แล้วแขวนไว้กลางบ้าน จะมีผลปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและบันดาลโชค ถ้าหากว่าแขวนกระดาษขอพรไว้ด้วย ความปรารถนาอาจเป็นจริงได้ในปีหน้า

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปดูกระดาษแผ่นเล็กๆ จำนวนไม่น้อยที่แขวนไว้ด้านล่างปม

เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่าน

‘ขอให้ท่านพ่อสุขภาพดี กิจการราบรื่น’

จากนั้นก็หยิบอีกสองสามแผ่นขึ้นมาดู

‘ท่านแม่ข้ารักท่าน’

‘ข้าอยากได้ม้าไม้สูงเท่าคน’

ทั้งหมดเป็นลายมือโย้เย้เหมือนกับเด็ก

“คิกๆ…” ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง เหมือนกับมีเด็กหลายคนกำลังหัวเราะ

เขาหมุนตัวไป ก่อนจะเห็นเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ หากมีรอยยิ้มสว่างไสว สองตาจับจ้องที่ลู่เซิ่ง

‘เจ้า…’ ลู่เซิ่งกำลังจะถาม จากนั้นก็งุนงง เด็กผู้ชายตรงหน้าเขาหายวับไปในวินาทีที่เขากะพริบตา

……………………………………….